บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 360 นำหายนะมาสู่ตระกูลอวิ๋น
บทที่ 360 นำหายนะมาสู่ตระกูลอวิ๋น
บทที่ 360 นำหายนะมาสู่ตระกูลอวิ๋น
มารดาของอวิ๋นน่าเป็นเพียงสาวใช้ ดังนั้นหลังจากการตายของนาง ป้ายหลุมศพของนางจึงไม่ได้ถูกวางไว้ที่โถงไว้ทุกข์ของตระกูลอวิ๋น เถ้ากระดูกของนางถูกเก็บไว้ในโถ ก่อนที่จะถูกฝังอยู่ใต้วัชพืชหลังลานเล็ก ๆ ที่ถูกทิ้งร้าง
หลังจากที่กลุ่มของเฉินซีเข้าสู่ตระกูลอวิ๋น พวกเขาก็มุ่งตรงไปยังลานเล็ก ๆ ที่ถูกทิ้งร้างภายใต้การนำของอวิ๋นน่า
“บัดซบ! พวกเจ้าเป็นใคร!”
“ผู้ที่บุกรุกเข้ามาในตระกูลอวิ๋นของข้าจงตายซะ!”
“ช่างกล้าอะไรเช่นนี้! เจ้ากล้าบุกรุกเข้ามาในตระกูลอวิ๋นของข้าและสร้างปัญหาจริงหรือ!?”
ตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลเล็ก ๆ ดังนั้นจึงมีผู้คุ้มกันค่อนข้างน้อย และเนื่องจากกลุ่มของเฉินซีไม่ได้คิดจะปกปิดตัวเอง พวกเขาจึงถูกผู้คุ้มกันที่ได้ยินเสียงตะโกนของคนรับใช้ก่อนหน้านี้เข้าขัดขวางอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าผู้คุ้มกันมีนามว่าเฉียนจง เขาเป็นยอดฝีมือของตระกูลอวิ๋น ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับอวิ๋นน่าอยู่แล้ว ทำให้เขาตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวทันที “เป็นเจ้าเอง นังแพศยา! เจ้ากล้าพาคนอื่นมาบุกรุกจวนจริง ๆ นี่เจ้ายังเกรงกลัวกฎระเบียบเหลืออยู่หรือไม่!”
รอยยิ้มอันเย็นชาปรากฏขึ้นที่มุมปากของอวิ๋นน่า และความเกลียดชังในแววตาของนางก็ไม่อาจปกปิดได้ จากนั้นนางก็กล่าวพลางกัดฟันว่า “เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ข้าถูกคนอื่นรังแกหลายต่อหลายครั้ง เหตุใดข้าถึงไม่เห็นเจ้ากล่าวถึงเรื่องกฎระเบียบเลยเล่า? ไม่ต้องกล่าวถึงว่าข้าเป็นสมาชิกของตระกูลอวิ๋น แต่คนที่ไม่มีนามสกุลอวิ๋นอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาถามข้า”
เฉียนจงโกรธจนใบหน้าของเขาเขียวคล้ำ ผมเผ้าและหนวดเคราปลิวไสวขณะที่เขาตะโกนออกมาว่า “จับนาง!”
ผู้คุ้มกันกว่าสิบคนรับคำสั่งด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำก่อนจะพุ่งเข้าหาอวิ๋นน่าพร้อมกับอาวุธหลากหลายชนิดที่อยู่ในมือ
ความสามารถของพวกเขาไม่เลว และบางคนก็อยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง เมื่อพวกเขาเคลื่อนตัวออกไปเพื่อตอบสนองต่อคำสั่งในขณะนี้ การเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นเด็ดขาด เจตนาฆ่าพุ่งออกมาจากพวกเขา และกลิ่นอายของพวกเขาก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง
อวิ๋นน่าเป็นเพียงลูกนอกสมรสที่เกิดจากสาวใช้กับผู้นำตระกูลที่เมาไม่ได้สติ เมื่อไม่มีใครในตระกูลอวิ๋นใส่ใจนาง ดังนั้นพวกเขาจึงเคลื่อนไหวโดยไม่ลังเล อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้ถือว่านางเป็นคนของตระกูลอวิ๋นมาตั้งแต่ต้น แต่กลับมองว่านางเป็นอาชญากรที่สามารถจัดการได้ตามที่ต้องการ
เมื่อหวังเจิ้นเฟิงเห็นว่าคนเหล่านี้มองข้ามเขา อีกทั้งยังกล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ เขาจึงรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีและกำลังจะจัดการกับไอ้สารเลวกลุ่มนี้อย่างดุเดือด แต่ว่าเขากลับถูกเฉินซีหยุดเอาไว้
“ปล่อยให้นางจัดการเอง” ท่าทางในขณะนี้ของเฉินซีนั้นนิ่งสงบและไม่แยแส แต่ก็เผยให้เห็นความรู้สึกที่แน่วแน่
ทันทีที่เขากล่าวจบ จิตสังหารที่แผ่ออกเป็นบริเวณกว้างและหนาแน่นถึงขีดสุดก็พรั่งพรูออกมา ราวกับมหาสมุทรที่เชี่ยวกรากเข้าปกคลุมฟ้าดิน ทันใดนั้น มันก็ถาโถมเข้าสู่ทุกพื้นที่และเขย่าอากาศจนถึงจุดที่มันแตกกระจายไปทีละนิด
ผู้คุ้มกันกว่าสิบคนที่บุกเข้ามารู้สึกหายใจไม่ออกในขณะที่ร่างกายของพวกเขาแข็งทื่อ และพวกเขาก็หยุดโดยสัญชาตญาณ เช่นเดียวกับดวงตาที่เผยให้เห็นท่าทีที่ไม่อยากเชื่อของพวกเขา
ช่างเป็นจิตสังหารที่น่าสะพรึงกลัวเสียนี่กระไร!
