บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 363 เฮ่อเหลียนจวิน
บทที่ 363 เฮ่อเหลียนจวิน
บทที่ 363 เฮ่อเหลียนจวิน
ภายในโลกแห่งการบ่มเพาะอันกว้างใหญ่ของราชวงศ์ซ่ง นอกเหนือจากชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอ หวงฝู่ฉางเทียน เจิ้นหลิวชิง และอัจฉริยะหาตัวจับยากของนิกายใหญ่อื่น ๆ แล้ว ยังมียอดฝีมือรุ่นเยาว์อย่างหลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ ซูเจี้ยนคง อันเชี่ยนอวี้ และหม่านหงที่กำลังมุ่งหน้าไปยังนครหลวงธารสายไหมเช่นกัน
ถึงขนาดที่ว่ามียอดฝีมือรุ่นเยาว์ผู้แข็งแกร่งมากบางคนปรากฏตัวขึ้นจากหุบเขาห่างไกลที่มีเพียงไม่กี่คนที่เท่านั้นที่เคยย่างกรายเข้าไป
พวกเขามีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว นั่นคือเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง!
ในช่วงเวลาหนึ่ง นครหลวงธารสายไหมเป็นเหมือนดาวประกายพรึก มีผู้เยี่ยมยุทธ์นับไม่ถ้วนเดินทางมาจากทุกทิศทางด้วยความหวังที่จะเห็นความสง่างามที่ไม่มีใครเทียบได้ของที่แห่งนี้
ท้องฟ้าแจ่มใสปกคลุมไปด้วยเมฆขาวจำนวนมาก
ภายใต้ท้องฟ้าคือที่ราบกว้างใหญ่เขียวขจี บนที่ราบยังมียอดเขาโดดเดี่ยวอยู่สองสามยอดตั้งสูงตระหง่าน
ฟึ่บ!
เงาสีดำที่มีขนาดมหึมาพุ่งผ่านไปด้วยความเร็วมิอาจหาใครเทียบจากบนยอดเขา มันกลั่นการไหลเวียนของอากาศจนเกิดระลอกกระจายตัวออกพร้อมกับเสียงดังปัง แรงระเบิดสั่นสะเทือนภูเขาจนส่งเสียงดังก้องอย่างรุนแรง ดูเหมือนจะไม่อาจทนแรงบีบคั้นได้ มันจึงพังทลายลงด้วยเสียงดังครืน
“ฮ่า ๆ มีเหยี่ยวเหล็กอัสนีโลกันตร์เป็นสัตว์ขี่เช่นนี้ผ่อนคลายนัก ทั่วแผ่นดินซ่งอาจไม่มีอสูรโบราณบินได้ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์เช่นนี้เป็นตัวที่สองอีกแล้ว” คนที่พูดคือชายหนุ่มในชุดสีน้ำตาล คิ้วเขาขมวดแน่น ดวงตาดูดุร้าย กระดูกเขาหนา ใหญ่ ทั้งยังแข็งแกร่งมาก และมีร่างสีดำอยู่ที่เบื้องล่างของเขาคือเหยี่ยวสีดำขนาดใหญ่ที่มีปีกกว้างกว่าสิบจั้ง ขนบนร่างทั้งหมดเป็นสีดำสนิทและมีชั้นเคลือบคล้ายโลหะ มีร่องรอยสายฟ้าสีดำไหลวนแผ่วเบาระหว่างปีกทั้งสองข้าง
แกว้ก!
เสียงร้องของเหยี่ยวที่พุ่งขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้าดังก้องอยู่บนฟ้า เขย่าชั้นเมฆจนแตกกระจายไปทั่ว
เหยี่ยวเหล็กอัสนีโลกันตร์ตัวนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นอสูรบินได้ดึกดำบรรพ์ มันยังมีทักษะการสู้ที่ดุดันด้วย และที่ล้ำค่าที่สุดคือความเร็วของมัน เพียงอึดใจเดียว มันก็พุ่งเร็วกว่าเสียงได้หลายครั้ง!
