บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 370 ยอดเขาทะยานสวรรค์
บทที่ 370 ยอดเขาทะยานสวรรค์
บทที่ 370 ยอดเขาทะยานสวรรค์
เฉินซีใช้เวลาไม่นานในการลงสมัคร ณ กองเทพองครักษ์ต้าซ่ง เพราะเมื่อเขามาถึง มันก็ไม่มีใครต่อแถวอยู่แม้แต่คนเดียวถึงขนาดที่ว่ากำลังจะปิดจุดลงทะเบียนแล้วด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าเฉินซีมาสาย สีหน้าของเหล่าสมาชิกแห่งกองเทพองครักษ์ต้าซ่งดูแปลกพิกล ไม่ใช่ว่าคนผู้นี้เฉื่อยชาไปหน่อยหรือ? จนถึงยามนี้แล้ว เขาเพิ่งคิดที่จะมาลงทะเบียน?
เฉินซีทำได้เพียงยิ้มแห้งก่อนรีบวัดอายุกระดูกและระดับการบ่มเพาะก่อนรุดฝีเท้าจากไป
ฟิ้ว!
ร่างของเขาหายวับไปในท้องนภา เขาไม่กล้าเถลไถลอีกต่อไป จากนั้นตัวคนก็มุ่งหน้าสู่ยอดเขาทะยานสวรรค์
“ในที่สุดเขาก็ออกเดินทาง ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป ด้วยพละกำลังในปัจจุบันของเฉินซี ตราบใดที่เป็นไปตามแผน เขาจะพิชิตยอดเขาได้อย่างแน่นอน” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนสงบลงเมื่อเห็นร่างของเฉินซีอยู่ไกลห่าง ขณะที่เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้า
“ย่อมใช่ เฉินซีมักจะเตรียมเรื่องชวนประหลาดใจให้กับทุกคนเสมอ ทุกคนที่ดูถูกดูแคลนเขามักจะมีสภาพที่น่าอดสูเป็นอย่างยิ่ง พี่เหยียนเยียนคิดว่าอย่างไร?” ดวงตาของอวิ๋นน่าเปล่งประกายระยิบระยับขณะที่นางกล่าวด้วยท่าทางตื่นเต้น
เหยียนเยียนยักไหล่พร้อมกับกล่าวอย่างหมดหนทาง “เจ้าพูดในสิ่งที่ข้าต้องการเอ่ยหมดแล้ว ยังจะมีอะไรที่ข้าต้องพูดอีก?”
“ข้าทราบว่าพี่เฉินซีต้องพิชิตยอดเขาได้เป็นแน่!” มู่เหวินเฟยกำหมัดแน่นพลางกล่าวด้วยท่าทางเข้มแข็ง เพราะเฉินซีคือต้นแบบในดวงใจของเขามาตลอด
เมื่อมู่เหยาเห็นท่าทางของน้องชายเป็นเช่นนี้ นางจึงหัวเราะออกมาเหมือนกัน เสียงหัวเราะสั่นราวกับระฆังเงิน ช่างไพเราะเสนาะหู
เฟยเหลิ่งชุ่ยโอบกอดเฉินอวี่น้อยขณะมองทิวทัศน์แห่งนี้ด้วยความภาคภูมิใจอยู่เต็มเปี่ยม เนื่องด้วยการปรากฏตัวของพี่สามี เหตุใดตระกูลเฉินจึงต้องกังวลว่าการบูรณะตระกูลให้อยู่ชั่วนิรันดร์จะเป็นไปไม่ได้?