ในสายตาของพวกเขา ทิวทัศน์รอบข้างได้เปลี่ยนไป มันกลายเป็นทะเลเลือดและภูเขาซากศพ ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายแห่งความตายที่ไร้ขอบเขตก็จู่โจมใส่ใบหน้าของพวกเขา
ในขณะนี้พวกเขาไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวอย่างผลีผลาม!
แม้แต่ใบหน้าของเฉียนจงกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไปก็กลายเป็นซีดเซียวขณะที่ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้าน และความหวาดกลัวที่ไม่สามารถยับยั้งได้ก็พลันปรากฏขึ้นในหัวใจของพวกเขา
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ย่าชิง เหยียนเยียน และหวังเจิ้นเฟิงก็ตกใจเช่นกัน พวกเขาจึงถอยกลับไปสองสามก้าวก่อนที่จะรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
‘คนผู้นี้คงออมพลังไว้ไม่น้อยในงานเลี้ยงเมื่อคืนนี้ เพราะเพียงแค่จิตสังหารก็สามารถทำให้ผู้คนขวัญกระเจิงแล้ว!’ หวังเจิ้นเฟิงรู้สึกตกตะลึงและรู้สึกยินดีมากขึ้นที่ยอมฟังคำพูดของบิดา จนรีบไปขออภัยเฉินซีโดยเร็วที่สุดในวันนี้ มิฉะนั้นเมื่อล่วงเกินศัตรูที่น่าเกรงขามเช่นนี้ เขาคงไม่อาจกินหรือนอนหลับได้อย่างสงบสุขไปตลอดชีวิต
“ขอบคุณ!” มีเพียงอวิ๋นน่าเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบหลังจากสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่านี้ นางรู้ว่าเป็นเฉินซีที่คอยปกป้องนางอยู่ และไม่ว่าอันตรายจะมากน้อยถึงเพียงใด เฉินซีก็จะคอยปกป้องนางอยู่เสมอ
“ลงมือเถอะ ทำลายความข้องใจเหล่านี้ด้วยสองมือของเจ้าเอง แล้วบางทีอารมณ์ของเจ้าอาจจะดีขึ้น” เฉินซีตบไหล่ของอวิ๋นน่า
“ฤดูหนาวเมื่อห้าปีที่แล้ว เจ้า เจ้า และเจ้าตั้งใจที่จะข่มขืนข้า หากข้าไม่ต่อต้านด้วยชีวิต ข้าคงสิ้นลมหายใจด้วยน้ำมือพวกเจ้าทุกคนไปนานแล้ว พวกเจ้าทุกคน… สมควรตาย!” ท่ามกลางเสียงเย็นชาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง อวิ๋นน่าถือดาบอันเย็นยะเยือกอยู่ในมือของนาง ในขณะที่นางตวัดมันผ่านคอของผู้คุ้มกันทั้งสามคนโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทำให้ศีรษะทั้งสามหัวตกไปที่พื้นพร้อมกับเลือดที่ทะลักออกมา
“ในคืนนั้นเมื่อเจ็ดปีก่อน พวกเจ้าทั้งสี่คนได้ขโมยสมุนไพรวิญญาณจากคลังสมบัติแต่กลับใส่ร้ายข้า ทำให้ข้าได้รับความอัปยศอดสูไม่รู้จบสิ้น ข้าสาบานในวันนั้นว่าข้าจะชำระชื่อของข้าด้วยเลือดของพวกเจ้าอย่างแน่นอน!” ศีรษะที่เปื้อนเลือดอีกสี่หัวตกลงไปที่พื้นทันที
ความเดือดดาล ความหวาดกลัว ความสิ้นหวัง และความไม่พอใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงอันเย็นชาและเยือกเย็นที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังมีอยู่มากน้อยเพียงใดกันหนอ?
