บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 366 แท่นบูชาสังเวยเก้ามังกร
บทที่ 366 แท่นบูชาสังเวยเก้ามังกร
บทที่ 366 แท่นบูชาสังเวยเก้ามังกร
เมื่อพวกเขาพบว่าหญิงสาวก่อนหน้านี้คือหวงฝู่ฉิงอิง ทุกคนต่างก็ส่งเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจ
“ข้าสงสัยว่าชิงซิ่วอี้และเจิ้นหลิวชิงนั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไร ข้าแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะได้เห็นพวกนาง” หวังเจิ้นเฟิงส่ายไปส่ายมาด้วยท่าทางโหยหา
ย่าชิงมองไปที่เฉินซีด้วยสายตาแปลก ๆ และกล่าวว่า “ข้าไม่รู้เกี่ยวกับชิงซิ่วอี้ แต่ข้าเคยได้พบกับเจิ้นหลิวชิง อืม… นางเป็นสหายที่ดีกับเฉินซี”
ทันใดนั้น ทั้งอวิ๋นน่าและเหยียนเยียนก็มึนงงเล็กน้อย เจิ้นหลิวชิงเป็นสหายที่ดีของเฉินซี? ชะตาต้องกับอิสตรีของคนผู้นี้ไม่ใช่ว่าดีเกินไปหน่อยหรือ?
แม้แต่หวังเจิ้นเฟิงก็ยังต้องแสดงความอิจฉาออกมา
เฉินซีไม่ได้คิดอะไรและส่ายศีรษะ “เมื่อการชุมนุมดาวรุ่งเริ่มขึ้น พวกเจ้าทุกคนจะได้พบกับแม่นางเจิ้นอย่างแน่นอน และนางก็ไม่ได้ลึกลับอย่างที่พวกเจ้าคิด แม้แต่ชิงซิ่วอี้ …ก็ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อะไรหรือไม่อาจล่วงละเมิดได้เหมือนที่เจ้าคิด”
หวังเจิ้นเฟิงกล่าวด้วยความตกใจในทันทีว่า “ท่านก็เคยพบกับชิงซิ่วอี้เช่นกัน? หรือว่าท่านทั้งคู่เป็นสหายที่ดีเช่นกัน?”
เฉินซีขมวดคิ้วและรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่กล่าวถึงหญิงสาวคนนี้ ความรู้สึกในใจของเขายามนี้กำลังตีรวนเป็นอย่างมาก
“เราไปดูที่พักกันเถอะ พวกเราเดินทางมากันทั้งวันแล้ว ข้าว่าพวกเราควรพักกันก่อนที่จะไปทำอย่างอื่นดีกว่า” เมื่อนางเห็นเฉินซีไม่เต็มใจที่จะกล่าวถึงชิงซิ่วอี้ ย่าชิงจึงหัวเราะขึ้นมาและช่วยเขาออกจากสถานการณ์นั้น
ในลานที่มีขนาดเล็ก
ลานเล็กแห่งนี้เงียบสงบและสะอาด อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เช่น ห้องกลั่นโอสถและห้องขัดเกลาอาวุธ
เฉินซีตรวจสอบที่พักของเขาและรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนก่อนที่การชุมนุมดาวรุ่งจะเริ่มขึ้น และการที่เขาสามารถเข้าพักในสถานที่อันเงียบสงบเพื่อบ่มเพาะได้นั้นไม่เลวเลย
‘อ่า จริงสิ ถึงเวลาที่ต้องปล่อยมู่ขุยออกมาแล้ว เพราะตอนนี้ข้าอยู่ที่นครหลวงธารสายไหมแล้ว และไม่ต้องกล่าวถึงยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพี แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ก็คงไม่กล้ากระทำผิด ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้น’ เฉินซีคิดในใจและนึกถึงมู่ขุยที่ยังอยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์
ฟิ้ว!