ด้วยอสูรบินได้ดังกล่าวเป็นยานพาหนะ ความเร็วของชายหนุ่มคนนี้จึงรวดเร็วไร้ที่ติ แซงหน้าคนอื่นไปทีละคนอย่างรวดเร็ว เมื่อผ่านเรือเหาะสมบัติโบราณที่อยู่ข้างหน้า เขาก็พลันมองไปที่มันราวกับถูกตรึงสายตาไว้
สิ่งที่เขามองเห็นคือบุรุษสองคนและสตรีสามคนที่อยู่บนเรือเหาะสมบัติลำนั้น
ในบรรดาคนเหล่านี้ ชายหนุ่มรูปงามสวมชุดสีฟ้าคือคนเดียวที่คู่ควรให้เขาสนใจ แม้ว่าสายตาของชายหนุ่มจะอบอุ่นและดูไม่ใส่ใจอะไร แต่ภาพที่เขาเห็นนั้นก็ทำให้เขารู้สึกถึงความมุ่งมั่นและดุดันที่ไม่อาจดูถูกได้
หากชายหนุ่มในชุดสีฟ้าทำให้เขารู้สึกกังวลใจ หญิงสาวสามคนที่อยู่ด้านข้างก็ทำเอาเขาลืมหายใจไปเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือกิริยาท่าทางของพวกนางก็นับว่างามล่มเมืองได้ พวกนางทั้งเย้าและยวนใจ ทั้งงดงามไม่เหมือนใคร หรือจะเย่อหยิ่งเย็นชา และแม้ว่าชายชุดน้ำตาลจะเห็นสาวงามมานักต่อนัก ทว่าใจก็ยังอดเต้นแรงไม่ได้
ฟึ่บ!
เหยี่ยวเหล็กอัสนีโลกันตร์หันกลางอากาศ หยุดลงตรงหน้าเรือเหาะสมบัติ
เมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนขวางทางอยู่ เรือเหาะสมบัติก็หยุดลงทันที คนห้าคนบนเรือย่อมเป็นกลุ่มของเฉินซี
“สหายเต๋า ข้ามาจากนิกายอสูรลวงแห่งแดนเถื่อนทางตอนเหนือ มีนามว่าเฮ่อเหลียนจวิน” ชายหนุ่มผู้สวมชุดสีน้ำตาลประสานมือทักทายพลางส่งยิ้มสว่างไสวให้ เผยฟันขาวราวหิมะเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อย
เฉินซีถาม “สหายเต๋าต้องการอะไรหรือไม่?”
เฮ่อเหลียนจวินหัวเราะเสียงดัง “การพบกันเช่นนี้หมายความว่าเรามีโชคชะตาต้องกัน ข้าเดาว่าทุกคนคงกำลังมุ่งหน้าไปยังนครหลวงธารสายไหมเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง บังเอิญว่าข้าก็กำลังจะไปนครหลวงธารสายไหมเช่นกัน เราไม่เดินทางไปด้วยกันเล่า!?”
เฉินซีกล่าวเสียงเฉยเมยว่า “ใต้หล้านี้มีชะตาต้องกันมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เฮ่อเหลียนจวินหัวเราะเบา ๆ โดยไม่สนใจคำกล่าวนั้น ก่อนจะหันไปมองย่าชิงที่อยู่ข้างเฉินซี จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่นว่า “ขอทราบชื่อแม่นางได้หรือไม่?”