ทว่าย่าชิงกลับขมวดคิ้วพลางกล่าวขึ้นว่า “ด้วยพลังของเฉินซี จริงอยู่ที่เขาสามารถพิชิตยอดเขาได้ แต่ข้าเกรงว่าจะมีคนขัดขวาง เนื่องจากคู่อริของเขาซึ่งเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งนั้นมีจำนวนมหาศาล”
ทุกคนตกตะลึงพร้อมกันเมื่อได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของพวกเขาหม่นลงและไม่ได้กล่าวอะไรอีก และทำได้แต่มองไปยังยอดเขาทะยานสวรรค์
สิ่งที่ย่าชิงกล่าวถูกต้องยิ่งนัก ตัวตนน่าเกรงขามที่ร่วมการชุมนุมดาวรุ่งส่วนใหญ่เป็นปฏิปักษ์ต่อเฉินซี ทั้งองค์ชายหวงฝู่ หลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ หลิวเฟิ่งฉือ หม่านหงและคนอื่นอีกมากมาย
ทุกคนที่กล่าวมาล้วนเป็นที่เลื่องลือและครอบครองพละกำลังที่ไม่อาจสบประมาทได้ หากเป็นการประลองหนึ่งต่อหนึ่งคงอาจจะเอาชนะเฉินซีไม่ได้ แต่หากพวกเขาร่วมมือกันนั่นคงเป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างยิ่ง
ในขณะเดียวกัน ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งได้ทะลุผ่านเกราะแสงศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่ยอดเขาทะยานสวรรค์แล้ว ทว่ายังมีกลุ่มคนบางส่วนที่ถูกสกัดไม่ให้ผ่านเข้ามาทางม่านแสงนี้ได้
คนเหล่านี้มีอยู่ประมาณหนึ่งพันคน การแสดงออกของพวกเขาล้วนดูขุ่นหมอง พวกเขาไม่ละทิ้งความพยายามที่จะจู่โจมเกราะแสงศักดิ์สิทธิ์นี้เพื่อหวังว่าจะได้เปิดเส้นทางสู่ยอดเขาทะยานสวรรค์
หลังจากเหาะเหินสู่อากาศ ความเร็วของเฉินซีก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด เขาพุ่งตรงเข้าไปปะทะกับเกราะแสงศักดิ์สิทธิ์เสมือนกับว่ามันเป็นเพียงแค่สิ่งกีดขวางธรรมดา การกระทำนี้ทำให้ผู้ร่วมการชุมนุมบางคนแสยะยิ้ม พวกเขาอยากเห็นว่าเฉินซีจะทำตัวน่าอับอายเพียงใด
อย่างไรแล้ว คนที่มีพละกำลังมากพอได้ทะลุผ่านเกราะแสงศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ส่วนสาเหตุที่คนที่เหลือไม่ได้เข้าไปนั้นเป็นเพราะพละกำลังของพวกเขายังไม่เพียงพอที่จะผ่านแนวกั้นนี้ได้!
ในสายตาของผู้คนเหล่านี้ เฉินซีก็ไม่ได้แตกต่างกับพวกเขามากนัก
ทว่าสิ่งที่ชวนขนหัวลุกก็คือการที่เฉินซีพุ่งผ่านเกราะแสงศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างง่ายดายราวกับว่าแนวกั้นไม่มีอยู่จริง อีกทั้งยังไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีใด ๆ เลยด้วย!
“ข้าไม่ได้หลอนไปใช่หรือไม่? เขาทะลุผ่านไปโดยตรงเลยรึ? โดยไม่ต้องออกแรงเลยเนี่ยนะ!”
“เหอะ! เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะไม่มีกายเนื้อ? นี่ข้าเห็นผีอย่างนั้นหรือ?”
“อ้า! ข้าจำได้แล้ว! ไม่น่าล่ะว่าหน้าตาดูคุ้น ๆ เขาคือเฉินซีนั่นเอง!”