ศีรษะทั้งเจ็ดร่วงลงสู่พื้นในทันที โลหิตแดงก่ำอันร้อนระอุสาดกระจายไปทั่วราวกับน้ำตกที่ไหลรินลงมาจากท้องฟ้า ฉากนองเลือดและโหดเหี้ยมเช่นนี้จะสามารถระบายความแค้นในใจของหญิงสาวได้หรือไม่?
ย่าชิงและเหยียนเยียนต่างก็นิ่งเงียบ
หวังเจิ้นเฟิงตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ทว่าการแสดงออกของเฉินซีกลับไม่ได้แยแสหรือผันผวนแม้แต่น้อย
“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย! เราต้องเอาชีวิตเข้าแลก!” ขณะที่เขามองไปที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนที่ดูเหมือนลูกแกะที่กำลังรอการถูกฆ่าด้วยความเมตตาของผู้อื่น ดวงตาของเฉียนจงเกือบจะถลนออกมาจากเบ้า เขาตะโกนออกมาจึงทำให้ทุกคนที่ตกอยู่ในความหวาดกลัวได้สติขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็กำกระบี่ในมือแน่น ก่อนจะฟันไปทางอวิ๋นน่า
เจตนาฆ่าของเฉินซีน่ากลัวเกินไป มันทำให้จิตใจของผู้คนสับสนวุ่นวายจนไม่กล้าสู้กับชายหนุ่ม ดังนั้นเขาจึงต้องการจัดการกับอวิ๋นน่าก่อน แล้วเขาจึงจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์กลับมาได้
ฟึ่บ!
กระบี่ได้ฉีกผ่านท้องฟ้าอย่างดุดันราวกับน้ำตก เมื่อประกายแสงกระบี่ไหลลงมา มันก็ดูเหมือนกับรุ้งที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และเผยให้เห็นถึงความสำเร็จอันลึกล้ำในเคล็ดวิชากระบี่ของเฉียนจง
“ไสหัวไปซะ!” ทว่าในพริบตาต่อมา กระบี่ของเฉียนจงก็ถูกฟาดด้วยการฟันด้วยกระบี่เพียงครั้งเดียว และมันก็ร่วงลงสู่พื้นพร้อมกับเสียงดังเคร้งคร้าง ในขณะที่ตัวคนถูกซัดด้วยการสะบัดแขนเสื้อของเฉินซีจนกระแทกเข้ากับภูเขาจำลอง ก่อนจะกระอักเลือดและเป็นลมหมดสติไป
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา และก่อนที่คนอื่นจะทันได้ตอบสนอง เฉียนจงซึ่งเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันของตระกูลอวิ๋นก็ได้พ่ายแพ้และหมดสติไปแล้ว
“รุมมันเลย!”
“เร็วเข้า! ลงมือพร้อมกัน ตราบใดที่เราชะลอพวกมันได้สักครู่ ผู้นำตระกูลและคนอื่น ๆ จะมาสนับสนุนเราอย่างแน่นอน!”
“ฆ่า!”
ผู้คุ้มกันที่เหลือได้เห็นการเสียชีวิตอย่างน่าอนาถของสหายของพวกเขาและเฉียนจงก็เป็นลมหมดสติอยู่บนพื้น ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนถึงจุดที่จิตวิญญาณของพวกเขาแทบจะหลุดออกจากร่าง ก่อนที่ความกลัวจะกลายเป็นความบ้าคลั่งและความหวัง …พวกเขาหวังว่าหากปิดล้อมเฉินซีและคนอื่น ๆ ด้วยจำนวนแทน พวกเขาจะรอดชีวิตกลับไปได้!