ย่าชิงเหลือบมองเขา นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าเจ้าคนนี้มีเจตนาอะไร? นางรู้สึกสนุกอยู่ในใจเล็กน้อย แต่ที่มุมปากกลับเผยแววใจร้อน “ในเมื่อเราชะตาต้องกัน เช่นนั้นก็ให้โชคชะตาตัดสินเถอะ”
เฮ่อเหลียนจวินถูกปิดประตูใส่หน้าหลายคราแต่ก็ยังไม่โกรธเคือง ทั้งยังคงเผยยิ้มบาง “แม่นาง เจ้าไม่เชื่อเรื่องโชคชะตาก็ไม่เป็นไร เพราะข้าเชื่อว่าเราจะมีโชคชะตาร่วมกันแน่นอน แล้วเจอกันในนครหลวงธารสายไหม”
พูดจบเขาก็กระตุ้นเหยี่ยวเหล็กอัสนีโลกันตร์ที่ขี่อยู่ให้หันหลังกลับและจากไปอย่างไม่ลังเล เขารู้ว่าหากรั้งดึงดันอยู่ตอนนี้คงไม่ดี สุดท้ายแล้ว หากความประทับใจแรกระหว่างบุรุษสตรีออกมาย่ำแย่ อนาคตจะแก้ไขได้ลำบาก
“อ้อใช่ หากพบปัญหาใดระหว่างไปนครหลวงธารสายไหม ก็เอ่ยชื่อข้าไปได้เลย แล้วเจอกัน!” ว่าแล้วเขาก็หายวับไป
“เจ้านั่นคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? หากยังรั้งอยู่อีกอึดใจ ข้าหักขามันทิ้งแน่!” เมื่อหวังเจิ้นเฟิงเห็นเฮ่อเหลียนจวินมีท่าทีหยิ่งยโสยิ่งกว่าเขา ทั้งยังคิดเกี้ยวย่าชิง เขาก็อดขมวดคิ้วและก่นด่าอย่างดุดันไม่ได้
“นิกายอสูรลวงเฮ่อเหลียนจวิน อัจฉริยะในโลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนป่าเถื่อนทางตอนเหนือ หากมาอยู่ในที่ราบตอนกลาง ก็นับว่าเทียบเท่ากับชิงซิ่วอี้และจ้าวชิงเหอได้ ไม่เคยคิดเลยว่าเราจะได้พบเขาที่นี่จริง ๆ” ย่าชิงขมวดคิ้ว
หวังเจิ้นเฟิงตกใจและดูเหมือนจะรู้ว่าเฮ่อเหลียนจวินเป็นใครแล้ว
เฮ่อเหลียนจวิน?
เฉินซีถอนสายตากลับมา เขารู้สึกได้ว่าเฮ่อเหลียนจวินแข็งแกร่งมาก ลมปราณที่แผ่ออกมาทั้งจางและถูกเร้นไว้โดยไม่รั่วไหล ชายคาดเดาได้ว่าความสามารถในการควบคุม รวมถึงพลังปราณของเฮ่อเหลียนจวินบรรลุถึงขั้นสูงแล้ว!
ในสายตาเขา คนผู้นี้เทียบขั้นกับชิงซิ่วอี้ได้ทีเดียว
เฉินซีย่อมรู้เช่นกันว่าชิงซิ่วอี้ในใจเขาคือชิงซิ่วอี้ที่เขาพบในห้วงทะเลทรายมรณะเมื่อสามปีก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าคนผู้นี้จะสามารถต่อกรกับชิงซิ่วอี้ได้จริงหรือไม่
“ไปกันเถอะ” เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งในนครหลวงธารสายไหมมีมากมายราวกับหมู่เมฆ พวกเขามารวมตัวกันเช่นนั้น เฉินซีจึงเตรียมใจไว้นานแล้ว หากเฮ่อเหลียนจวินเพียงคนเดียวสามารถทำให้เขาตกใจสุด ๆ ได้ เช่นนั้นไปถึงนครหลวงธารสายไหมเขาไม่ตกใจตายไปเลยหรือ?
ทว่ายังไม่ทันได้จากไปไกลก็ได้ยินเสียงเหยี่ยวร้องลั่นฟ้าอยู่ไกล ๆ จากนั้นก็เห็นเฮ่อเหลียนจวินขี่เหยี่ยวเหล็กอัสนีโลกันตร์รุดกลับมา!
