บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 367 การรวมตัวของเหล่ายอดฝีมือ
บทที่ 367 การรวมตัวของเหล่ายอดฝีมือ
บทที่ 367 การรวมตัวของเหล่ายอดฝีมือ
นครหลวงธารสายไหมถูกปกคลุมด้วยแสงเจิดจ้าราวกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งออกมาจากสวรรค์ และพวกมันก็แสดงถึงพลังอำนาจอันสูงสุดออกมา
เมื่อเร็วนี้ ๆ ทั่วนครหลวงธารสายไหมก็เริ่มคึกคักมากขึ้น เนื่องจากนิกายชั้นนำและตระกูลเก่าแก่ต่าง ๆ ได้ส่งเหล่าอัจฉริยะมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง
อัจฉริยะรุ่นเยาว์เหล่านี้น่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาล้วนมีอายุน้อยกว่าสามสิบปี แต่การบ่มเพาะของพวกเขาได้บรรลุถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง และนับได้ว่าพวกเขาเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ในนิกายของแต่ละคน
พวกเขาจะต้องเป็นเจ้าของดินแดนนี้ในอนาคต เข้าควบคุมนิกายและตระกูลต่าง ๆ ในโลกใบนี้!
“ดูนั่นสิ ชายหนุ่มผู้สวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีฟ้าอ่อนและมงกุฎขนนกที่มีรูปร่างเหมือนดาวนกยูง เขาคือจ้าวชิงเหอ อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ของหอหยกนภาใช่หรือไม่”
“เอ๊ะ คนคนนั้นดูเหมือนจะเป็นหลิวเฟิ่งฉือแห่งเกาะฉลามมังกรจากทะเลตะวันออก ชุดคลุมสีน้ำเงิน ผ้าคาดเอวที่ทำจากผ้าไหมสีหยก และกระบี่ที่มีฝักซึ่งดูเหมือนกับปลาฉลามกำลังกลืนกระบี่ นี่เป็นลักษณะการแต่งตัวของเขามาโดยตลอด!”
“เซียวหลิงเอ๋อร์! หญิงสาวคนนั้นคือเซียวหลิงเอ๋อร์แห่งนิกายเตากลั่นเซียนนพเก้าอย่างแน่นอน! ชุดที่หรูหราราวกับเปลวไฟ รูปร่างที่สง่างามและบอบบาง รูปลักษณ์ที่งดงามเช่นนั้นจะเป็นผู้ใดได้อีก”
ในขณะนี้ ยอดฝีมืออัจฉริยะรุ่นเยาว์ส่วนใหญ่ได้มาถึงนครหลวงธารสายไหมแล้ว และมักจะพบเห็นพวกเขาได้บ่อยครั้งตามท้องถนนที่กว้างใหญ่และคับคั่งไปด้วยผู้คน แม้ว่าพวกเขาจะปรากฏตัวเพียงช่วงสั้น ๆ แต่หลายคนก็ยังจดจำได้ในพริบตาเดียว ทำให้ฝูงชนพากันส่งเสียงร้องอุทานด้วยความชื่นชมในทันที
แต่มีผู้คนน้อยมากและแทบไม่มีเลยที่จะสามารถจดจำเฉินซีได้ อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครที่จำอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นจากดินแดนทางใต้ผู้นี้ได้
ประกอบกับการที่เขาได้อยู่ร่วมกับสาวงามสามคนที่ดึงดูดสายตาผู้คนนับไม่ถ้วน เขาจึงดูสลัวและไร้ความเฉิดฉายทำให้ถูกผู้คนมองข้ามไป
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่หวังเจิ้นเฟิงได้ยินเสียงอุทานมากมายอยู่ตลอดทาง เขาก็คาดหวังว่าจะมีคนจดจำตนได้เช่นกันและหวังว่ามันจะทำให้ตนได้หน้ากลับคืนมาบ้าง แต่น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนสิ่งนี้จะมาไม่ถึง…
เรื่องนี้ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก ในฐานะนายน้อยแห่งจวนจ้าวอัสนี เขาเป็นบุคคลที่ทุกครัวเรือนในนครอสนีบาตต่างก็รู้จัก จนถึงตอนนี้เขาได้มาถึงนครหลวงธารสายไหมแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะกลายเป็นคนข้างทางที่ไม่มีใครให้ความสนใจ ซึ่งมันได้สร้างบาดแผลต่อความภาคภูมิใจของเขามากเกินไป
แต่เขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เนื่องจากมีอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์โดดเด่นมากเกินไปในนครหลวงธารสายไหม และคนที่ถูกจดจำได้ล้วนเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกมาอย่างยาวนานจนไม่ได้จำกัดอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง
แต่ในเวลาไม่นาน หวังเจิ้นเฟิงก็รู้สึกโล่งใจ เพราะเขาพบว่าบุคคลที่น่าเกรงขามเช่นเฉินซีก็ยังไม่มีใครจดจำได้จนกระทั่งถึงตอนนี้ แล้วตัวเขาจะยังรู้สึกไม่พอใจเมื่อเทียบกับเฉินซีได้อย่างไร?