“ไอ้พวกโง่เขลา!” ทันทีที่เขากล่าวจบ ร่างของเฉินซีก็ได้หายไปแล้ว
เฉินซีเดินเข้าไปในฝูงชนและทุกครั้งที่ยกมือขึ้นตบ คนคนหนึ่งก็จะปลิวกระเด็นออกไป การเคลื่อนไหวของเขาผ่อนคลายและสบาย ๆ ราวกับว่ากำลังเดินเอ้อระเหยอยู่ในลานบ้าน และทุกอย่างก็ดูง่ายดายสำหรับชายหนุ่ม
ในชั่วพริบตา ผู้คุ้มกันทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็ร้องคร่ำครวญอยู่บนพื้น
“ถ้าคนเหล่านี้มีคนใดที่ทำให้เจ้าไม่มีความสุขเมื่อหลายปีก่อน ก็จงฆ่าพวกเขาซะ” เฉินซีกลับไปอยู่ที่ข้างกายของอวิ๋นน่าและกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา
อวิ๋นน่าพยักหน้า จากนั้นนางก็ยกดาบโค้งของนางขึ้นทันทีและเดินไปหาผู้คุ้มกันที่สูญเสียความสามารถในการต่อสู้
ความอัปยศอดสูและความเจ็บปวดที่นางได้รับในตระกูลอวิ๋นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่อาจจินตนาการได้อย่างเต็มที่ แม้กระทั่งตอนนี้ นางยังคงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยฝันร้ายนับครั้งไม่ถ้วน เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้กลายเป็นฝันร้าย อีกทั้งยังเป็นปีศาจร้ายที่ทรมานจิตใจและร่างกายของนางอยู่ตลอดเวลา แม้ว่านางจะได้รับการปลดปล่อยเล็กน้อยในขณะนี้ แต่มันยังก็ห่างไกลจากความเพียงพอ!
ฟึ่บ!
ดาบโค้งพุ่งผ่านท้องฟ้าราวกับหงส์ที่หวาดกลัวจนบินออกไป ทำให้ผู้คุ้มกันที่อยู่บนพื้นต่างก็หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง
“นังแพศยา! เจ้ากล้าทรมานและฆ่าคนในตระกูลของเจ้าเองจริง ๆ!” ทว่าตอนที่ดาบของอวิ๋นน่ากำลังจะฟันลงไป เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองก็ดังก้องขึ้นมาทันที ร่างกายของอวิ๋นน่าสั่นสะท้านเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ทำให้นางไม่สามารถโจมตีและฆ่าได้อีกต่อไป
ชายวัยกลางคนผิวขาวที่ดูองอาจและสง่างามค่อย ๆ เดินมาจากระยะไกล ดวงตาที่เป็นประกายของเขาปรากฏความขุ่นเคืองและโกรธแค้นอย่างยิ่ง
มีกลุ่มคนรวมตัวอยู่ทางด้านหลังของชายวัยกลางคนคนนั้น พวกเขาประกอบด้วยชายหนุ่มและหญิงสาวหลายสิบคนและยอดฝีมืออีกหลายสิบคนของตระกูลที่มีท่าทางดุร้าย และพวกเขาก็เข้ามาที่นี่อย่างเป็นระเบียบ
“อวิ๋นชูเฟิง!” ดวงตาของอวิ๋นน่าแสดงถึงความเกลียดชังที่หยั่งรากลึกเมื่อนางเห็นคนคนนั้น และมีร่องรอยความเจ็บปวดจาง ๆ ในดวงตาของนาง ชายคนนี้คือบิดาของนาง แต่เป็นเพราะชายคนนี้เองที่นางต้องทนทุกข์กับความอัปยศอดสูและความยากลำบากตั้งแต่ยังเด็ก
“บัดซบ! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงเรียกผู้นำตระกูลด้วยชื่อของเขาโดยตรง? นังแพศยา! หรือว่าเจ้าต้องการที่จะก่อกบฏจริง ๆ?” ชายหนุ่มผู้มีหน้าตาหล่อเหลาโผล่ออกมาจากกลุ่มคน รูปร่างหน้าตาของเขาคล้ายกับอวิ๋นชูเฟิงถึงเจ็ดส่วน และเขายังคล้ายกับอวิ๋นน่าอยู่เล็กน้อย
อวิ๋นน่าจำชายหนุ่มคนนี้ได้ เขาคืออวิ๋นจง บุตรชายคนโตของอวิ๋นชูเฟิงและเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของตระกูลอวิ๋น หากไตร่ตรองให้ดีแล้ว อวิ๋นจงเป็นพี่ชายร่วมบิดาเดียวกัน แต่ต่างมารดากัน
แต่มีเพียงอวิ๋นน่าเท่านั้นที่รู้ว่า ‘พี่ชาย’ ของนางคนนี้โหดเหี้ยมเพียงใด เขาทั้งเย้ยหยันและทุบตีนางอย่างโหดร้ายเมื่อนางยังเล็ก
“ข้ากลับมาครั้งนี้เพื่อเอาเถ้ากระดูกของมารดาข้ากลับคืนมาเท่านั้น และข้าก็จะฆ่าใครก็ตามที่เสนอหน้ามาหยุดข้า!” อวิ๋นน่าหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่นางกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ข้างหน้าด้วยสายตาเย็นชา นางมองไปที่บิดาและพี่น้องของนาง เปลวไฟแห่งความเกลียดชังในใจของนางยังคงลุกโชนยิ่งกว่าเดิม
“ช่างเป็นน้ำเสียงที่ฟังดูสูงส่งเสียนี่กระไร ดูเหมือนว่าเจ้าจะฟั่นเฟือนไปแล้วจริง ๆ นังแพศยา!”