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้านี่กัน? หรือเขาไม่ยอมทิ้งเจตนาร้ายและอยากจะฉวยโอกาสกับย่าชิงให้ได้?” หวังเจิ้นเฟิงพึมพำ
“เพ่ย! พูดแบบนั้นได้อย่างไรกัน?” ย่าชิงเหลือบมองอีกฝ่ายที่พูดอะไรพล่อย ๆ ด้วยสายตาเกรี้ยวกราด
“หืม? เหมือนจะเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับอสูรบินของเฮ่อเหลียนจวิน ทุกคนระวังด้วย!” เฉินซีมุ่นคิ้วพลางเอ่ยช้า ๆ
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง และจึงพบว่าเหยี่ยวเหล็กอัสนีโลกันตร์ดูอารมณ์ไม่ดี มันส่งเสียงร้องไม่หยุด กระพือปีกพั่บ ๆ ราวกับกำลังรีบ กระทั่งเฮ่อเหลียนจวินเองก็ยังควบคุมมันไม่อยู่
“ฮึ่ม! เจ้าเป็นทายาทของอสูรบินได้แห่งบรรพกาล แต่กลับเต็มใจรับใช้อยู่ใต้เท้ามนุษย์! นับว่าทำให้เผ่าเราเสียหน้ากันทั้งหมด รีบมายอมรับความตายเสีย!” ทันใดนั้น สายฟ้าสีแดงเข้มสุดเร่าร้อนก็กรีดผ่านฟ้า ระบายฟ้าให้กลายเป็นสีแดงในพลันราวกับตะวันสีเลือดปรากฏขึ้น
มันคือนกกระจอกสีแดงเพลิงที่ส่องแสงระยิบระยับราวกับผลึกแก้วที่เปล่งสีแดงจัดและเปลวไฟออกจากร่าง ทันทีที่มันปรากฏกายขึ้น คลื่นความร้อนจากร่างของมันก็กระจายทั่วทิศ ชั้นเมฆรอบข้างพากันละลายหายไป
อสูรบินโบราณ… นกกระจอกเพลิง!
เฉินซีและคนอื่น ๆ หรี่ตาลง เพราะรู้จักเจ้ากระจอกเพลิงนั่นดี มันคือทายาทของอสูรบินโบราณที่มีสายเลือดสูงส่ง ซึ่งสามารถควบคุมมหาเต๋าสูงสุดแห่งไฟและลมได้ มันคือตัวตนที่มีพลังอยู่ในจุดสูงสุดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บินได้ ด้อยกว่าวิหคเพลิง วิหคเพลิงนภา และปักษาวายุเท่านั้น
แม้ว่านกกระจอกเพลิงตัวนี้จะยังไม่โตเต็มที่ แต่ความแข็งแกร่งของมันก็น่ากลัวนัก ความเร็วของมันเหนือกว่าเหยี่ยวเหล็กอัสนีโลกันตร์สองเท่า ทำให้บินมาขวางหน้าเหยี่ยวเหล็กอัสนีโลกันตร์ได้
“นกกระจอกเพลิงหรือ? เจ้าสัตว์หน้าขนพวกนี้กล้ามาทำสัตว์ขี่ของนายน้อยผู้นี้ตกใจหรือ!” เมื่อเฮ่อเหลียนจวินจ้องให้ดีก็เห็นว่ามันคือนกกระจอกเพลิงที่ทำเอาสัตว์ขี่เขาตกใจ เขาตะโกนลั่นขึ้น ก่อนกระโจนซัดกรงเล็บเข้าใส่มันทันใด
“มนุษย์ เจ้ากล้าดูถูกข้าหรือ? แกตายแน่! ใต้หล้านี้ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”
ฟ้าว!
นกกระจอกเพลิงกระพือปีกหลบกรงเล็บ ก่อนจะประชิดถึงตัวเหยี่ยวเหล็กอัสนีโลกันตร์อย่างรวดเร็วราวกับหายตัว จากนั้นจิกจะงอยปากที่เหมือนตะขอเข้าใส่เป้าหมายอย่างรุนแรง
ฉึก!