ณ แท่นบูชาสังเวยเก้ามังกร
เมื่อเฉินซีและคนอื่น ๆ มาถึงที่นี่ ผู้คนมากมายก็ได้หลั่งไหลเข้ามาก่อนแล้ว และมันได้ถูกล้อมรอบด้วยผู้คนจนแม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่สามารถไหลผ่านได้
แท่นบูชาสังเวยเก้ามังกรที่เก่าและทรุดโทรมได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมานับไม่ถ้วน ปัจจุบันเหลือเพียงหินสีดำขนาดมหึมาบางก้อนเท่านั้นและส่วนอื่น ๆ ของมันก็หาไม่พบอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีเพียงคราบเลือดสีทองเข้มบนพื้นผิวของหินที่ยังสามารถมองเห็นได้อย่างราง ๆ
ถึงแม้ว่าแท่นบูชานี้จะเก่าและทรุดโทรม แต่มันก็ปล่อยกลิ่นอายเก่าแก่ที่สั่นคลอนหัวใจและวิญญาณ นอกจากนี้มันยังแฝงด้วยปราณที่น่าสะพรึงกลัวที่ทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะท้าน ดังนั้นแม้ว่าจะมีผู้คนมากมายรุมล้อมอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ และพวกเขาก็ไม่กล้าค้นหาว่ามีความลึกล้ำซ่อนอยู่ภายในนั้นหรือไม่
“หูของข้าเริ่มปวดระบมจากการรับฟังหัวข้อของชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอ หวงฝู่ฉางเทียน และคนอื่น ๆ ในตลอดเวลาที่ผ่านมา มันน่าเบื่อจริง ๆ” ชายหนุ่มถอนใจอย่างหมดอารมณ์
“นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้ ในตอนนี้ ใครจะไม่รู้ว่ามีผู้บ่มเพาะกระบี่ที่มีฝีมือโดดเด่นได้ปรากฏตัวขึ้นในดินแดนทางใต้? ไม่เพียงแต่เขาจะได้รับชัยชนะหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทอง เขายังรอดชีวิตจากการลอบสังหารของตำหนักตะวันดำอีกด้วย บุคคลดังกล่าวนั้นเก่งกล้ายิ่งกว่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่ชื่อเสียงมาอย่างยาวนานเสียด้วยซ้ำ” มีคนกล่าวด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
“ข้าก็ได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน ชายหนุ่มคนนั้นดูเหมือนจะชื่อว่าเฉินซี และเขาก็มีความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง หากเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้ เขาจะต้องเป็นม้ามืดอย่างแน่นอน!” มีคนกล่าวออกมาและถอนหายใจด้วยความใจหาย
“เขามีชื่อเสียงมากหรือ? เหตุใดข้าถึงไม่จับเขามาเป็นทาสของข้าเล่า? ดินแดนที่ห่างไกลและยากจนอย่างดินแดนทางใต้ไม่มีกองกำลังที่ยิ่งใหญ่เท่าไร ดังนั้นเขาน่าจะไม่มีสถานะที่น่าตกตะลึง และการอยู่เคียงข้างเพื่อเป็นทาสรับใช้ของข้าจะไม่ทำให้พรสวรรค์ของเขาต้องสูญเปล่า” ชายหนุ่มที่มีผมสีม่วง ตาตี่ สวมเสื้อคลุมหรูหรา ซึ่งสังเกตได้ว่ามาจากนิกายที่มั่งคั่งและมีอำนาจได้กล่าวออกมาอย่างช้า ๆ
“ไม่มีใครที่สู้ข้าได้! ไอ้บัดซบ! พวกเจ้าเอาเผ่าพันธุ์อสูรของข้ามาเป็นทาส ตอนนี้ข้าจะเอาอัจฉริยะมนุษย์ของพวกเจ้ามาเป็นทาส ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนบอกว่าเขาน่าเกรงขาม งั้นข้าจะเลือกเขา!” ในขณะนั้นเอง เสียงอันแหลมคมก็ดังก้องขึ้นและเสียดแทงแก้วหูของทุกคนจนสั่นสะท้าน