เหวินเสวี่ยนและพรรคพวกล้วนตกตะลึงอย่างยิ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่แค่พวกเขาที่เป็นเช่นนี้ แต่ยังมีผู้ชมที่ไม่ได้สังเกตเห็นความพิเศษอะไรในตัวเฉินซีเมื่อครู่นี้ด้วย เพราะตอนนี้เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างก็เดินทางเข้าสู่ยอดเขาทะยานสวรรค์กันหมดแล้ว ขณะที่ผู้ซึ่งหลงเหลืออยู่คือคนที่มีพละกำลังด้อยกว่า
ภายใต้สถานการณ์นี้ การที่เฉินซีผ่านเกราะแสงศักดิ์สิทธิ์ไปได้จึงดึงดูดความสนใจของทุกคน กระทั่งทำให้หลายคนจดจำชื่อเสียงเรียงนามของเขาได้อีกด้วย
“ฮึ่ม! เขาแค่ทำได้เพียงแกว่งเท้าหาเสี้ยนเท่านั้นแหละ! หลังจากเข้าสู่ยอดเขาทะยานสวรรค์แล้ว เดี๋ยวก็รู้เองว่าอันตรายคืออะไร!” ผู้คนที่เกลียดชังเฉินซีหัวเราะเยาะ
แน่นอนว่าเฉินซีไม่ทราบเรื่องทั้งหมดนี้ หลังจากผ่านเกราะแสงศักดิ์สิทธิ์เข้ามาได้แล้ว เขาก็มาถึงโลกแปลกประหลาดแห่งหนึ่ง และเขาก็รู้สึกถึงปราณฟ้าดินซึ่งหนาแน่นกว่าบนโลกภายนอกอยู่หลายต่อหลายเท่าเกือบทันที มันมากจนเกือบจะอยู่ในสภาพที่ควบแน่นเป็นของเหลวแล้ว
‘หากข้าบ่มเพาะในที่แห่งนี้ ผลลัพธ์ต้องเป็นสองเท่าอย่างแน่นอน… หืม? ดูเหมือนสถานที่แห่งนี้จะแตกต่างจากโลกภายนอก คล้ายกับว่ามันเป็นโลกใบเล็กอีกใบหนึ่ง?’ เฉินซีกวาดสายตาไปทั่วสารทิศและสังเกตเห็นทะเลสาบใสบริสุทธิ์ ที่ขดด้วยชีพจรมังกร บริเวณโดยรอบมีพืชพรรณอุดมสมบูรณ์ พื้นที่กว้างใหญ่ปกคลุมด้วยเถาวัลย์วิญญาณ ทำให้มันดูเหมือนวิมานเซียน
ในระยะไกลห่างปรากฏยอดเขาทะยานสวรรค์ที่สูงตระหง่าน ซึ่งถูกห้อมล้อมด้วยแสงชมพูกุหลาบ
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่อาจรับรู้ถึงโลกภายนอกราวกับถูกพลังลี้ลับกักขังเอาไว้
เฉินซีไม่ทราบว่าแม้เขาจะไม่สามารถมองเห็นโลกภายนอกได้จากที่นี่ แต่โลกภายนอกสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่นี่ได้อย่างชัดเจน ทว่าภาพที่มองเห็นได้นั้นถูกจำกัดอย่างมาก สิ่งเดียวที่มองเห็นได้ชัดเจนคือสิ่งที่เกิดขึ้นบนยอดเขาทะยานสวรรค์เท่านั้น
ส่วนทะเลสาบ เถาวัลย์วิญญาณ ต้นไม้ พื้นดิน… โลกภายนอกไม่อาจมองเห็นได้หมด
นี่เป็นความมหัศจรรย์ของยอดเขาทะยานสวรรค์ ยอดเขาซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่านครหลวงธารสายไหม! บรรยากาศเต็มไปด้วยเจตจำนงแห่งเต๋า กลิ่นอายของความเร้นลับฟุ้งซ่านไปทั่ว
“หืม?” ดูเหมือนเฉินซีจะสังเกตเห็นบางอย่าง มุมปากแฝงความเย็นชา ร่างของเขาพลันขยับโดยไม่แสดงสัญญาณใด ๆ ทว่าเขาไม่ได้ปรากฏตัวบนยอดเขาทะยานสวรรค์ เพียงพุ่งตรงมาถึงต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไปร้อยจั้ง ก่อนจะเหวี่ยงหมัดออกไป!
ตู้ม!
เสียงแตกหักก้องกังวานในขณะที่ต้นไม้ใหญ่แตกสลายกลายเป็นผงธุลี จากนั้นร่างหนึ่งก็รีบเข้าปะทะกับเฉินซี ทว่ามือขวาของชายหนุ่มจับและบีบคอของอีกฝ่ายอย่างแน่นหนา ทำให้ร่างนั้นไม่กล้าที่จะกระทำการบ้าบิ่นอันใดอีก
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มสวมชุดสีเทา เขามองเฉินซีด้วยสายตาหวาดผวาระคนสับสน เฉินซีเห็นตนเองได้อย่างไรกัน? เพราะวิชารัศมีไร้ร่องรอยของเขาก็เป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติยังสังเกตเห็นได้ยาก!