เหยี่ยวเหล็กอัสนีโลกันตร์นับว่าไร้การป้องกัน บนศีรษะเกิดรูชุ่มเลือดขนาดใหญ่ โลหิตกระจายออกมาพร้อมกับเสียงร้องแหลม ก่อนที่ร่างมหึมาของมันจะร่วงลงดิน
“ไอ้บัดซบ! เจ้ากล้าสังหารสัตว์ขี่ข้า! ตายเสียเถอะ!” สัตว์ขี่ถูกสังหารในพริบตาเช่นนี้ทำให้นัยน์ตาเฮ่อเหลียนจวินแทบถลน เขาคำรามด้วยเสียงเกรี้ยวโกรธพร้อมกับผมยาวที่ไหวพลิ้วตามแรงลม กลิ่นอายอันน่าสะพรึงพวยพุ่งออกจากร่างพร้อมกับเสียงดัง ก่อนจะพุ่งเข้าใส่นกกระจอกเพลิงอย่างรวดเร็ว
“คิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือ? ข้าออกจากทะเลเพลิงปฐพีเพื่อมาร่วมการชุมนุมดาวรุ่งเพราะอยากประมือกับยอดฝีมือทั่วหล้าอยู่แล้ว เจ้าเหมาะมาเป็นหินลับฝีมือให้ข้าพอดี!” นกกระจอกเพลิงคำรามเสียงเย็นด้วยความดูถูก มันกระพือปีกซ้ำ ๆ ทำให้เปลวไฟกระจายออกและปกคลุมฟ้าดิน รอบกายแต้มสีแดงของเปลวเพลิงจนกลายเป็นเหมือนเตาหลอม
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เฮ่อเหลียนจวินเป็นยอดฝีมือสุดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ในดินแดนป่าเถื่อนทางตอนเหนือ พละกำลังของเขาน่าเกรงขามและดุดันนัก ในขณะที่นกกระจอกเพลิงก็เป็นทายาทอสูรบินโบราณที่ควบคุมมหาเต๋าแห่งลมและไฟ เขาจึงไม่อาจประเมินฝีมือของมันต่ำไปได้
ทันทีที่เข้าห้ำหั่นกัน ฟ้าดินพลันสลัว ภูเขา แนวเขา ธารน้ำ พืชพันธุ์ในระยะร้อยลี้พลันถูกพลังปราณของทั้งสองบดขยี้จนสลายไป ชีวิตชีวาพลันสูญหาย เหลือเพียงซากและความแห้งแล้ง
แสงสีแดงแตะแต้มท้องฟ้า แสงศักดิ์สิทธิ์สองสายเข้าปะทะกัน หากมองจากที่ไกลก็อาจเห็นว่าฟ้าดินโกลาหลไปแล้ว
ทางฝั่งเฉินซีและคนอื่น ๆ ต่างก็สังเกตว่าสถานการณ์ไม่ดีนักและออกห่างไปนานแล้ว
แต่เนื่องจากเร่งรีบและยังต้องพาอวิ๋นน่าและเหยียนเยียนที่มีพละกำลังด้อยกว่าไปด้วย เรือเหาะสมบัติโบราณที่นั่งอยู่จึงมิวายถูกพลังทำลายล้างจากการต่อสู้สลายกลายเป็นผุยผงไป
“ไอ้สองคนนี้มันเลวจริง เพียงประเดี๋ยวเดียวก็กระโจนใส่กัน ไม่คิดถึงเราบ้างเลย!” หวังเจิ้นเฟิงพยายามคงสมดุลร่าง สภาพเขาในตอนนี้จึงดูน่าอับอายเล็กน้อย แล้วเขาก็พึมพำด้วยความไม่พอใจออกมา
“ทะเลเพลิงปฐพีหรือ? นั่นเป็นเขตหวงห้ามของดินแดนป่าเถื่อนทางตอนเหนือนี่ แต่นกกระจอกเพลิงทายาทอสูรบินโบราณนั่นกลับออกมาจากที่นั่นได้ การชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้ต้องน่าตื่นเต้นมากแน่” ย่าชิงอุทานขึ้นหลายครั้งด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“นี่ เฉินซีดูทำหน้าแปลก ๆ อยู่นะ” อวิ๋นน่าเก็บสายตาตนกลับมาเงียบ ๆ และหันไปพูดเสียงเบากับคนอื่น ๆ
ทุกคนชะงักไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมอง แน่นอนว่าพวกเขาเห็นเฉินซีที่กำลังมองภาพการต่อสู้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่านัยน์ตาใสกระจ่างและอบอุ่นราวกับจะมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่
เหมือนจะกำลังโกรธสุดขีดก็มิปาน!?
เพราะอะไรกัน?
ชิ้ง!
ในตอนที่ทุกคนยังไม่ทันเข้าใจ เสียงกระบี่เย็นยะเยือกก็ดังขึ้นให้ได้ยิน เสียงคำรามยาวที่น่าสะพรึงกลัวราวกับมังกรน้ำแข็งดังก้องบริเวณ พริบตาต่อมา ร่างเฉินซีก็หายไปแล้ว!