ทันใดนั้นก็มีนกกระจอกเพลิงสีแดงเข้มซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันราวกับสายฟ้าสีแดงเข้ม ทันทีที่มันปรากฏกายขึ้น เปลวเพลิงลุกโชนจนปกคลุมท้องฟ้าและผืนดิน กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวและครอบงำของมันทำให้หัวใจของทุกคนต่างก็สั่นสะท้าน
“นกกระจอกเพลิง! มันสืบเชื้อสายมาจากสัตว์อสูรที่บินได้ในยุคบรรพกาล! อีกทั้งมันอายุยังน้อยแต่กลับมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ จึงเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าสายเลือดของมันค่อนข้างบริสุทธิ์และความสำเร็จในอนาคตจะไม่อาจหยั่งได้” ชายชราที่ผ่านไปอุทานด้วยความชื่นชม และเขาเป็นปรมาจารย์ของนิกาย
สัตว์อสูรที่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอย่างกล้าหาญได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามีกองกำลังอันน่าสะพรึงกลัวหนุนหลังมันอยู่ มิฉะนั้นมันคงถูกจับและทำให้เชื่องไปนานแล้ว
ในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งก่อนมีผู้บ่มเพาะอสูรเข้าร่วมไม่ขาด และยังมีผู้บ่มเพาะอสูรบางคนที่สามารถสยบยอดฝีมือชาวมนุษย์ให้กลายเป็นทาสในประวัติศาสตร์ได้ ดังนั้นการที่นกกระจอกเพลิงกล่าวเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ฝูงชนรู้สึกโกรธเคืองใด ๆ
“เจ้านกโง่เขลาตัวนี้น่าทุบตีจริง ๆ ถ้าข้ารู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงถอนขนของมันออกหมดแล้ว แล้วให้ข้าดูหน่อยสิว่าหลังจากนั้นมันยังจะกล้าจองหองอยู่อีกหรือไม่” เฉินซีทั้งโกรธและสนุกเมื่อเห็นฉากนี้
ย่าชิงและคนอื่น ๆ หัวเราะเบา ๆ อย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่านกกระจอกเพลิงไม่รู้ว่าเฉินซีคือใคร มิฉะนั้นมันคงไม่กล้ากล่าวเช่นนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเลยก็ตาม
“เจ้าโง่! หากเจ้าต้องการต่อสู้กับเฉินซี งั้นก็ต้องผ่านข้าให้ได้ก่อน!”
“ฮึ่ม! พวกสัตว์อสูรล้วนมีความเห็นเกินจริงเกี่ยวกับความสามารถของพวกมัน หากเจ้าต้องการที่จะต่อสู้กับเฉินซีน่ะหรือ? ข้าหวังเต้าซวี่จากนิกายแสงจรัสจะเป็นคนแรกที่ไม่อนุญาต!”
“เจ้าสัตว์ปีก เจ้าค่อนข้างน่าสนใจ หากจับเจ้ามาเป็นสัตว์เลี้ยงก่อนที่ข้าจะเอาชนะเฉินซีได้ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย”
เมื่อทุกคนรู้สึกประหลาดใจกับความเย่อหยิ่งของนกกระจอกเพลิง เสียงสามเสียงที่มาจากทิศทางที่แตกต่างกันก็ดังขึ้นในเวลาเดียวกัน จากนั้นร่างสามร่างก็พุ่งทะลุฟ้าไปทางนกกระจอกเพลิง
เคล็ดวิชาตัวเบาของทั้งสามคนล้วนคล่องแคล่วว่องไวราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้พวกเขามาถึงเกือบพร้อมกัน ทันทีที่พวกเขาลงมาที่พื้น ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นก็จดจำพวกเขาได้ในทันที
“ฮวาโม่เป่ยแห่งเกาะบ่อหยกสวรรค์ของทะเลตะวันออก!”