“เจ้าฆ่าคนไปมากมาย แต่ก็ยังไม่สำนึกผิดอีก ถ้าเรารู้ว่าวันนี้จะมาถึง เราควรจะกำจัดเจ้าให้เร็วที่สุด!”
“ท่านพ่อ ฆ่านังนี่ซะ ท่านคอยเลี้ยงดูนางมาหลายปี แต่สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเลี้ยงคนเนรคุณบัดซบ นางไม่เพียงไม่รู้วิธีตอบแทนบุญคุณของท่านเท่านั้น แต่นางยังนำหายนะมาสู่ตระกูลอวิ๋นอีกด้วย นางมีความผิดเกินกว่าจะให้อภัยได้!”
ชายหนุ่มและหญิงสาวของตระกูลอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างต่อเนื่องและตั้งใจจะฆ่าอวิ๋นน่าให้จงได้
“พวกเจ้าคิดว่าข้ายังเป็นอวิ๋นน่าเฉกเช่นเมื่อก่อนอยู่อีกหรือ?” อวิ๋นน่ากลับหัวเราะแทน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ นางนั้นดูอ่อนแอและบอบบางในสายตาของคนเหล่านี้ ทำให้นางได้รับความเมตตาจากพวกเขาเหมือนเศษขยะที่ไร้ค่า ดังนั้นการกระทำของพวกเขาในตอนนี้จึงไม่แปลก เพราะพวกเขาปฏิบัติกับนางเช่นนี้มาโดยตลอด!
อวิ๋นน่าเริ่มหัวเราะ หัวเราะดังขึ้นเรื่อย ๆ และนางก็หัวเราะอย่างไม่มีเหตุผล แต่เสียงหัวเราะของนางไม่มีอารมณ์ร่วมแม้แต่น้อย จึงทำให้คนอื่นรู้สึกเย็นยะเยือกและน่าหวาดกลัว
“พูดจาไร้สาระ ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก!” เสียงหัวเราะนี้ทำให้ร่างกายของอวิ๋นชูเฟิงรู้สึกอึดอัด และเขารู้สึกราวกับว่าเสียงหัวเราะนั้นเป็นดั่งการส่งผ่านคำพูดประชดประชันใส่เขาอย่างไร้เสียง ทำให้ใบหน้าของเขามึนตึงขณะที่ตะโกนออกไปทันทีว่า “เนื่องจากเจ้ายังเด็กและโง่เขลา ข้าจะไม่ถือสาเกี่ยวกับเรื่องวันนี้ของเจ้า แต่ข้าจำต้องลงโทษเจ้า ตอนนี้ข้าขอประกาศว่าอวิ๋นน่าไม่เคารพผู้อาวุโสของนางและนำหายนะมาสู่ตระกูล จับตัวนางและทำลายการบ่มเพาะของนางเสีย จากนั้นให้ขับไล่นางออกจากตระกูลอวิ๋น จากนี้นางจะไม่ใช่คนตระกูลอวิ๋นของข้าอีกต่อไป!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” อวิ๋นน่าหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมาเพราะนางรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นน่าหัวเราะเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็กลั้นหัวเราะและดวงตาของนางก็กลายเป็นสีแดงก่ำขณะที่กล่าวว่า “ทำลายการบ่มเพาะของข้า? ไล่ข้าออกจากตระกูล? อวิ๋นชูเฟิง เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำเช่นนี้?”
“พวกเจ้ามัวยืนอยู่ที่นั่นเพื่ออะไรอีก? จับนางเดี๋ยวนี้!” อวิ๋นชูเฟิงหัวเราะอย่างเย็นชาขณะที่เขาสั่งผู้คนที่อยู่เคียงข้าง และตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็ไม่ใส่ใจคำถามของอวิ๋นน่าเลยสักนิด!