“บอกข้ามาว่าเจ้ามารอใครที่นี่ ข้าจะได้ไว้ชีวิตเจ้า” น้ำเสียงของเฉินซีแฝงความเย็นชา
ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ด้วยจิตสัมผัสเทพผนวกกับคลื่นจิตสะท้อนของเฉินซี แม้ว่าวิชารัศมีไร้ร่องรอยของชายหนุ่มคนนี้จะค่อนข้างโดดเด่น มันก็ยังไม่อาจหลุดรอดสายตาของฝ่ายที่สังเกตเห็นได้ในทันทีอยู่ดี
ในตอนแรก เขาไม่ได้ใส่ใจนัก ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาสังหารในดวงตาที่จ้องมองมาคู่นั้น มันจึงกลายเป็นเหตุผลที่ชายหนุ่มจู่โจมโดยไม่อ่อนข้อให้แม้แต่น้อย!
“เจ้าอย่าคิดแม้แต่จะบดขยี้ตราหยก ข้ามีเวลามากพอที่จะสังหารเจ้าก่อนที่เจ้าจะออกไปจากที่นี่” เฉินหน้าตายกล่าว เมื่อเขาสังเกตเห็นมือขวาที่กำลังแอบขยับของอีกฝ่าย จึงทราบถึงเจตนาโดยพลัน
ตราหยกซึ่งได้มาจากกองเทพองครักษ์ต้าซ่งหลังจากการลงทะเบียนมีพลังแห่งการเคลื่อนย้าย ยามที่ผู้เข้าร่วมการชุมนุมประสบกับภยันตราย เมื่อใดที่บดขยี้ตราหยกนี้ ผู้นั้นจะถูกส่งกลับไปยังโลกภายนอก
ใบหน้าของชายหนุ่มชุดเทาหม่นหมองลง จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง “เจ้าเห็นข้าแล้ว ข้ายังมีทางรอดอยู่อีกหรือ? จะฆ่าหรือจะฟันข้าก็เชิญ แต่ขอบอกก่อนว่าต่อให้สังหารข้า เจ้าก็ไม่มีทางขึ้นสู่ยอดเขาทะยานสวรรค์ได้!
กร๊อบ!
เฉินซีบีบคออีกฝ่ายจนหักโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว แล้วเขาก็พบกระเป๋าจากศพ เมื่อเปิดดูอย่างคร่าว ๆ เขาจึงเข้าใจทุกอย่าง
กระเป๋าใบนี้มีเพียงกระบี่ระดับปฐพีขั้นสุดยอด ตราหยก และโอสถกลั่นแรกเริ่มมากกว่าหนึ่งแสนเม็ด
สิ่งของที่สำคัญที่สุดคือตราหยก และที่น่าตกใจคือบนเหรียญตรามีเขียนคำว่า ‘จ้าวอู่ ที่ราบตอนกลาง นิกายสวรรค์ปฐพี’ รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับขอบเขตแกนทองคำขั้นสูงและข้อมูลอื่น ๆ เฉินซีเห็นเช่นนี้แล้วจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าใครกำลังต่อต้านเขา?