“หวังเต้าซวี่แห่งนิกายแสงจรัส!”
“นายน้อยสี่แห่งตระกูลโจว!”
ทุกคนตกอยู่ในความโกลาหลในทันที พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าทั้งสามคนนี้จะทำสิ่งเดียวกันโดยไม่ได้พูดคุยกันมาก่อน เพื่อจุดประสงค์เดียวกันนั่นคือสยบความเย่อหยิ่งของนกกระจอกเพลิงตัวนี้เพราะเห็นแก่เฉินซี
เฉินซีไม่เคยคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเช่นกัน และเขาก็อดไม่ได้ที่จะถูจมูกแล้วกล่าวกับตัวเอง “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากแยกทางกันในการชุมนุมธารทอง คนเหล่านี้จะยังคงจำข้าได้”
“ฮึ่ม! มีคนยืนหยัดเพื่อเฉินซี พวกมันช่างโง่เขลาเสียจริง!” ไกลออกไปในฝูงชน หลินโม่เซวียนที่สวมชุดสีดำหัวเราะอย่างเย็นชา และน่าตกใจที่เซียวหลิงเอ๋อร์จากนิกายเตากลั่นเซียนนพเก้า หลิวเฟิ่งฉือจากเกาะฉลามมังกร และหม่านหงจากภูเขานภาลัยก็อยู่เคียงข้างเขาเช่นกัน
คนเหล่านี้ล้วนประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่จากเงื้อมมือของเฉินซีเมื่อครั้งอยู่ในห้วงทะเลทรายมรณะ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกดูถูกเหยียดหยามอย่างที่สุดเมื่อเห็นภาพนี้ และพวกเขาตัดสินใจแล้วว่า หากพวกตนมีโอกาสพบกับเฉินซีในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้ พวกเขาจะต้องทุบตีเฉินซีอย่างแน่นอน!
“ชายหนุ่มคนนั้นคือเฉินซี?” ในมุมหนึ่งของฝูงชน หวงฝู่ฉางเทียนยืนเอามือไพล่หลังขณะที่เขาถามอย่างเฉยเมย
“ใช่แล้ว” หวงฝู่ฉงหมิงตอบด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก และเขาก็ไม่เต็มใจที่จะกล่าวถึงบุคคลที่น่ารังเกียจคนนี้ต่อหน้าพี่ชายของตน
“เขาสามารถหลบหนีการปิดล้อมของเจ้า ชิงซิ่วอี้ และคนอื่น ๆ ในห้วงทะเลทรายมรณะ อีกทั้งยังได้รับชัยชนะหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทอง และแม้แต่รอดชีวิตจากการลอบสังหารของตำหนักตะวันดำ ความแข็งแกร่งของเจ้าเด็กคนนี้ไม่สามารถประเมินต่ำไปได้เลย” หวงฝู่ฉางเทียนกำลังประเมิน จากนั้นประกายแสงอันเย็นชาและอำมหิตก็กลืนกินดวงตาของเขาในขณะที่กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ท่านพ่อได้จ่ายไปในราคาก้อนโต แต่ก็จัดการอะไรเขาไม่ได้เลยสักนิด และทั้งหมดเป็นเพราะความแตกต่างทางสถานะระหว่างพวกเขาที่กว้างเกินไปและกลัวที่จะล่วงเกินตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อข้าเลยแม้แต่น้อย และการชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้ ข้าจะทำให้มันมอบทุกสิ่งมาอย่างเชื่อฟัง”
“ศิษย์พี่หญิง ไม่ว่าอย่างไร ท่านจะต้องทุบตีเจ้าเด็กคนนั้นให้หนักในระหว่างการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้ และจะดีที่สุดถ้าท่านทำให้มันไม่สามารถบ่มเพาะได้อีก!” มีชายสองคนและหญิงสาวหนึ่งคนนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างในร้านอาหารที่อยู่ห่างไกลออกไปมาก ซึ่งคือชิงซิ่วอี้ เผยจง และเซวี่ยเฉิน
คนที่กล่าวออกมาเมื่อครู่นั้นคือเซวี่ยเฉิน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเขาเกลียดเฉินซีเข้ากระดูกดำ เพราะอีกฝ่ายไม่เพียงแต่คว้าเอาแก่นของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกจากเขาไปเท่านั้น แต่สมบัติวิเศษของเขายังถูกเฉินซีแย่งชิงไปในห้วงทะเลทรายมรณะอีกด้วย ความสูญเสียด้วยน้ำมือของเฉินซีอย่างต่อเนื่องนั้น มันก็ทำให้ความเกลียดชังในใจของเขาลึกล้ำอย่างเห็นได้ชัด