ลำแสงสว่างวาบ จากนั้นมู่ขุยก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องและเจ้าตัวกำลังมองโดยรอบด้วยความงุนงงเล็กน้อย เมื่อเห็นเฉินซี จู่ ๆ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นและโค้งคำนับขณะที่กล่าวว่า “นายท่าน ในที่สุดท่านก็ปล่อยข้าออกมา ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องเบื่อตายอยู่ในนั้นแน่”
“เจ้าบรรลุไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แล้วหรือยัง” เฉินซีพยักหน้าและพบว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างกายของมู่ขุยนั้นดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเดิมมากจนน่าตกใจ นอกจากนี้ดวงตาของมู่ขุยยังเปล่งประกายเจิดจ้าและมีท่าทางที่หนักแน่น
เห็นได้ชัดว่ามู่ขุยบ่มเพาะอย่างขะมักเขม้นตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์โดยไม่หย่อนยานเลยสักนิด มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถบรรลุภายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งปีได้อย่างแน่นอน
“ใช่ขอรับ” มู่ขุยเกาศีรษะของเขาและหัวเราะเบา ๆ การที่ได้ออกจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์และพบกับเฉินซีอีกครั้ง ทำให้เขามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
เฉินซีเข้าใจความรู้สึกของมู่ขุยดีและหัวใจของชายหนุ่มก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในขณะที่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือนครหลวงธารสายไหม พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวชมเมืองเพื่อดูว่าเมืองหลวงอันงดงามแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองถึงเพียงใดกันเถิด”
“นครหลวงธารสายไหม?!” มู่ขุยกล่าวด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง “หากนับตามเวลาแล้ว การชุมนุมดาวรุ่งกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า ในขณะนี้ นครหลวงธารสายไหมน่าจะเต็มไปด้วยผู้คนและยอดฝีมือมากมายที่มีจำนวนราวกับก้อนเมฆบนท้องฟ้าได้แล้วกระมังขอรับ”
เฉินซีเพียงแค่ยกยิ้ม จากนั้นคิ้วของเขาก็เลิกขึ้นขณะที่ดูเหมือนจะนึกถึงบางสิ่งออก แล้วเขาจึงโบกออกไปทำให้เกิดแสงวาบขึ้น จากนั้นไป๋คุยที่มีขนปุยราวกับหิมะและคล้ายกับสิงโตสีขาวตัวจ้อยก็ปรากฏตัวขึ้นภายในห้อง
หลังจากที่เข้าสู่โลกแห่งการบ่มเพาะของที่ราบตอนกลาง ไป๋คุยก็ถูกเก็บไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาตลอดหนึ่งปีเต็มนับตั้งแต่นั้นมา ถ้าไม่ใช่เพราะมู่ขุย เฉินซีคงเกือบลืมเจ้าตัวน้อยตัวนี้ไปแล้ว
“อาวู้!” ทันทีที่ไป๋คุยปรากฏตัว มันก็จ้องมองและยิงฟันไปที่เฉินซีขณะที่ร้องโหยหวน ดวงตาสีดำที่ใสกระจ่างของมันก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ทำให้เฉินซีรู้สึกผิดในใจอย่างมาก
เขารีบหยิบกองสมบัติขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยกลิ่นอายสมบัติล้ำค่าออกมา กองสมบัติเหล่านี้คือสมบัติวิเศษที่ได้ยึดมาจากศัตรูของเขา หรือสมุนไพรวิญญาณที่เขารวบรวมมาจากป่าทมิฬ และวัตถุวิญญาณต่าง ๆ …ชายหนุ่มวางกองสมบัติเหล่านี้ไว้ที่ตรงหน้าของเจ้าตัวน้อยที่กำลังขุ่นเคือง
แน่นอนว่าเมื่ออีกฝ่ายเห็นกองสมบัติมากมาย ดวงตาของไป๋คุยก็เปล่งประกายในขณะที่น้ำลายไหลลงมาจากปากของมัน จากนั้นมันก็กระโจนไปที่กองสมบัติและเริ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนที่จะยื่นกรงเล็บของมันออกไปเพื่อแสดงท่าทางทำอาหารให้แก่เฉินซีดู ราวกับว่ามันกำลังจะสื่อว่า ‘ทำอาหารให้ข้ากินอีกสักมื้อ แล้วข้าจะยกโทษให้กับความผิดของเจ้า’
เฉินซีย่อมปฏิเสธไม่ได้อย่างแน่นอน เขาเลือกวัตถุดิบวิญญาณหลายสิบชนิดที่ไป๋คุยชอบกินมากที่สุดจากภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ก่อนจะตั้งกระทะและเขียง จากนั้นเขาก็เริ่มทำอาหาร
ในเวลาไม่นาน กลิ่นหอมเย้ายวนก็อบอวลไปทั้งห้องและลอยไปทั่วทั้งลานบ้าน
“โอ้ หอมจัง!”
“ที่แท้เฉินซีก็กำลังทำอาหารอยู่ ข้ากับพี่เหยียนได้ลองชิมอาหารของเขาแล้ว และมันก็อร่อยยิ่งกว่าพ่อครัววิญญาณเสียอีก”
“ใช่แล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนดีขนาดนั้น แต่อาหารที่เขาทำนั้นอร่อยจริง ๆ”
“อะไรนะ? พี่เฉินรู้วิธีทำอาหารด้วยหรือ? สวรรค์! หรือว่าเขาอาศัยทักษะการทำอาหารเพื่อให้ได้หัวใจของสาวงามมากมาย?”
เสียงของย่าชิง อวิ๋นน่า เหยียนเยียน และหวังเจิ้นเฟิงดังขึ้นจากที่ลานด้านนอก และดูเหมือนว่าพวกเขาจะถูกดึงดูดด้วยกลิ่นหอมเย้ายวนที่โชยออกมาจากลานบ้าน พวกเขาจึงชื่นชมไม่หยุด
เฉินซีตกตะลึง “พวกเราเพิ่งจากกันได้ไม่นาน แล้วทำไมยังกลับมารวมตัวกันอีกเล่า?” แม้ว่าจะคิดเช่นนี้ แต่เขาก็ยังเปิดประตูและต้อนรับให้คนพวกนั้นเข้ามา
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในห้อง ย่าชิงก็ถูกดึงดูดโดยอาหารอันโอชะที่อยู่บนโต๊ะทันที ดวงตาของนางพลันสดใสและเปล่งประกายขณะที่ชมเชยว่า “ช่างเป็นอาหารหรูหราที่น่าโอชะเสียนี่กระไร มีทั้งจานผัก จานเนื้อ หม้อซุป ของหวาน ผลไม้วิญญาณ สุรารสเลิศ… เอ๊ะ ว่าแต่นั่นมันตัวอะไรกัน? มันกำลังกินอาหารบนโต๊ะอยู่!”
ทันใดนั้นนางก็สังเกตเห็นสัตว์ตัวเล็กที่เหมือนลูกหิมะกลม ๆ กำลังกระโจนไปมาบนโต๊ะขณะที่กินอย่างตะกละตะกลามและมีความสุขมาก อีกทั้งยังกินจนหนำใจจนพุงป่อง
“นี่คือ… สัตว์เลี้ยงของข้า มันชื่อไป๋คุย” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าไป๋คุยจะเป็นลูกปี่เซียะ แต่รูปร่างหน้าตาของมันก็เหมือนกับลูกสิงโต และมันยังมีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น ตามที่จี้อวี๋ได้กล่าวเอาไว้ เว้นแต่เจ้าตัวน้อยนี้จะโตเต็มวัยแล้ว มิฉะนั้น คนธรรมดาทั่วไปจะไม่สังเกตเห็นเลยว่านี่คือสัตว์มงคลปี่เซียะที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในยุคบรรพกาล
เมื่อมันได้ยินคำว่าสัตว์เลี้ยง ไป๋คุยที่กำลังแทะกระดูกสัตว์อยู่บนโต๊ะก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงคำรามอย่างไม่พอใจ แต่มันก็รีบฝังหัวลงไปในจานอาหารอีกครั้ง
“เอ๊ะ สิงโตขาวตัวเล็ก ๆ เนี่ยนะ? มันช่างน่ารักจริง ๆ!” ย่าชิงเดินมาถึงหน้าโต๊ะอย่างตื่นเต้นและสวมกอดไป๋คุย ในขณะที่นางลูบหัวของเจ้าตัวเล็ก ดวงตาของนางก็หรี่ลงเป็นสองเสี้ยว เนื่องจากนางชอบไป๋คุยเป็นอย่างมาก
“เจ้าตัวตะกละนี่… มันถูกโอบกอดไว้ในอ้อมอกของสาวงาม แต่กลับยังแทะกระดูกในมือโดยไม่ปล่อย…” หวังเจิ้นเฟิงแอบหลั่งเหงื่อเย็นออกมา
กระดูกถูกมันแทะจนดูเหมือนถูกขัดเงามา จากนั้นไป๋คุยก็พยายามดิ้นรนให้เป็นอิสระก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดที่นุ่มนวลและมีกลิ่นหอมของสาวงาม และกระโจนเข้าหาอาหารอันโอชะบนโต๊ะอย่างกระวนกระวายใจ
“ใจเย็น ใจเย็น พี่สาวคนนี้จะเลี้ยงเจ้าเอง” ย่าชิงยิ้มกว้างขณะที่นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะและถือตะเกียบเพื่อคีบอาหาร ก่อนจะป้อนให้ไป๋คุย จากนั้นนางก็รินสุรารสเลิศให้มันดื่ม เผยด้านที่อบอุ่นและอ่อนโยนออกมา
“ให้ข้าดูเจ้าตัวเล็กนี้ด้วยคนสิ อ๊า! ขนของมันนุ่มฟูมากและให้สัมผัสที่สบายยิ่ง”
“มันเป็นสิงโตตัวเล็กหรือ? ดูเหมือนจะไม่มีสัตว์อสูรตัวเล็กแบบนี้อยู่ในโลกใช่หรือไม่?”
เหยียนเยียนและอวิ๋นน่าต่างก็ล้อมรอบมันเช่นกัน พวกนางหยิบอาหารอันโอชะต่าง ๆ มาแกล้งไป๋คุยอย่างใคร่รู้ ขณะที่พวกนางสนทนากันไม่ขาดปากว่าพวกตนชอบเจ้าตัวน้อยตัวนี้มากเพียงใด
ซึ่งจริง ๆ แล้ว มันไม่ใช่ความผิดของหญิงสาวทั้งสามคน เนื่องจากไป๋คุยนั้นน่ารักเกินไป มันมีขนาดเท่าฝ่ามือ ขนปุกปุยสีขาวราวกับหิมะ และมีดวงตาสีดำสนิทคู่หนึ่ง ทำให้มันดูมีชีวิตชีวาและน่ารักเป็นอย่างยิ่ง กอปรกับไป๋คุยเป็นสัตว์มงคลในยุคบรรพกาล ดังนั้นจึงทำให้คนอื่นรู้สึกสนิทสนมกับมันโดยปริยาย และนี่คือเหตุผลว่าทำไมมันจึงสามารถเพลิดเพลินกับ ‘โชค’ ที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ได้
ดวงตาของหวังเจิ้นเฟิงกลายเป็นสีแดงเมื่อเขาเห็นภาพนี้ และเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าแปลงร่างเป็นไป๋คุย เพื่อเพลิดเพลินไปกับการปฏิบัติของหญิงงามที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ทั้งสามคน ‘โอ้ แต่แบบนี้ข้าจะไม่กลายเป็นสัตว์หรอกหรือ?’
เมื่อเขาคิดเช่นนี้ หวังเจิ้นเฟิงก็ละทิ้งความคิดลามกในใจของเขาทันที
“หรือว่าพวกเจ้ามาเพราะบางสิ่ง” เฉินซีเอ่ยถามออกไป
“ใช่แล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่มายังนครหลวงธารสายไหม พวกเขาจะต้องไปเยี่ยมชมแท่นบูชาสังเวยเก้ามังกรเป็นธรรมดา เรามาเพื่อชวนท่านไปเยี่ยมชมที่นั่น” หวังเจิ้นเฟิงพยักหน้า
แท่นบูชาสังเวยเก้ามังกร!
เฉินซีนึกออกได้ทันทีว่าแท่นบูชานี้ดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ซึ่งตั้งอยู่ในนครหลวงธารสายไหม เมื่อใดที่ผู้บ่มเพาะเข้าสู่นครหลวงธารสายไหม พวกเขาทั้งหมดล้วนไปเยี่ยมเยียน เนื่องจากตามตำนานเล่าขานไว้ว่า มันถูกทิ้งไว้โดยเหล่าเทพเจ้าในสมัยโบราณและเป็นกุญแจสำคัญในการสะกดเส้นชีพจรมังกรทั้งสามพันสาย และครั้งหนึ่งมันเคยอาบไปด้วยด้วยเลือดศักดิ์สิทธิ์ของมังกรศักดิ์สิทธิ์มากมาย
…
ณ พระราชวังธารสายไหม
ภายในพระราชวังที่กว้างใหญ่และงดงามซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์
มีนักรบเกราะดำยืนตั้งแถวอยู่ที่ด้านซ้ายและแถวของขุนนางในชุดคลุมหรูหราทางด้านขวา ซึ่งพวกเขาทั้งหมดล้วนยืนอย่างเคร่งขรึม
แต่บนบัลลังก์ที่ประดับด้วยมังกรเก้าตัวซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางในขณะนี้นั้นกลับว่างเปล่า
เหล่านักรบและขุนนางกว่าพันคนกำลังรอคอย แต่สีหน้าของพวกเขากลับไม่แสดงท่าทีกระวนกระวายแม้แต่น้อย
หวือ!
ทันใดนั้น เส้นทางขนาดมหึมาก็เปิดขึ้นบนท้องฟ้า ลำแสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องลงมา เมฆหลากสีสันกระจายตัวในท้องฟ้าราวกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในยามที่เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้ปรากฏกายขึ้น
แต่ในเวลาไม่นาน สิ่งเหล่านี้ก็หายไป ซึ่งน่าตกใจที่มีชายชุดดำนั่งตัวตรงอยู่บนบัลลังก์เก้ามังกรแทน
ผมยาวสลวยของชายสวมชุดคลุมสีดำคนนี้ถูกปล่อยเป็นลอนหลวม ๆ อยู่ที่ข้างหลัง รูปร่างหน้าตาของเขาดูธรรมดา แต่ดวงตาของเขากลับมีประกายสายฟ้าแลบ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สลับขึ้นลงอยู่ภายในนั้น อีกทั้งยังเผยให้เห็นถึงทิวทัศน์ที่กว้างใหญ่ไพศาลและสง่างาม ทุกที่ที่เขากวาดสายตาผ่านไป ราวกับมันสามารถทะลุทะลวงโลกและรุกล้ำเข้าไปในจิตวิญญาณของผู้คนได้
อำนาจและอิทธิพลที่ไม่มีใครเทียบได้!
หัวใจของเหล่านักรบและขุนนางในวังสั่นสะท้าน จากนั้นพวกเขาก็คุกเข่าลงทันทีและตะโกนพร้อมกันว่า “ฝ่าบาท!”
น่าตกใจที่ชายในชุดคลุมสีดำคนนี้คือจักรพรรดิซ่งองค์ปัจจุบัน — ‘หวงฝู่จ้งหลิง!’
แผ่นดินซ่งมีอาณาเขตกว้างขวางและทรัพยากรมากมาย เมื่อรวมดินแดนทางใต้ แดนเถื่อนทางตอนเหนือ ทะเลตะวันออก และที่ราบตอนกลางเข้าด้วยกัน พวกมันจะครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดยี่สิบห้าล้านลี้ ซึ่งมีผู้บ่มเพาะและนิกายนับไม่ถ้วนได้ตั้งรกรากและบ่มเพาะอยู่ภายในดินแดนแห่งนี้ ในฐานะจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซ่ง หวงฝู่จ้งหลิงอาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ซึ่งมีทั้งอำนาจและอิทธิพลที่ร้ายกาจ!
“วันนี้ข้าเรียกทุกคนมารวมกันเพื่อเรื่องเดียว ข้าเคยกล่าวไปแล้วว่า หลังจากการชุมนุมดาวรุ่งจบลง ข้าต้องการเปิดสระมังกรแปลงที่ถูกปิดตายมานับพันปี เพื่อแสดงความยินดีแก่คนหนุ่มสาวที่สามารถติดสิบอันดับแรกในการแข่งขันได้”
“แต่ในตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก่อนที่การชุมนุมดาวรุ่งจะเริ่มขึ้น ข้าจะเข้าสู่บริเวณสระมังกรแปลงในช่วงเวลานี้เพื่อเปิดผนึก ดังนั้นข้าจะมอบอำนาจในการจัดการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้ให้กับพวกเจ้าทุกคนอย่างเต็มที่”
“พวกเจ้าทุกคนอย่าลืมปฏิบัติตามกฎของการชุมนุมดาวรุ่ง หากใครฝ่าฝืนกฎก็ประหารชีวิตมันซะ!” ประกายสายฟ้าอันเยียบเย็นพุ่งออกมาจากดวงตาของจักรพรรดิฉู่ที่สวมเสื้อคลุมสีดำ แม้ว่าเสียงของเขาจะสงบนิ่งและทุ้มต่ำ แต่คำกล่าวของเขาก็เป็นดั่งเสียงฟ้าร้องที่สั่นสะเทือนหัวใจของทุกคน
“ขอรับ!” เหล่านักรบและขุนนางต่างก็คุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง จากนั้นพวกเขาก็รับคำสั่งอย่างเคร่งขรึม