‘พวกเขาไม่ยอมละทิ้งความคิดอันชั่วร้ายของตนเองเสียที! ถึงเวลาขจัดปัญหาที่เริ่มขึ้นในห้วงทะเลทรายมรณะแล้ว…’ เฉินซีครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วเขาก็อดเหลือบมองไปยังซากศพบนพื้นไม่ได้ ก่อนจะพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
การชุมนุมดาวรุ่งเป็นสถานที่แห่งเกียรติยศที่คนรุ่นเยาว์บนโลกต้องการสร้างชื่อเสียงเกียรติยศ และยังมีการแข่งขันอย่างโหดเหี้ยม แม้จะมีตราหยกคู่กายเพื่อหนีกลับมาสู่โลกภายนอก ความตายก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในการชุมนุมดาวรุ่งอยู่บ่อยครั้ง ฉะนั้นเฉินซีจึงไม่ได้กังวลกับการฝ่าฝืนกฎการแข่งขันโดยการปลิดชีพผู้คนมากนัก
ระหว่างทางเฉินซีใช้คลื่นจิตสะท้อนเพื่อค้นหาผู้บ่มเพาะที่มีเจตนาสังหาร ไม่ว่าจะมาคนเดียวหรือมาเป็นกลุ่มสองถึงสามคน ย่อมกล่าวได้ว่าผู้คนที่ผ่านเกราะแสงศักดิ์สิทธิ์เข้ามาสู่ยอดเขาทะยานสวรรค์ได้คือผู้ที่น่าเกรงขามบนโลกภายนอก แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกเฉินซีปราบจนสิ้นท่า
ดูจากตราหยกของพวกเขาจึงเห็นได้ว่าคนเหล่านี้มาจากนิกายสวรรค์ปฐพี นิกายเตากลั่นเซียนนพเก้า ตำหนักจ้าวปัญญา เกาะฉลามมังกรและอื่น ๆ สิ่งนี้ทำให้เฉินซีมั่นใจยิ่งขึ้นว่านี่คือยุทธการล้างแค้นโดยการร่วมมือระหว่างกองกำลังต่าง ๆ จำนวนมหาศาล!
“ดี! ผู้คนที่เดินทางเข้าสู่ยอดเขาทะยานสวรรค์มาได้ล้วนเป็นลูกศิษย์ชั้นยอดในนิกายของตนทั้งสิ้น และยังมีแววว่ารุ่งอีกด้วย หากข้าสังหารทุกคนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แม้จะยังรอดชีวิต ก็คงไม่พ้นอาการบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่” สีหน้าของเฉินซียังไม่แยแสผู้ใด ใจของเขาจดจ่อจนถึงที่สุดราวกับเพชฌฆาต หมายมาดกวาดล้างศัตรูมากมายที่กำลังซุ่มโจมตีระหว่างเส้นทางสู่ยอดเขาทะยานสวรรค์
ผู้บ่มเพาะบางคนเริ่มสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไปและเตรียมที่จะถอยหนี ทว่าพวกเขากลับถูกเฉินซีขัดจังหวะและปลิดชีพโดยไม่ลังเล ซึ่งชายหนุ่มคงไม่สำเร็จหากไม่มีปีกนภาดารกะ มันทำให้เขาได้เปรียบในเรื่องความเร็วอย่างยิ่ง
และแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ยังมีผู้รอดไปได้ ซึ่งเฉินซีไม่อาจทำการใด ๆ เนื่องจากอีกฝ่ายบดขยี้ตราหยกอย่างเด็ดขาดและยอมแพ้ในการแข่งขัน ทำให้เฉินซีทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
จนถึงบัดนี้เฉินซีได้มาถึงตีนเขาทะยานสวรรค์ เขายึดตราหยกมาได้ถึงยี่สิบเจ็ดชิ้น อีกทั้งยังได้รับโอสถกลั่นแรกเริ่มสามล้านเม็ดและสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดอีกมากมายก่ายกอง
ผู้บ่มเพาะเหล่านี้คือศิษย์สายหลักซึ่งเป็นตัวแทนจากหลากหลายนิกาย พวกเขาอยู่ในวัยหนุ่มสาว มีศักยภาพมหาศาลและพรสวรรค์เหนือธรรมชาติ ฉะนั้นความมั่งคั่งที่พวกเขามีจึงมากมายเป็นกอบเป็นกำ
บัดนี้ ทั้งหมดตกเป็นของเฉินซีแล้ว!
ช่างเป็นพลังแห่งเต๋ารู้แจ้งที่น่าเขย่าขวัญยิ่งนัก! ขณะที่ยืนอยู่ที่ตีนเขาทะยานสวรรค์ เฉินซีเงยหน้ามองพร้อมกับเตรียมใจ ก่อนที่ความตกตะลึงอันสุดจะพรรณนาจะปะทุขึ้นในจิตใจของเขา!!