ชิงซิ่วอี้ปิดหน้าของนางด้วยผ้าโปร่ง ทำให้คนอื่นไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของนางได้อย่างชัดเจน นางสวมชุดเรียบ ๆ และมีรูปร่างที่บอบบางสูงโปร่ง นางเพียงแค่หมุนถ้วยสุราที่เป็นผลึกใสและโปร่งแสงในมือ อีกทั้งยังไม่ได้กล่าวอะไรเลยสักคำเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“ศิษย์พี่ หรือว่าท่านจะลืมความแค้นเมื่อหลายปีก่อนไปแล้ว?” เมื่อเขาเห็นนางยังคงเงียบ เผยจงก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาจากด้านข้าง
ชิงซิ่วอี้ยืนขึ้นทันทีและมองไปที่แท่นบูชาสังเวยเก้ามังกรที่อยู่ในระยะไกล ก่อนจะหยุดสายตาลงที่ร่างสูงโปร่งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนเล็กน้อย จากนั้นนางก็ถอนสายตาออกและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีก ข้ารู้ว่าต้องทำอะไร” ทันทีที่กล่าวจบ นางก็จากไปอย่างรวดเร็ว
เผยจงกับเซวี่ยเฉินต่างมองหน้ากันและรู้สึกว่าทัศนคติของศิษย์พี่หญิงของพวกเขาดูแปลกไปเล็กน้อย
ภายในฝูงชน เฉินซีดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างและเหลือบมองไปยังร้านอาหารที่อยู่ไกลออกไป จากนั้นเขาก็บังเอิญเห็นร่างคล่องแคล่วได้แวบหายไปต่อหน้าต่อตา
“หรือว่าจะเป็นนาง?” เฉินซีตกตะลึง และเขาก็มั่นใจเกือบเต็มที่ว่าร่างก่อนหน้านี้น่าจะเป็นชิงซิ่วอี้
“บัดซบ! พวกเจ้ารวมหัวกันข่มเหง ข้าไม่เล่นกับพวกเจ้าแล้ว ไว้ข้าจะรอฟาดฟันพวกมนุษย์ไร้ยางอายในระหว่างการชุมนุมดาวรุ่งก็แล้วกัน!” ในขณะนี้ นกกระจอกเพลิงส่งเสียงร้องแหลมและตะโกนออกมา ก่อนที่ร่างของมันจะเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีแดงเข้มที่วูบหายไปอย่างไร้ร่องรอย และความเร็วของมันก็รวดเร็วเกินกว่าจะเทียบได้
ทุกคนรู้สึกขบขันเป็นอย่างมากเมื่อเห็นสิ่งนี้ แม้นกกระจอกเพลิงจะปากคอเราะราย แต่ก็เฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก มันรู้ว่าหนึ่งหมัดไม่อาจสู้สี่ฝ่ามือได้ ดังนั้นมันจึงหนีไปอย่างเด็ดเดี่ยว
หลังจากเหตุการณ์นี้ เฉินซีจึงไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปและเขาก็ตั้งใจจะจากไป แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหูของเขา “ท่านลุง!”
ร่างของเฉินซีแข็งค้างขณะที่เขาหันกลับมาอย่างรวดเร็ว และเห็นว่าที่ด้านข้างของถนนที่อยู่ไกลออกไปนั้น มีเฟยเหลิ่งชุ่ยที่อุ้มเฉินอวี่ตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนของนาง ขณะที่ทั้งคู่โบกมือให้เขา นอกจากนั้นยังมีนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน ราชาเต่าเฒ่า ราชาจิ้งจอกเก้าหาง และคนอื่น ๆ ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอยู่ที่ข้างหลังของนาง
นอกจากนี้ตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อ และซ่งหลินก็ยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาอย่างน่าตกตะลึงเช่นกัน
ทันใดนั้น เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย ซึ่งเขาไม่ได้พบเห็นมานาน เฉินซีก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง