บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 371 แรงกดดันจากเต๋ารู้แจ้ง
บทที่ 371 แรงกดดันจากเต๋ารู้แจ้ง
บทที่ 371 แรงกดดันจากเต๋ารู้แจ้ง
ครืนนนน!
ยิ่งเข้าใกล้ยอดเขาทะยานสวรรค์มากเท่าไร คนคนนั้นก็จะยิ่งสัมผัสได้ถึงความพิเศษของภูเขาลูกนี้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งดูเหมือนว่าภูเขาลูกนี้จะถูกควบแน่นจนก่อรูปจากเต๋ารู้แจ้งที่มีจำนวนนับไม่ถ้วน
ยิ่งไปกว่านั้น เต๋ารู้แจ้งเหล่านี้ก็มีพลังมหาศาลและไร้ขอบเขตเหมือนคลื่นยักษ์ที่ปะทุจากยอดเขาและถาโถมลงมาพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน
มันเหมือนเสียงคำรามของมังกรและพยัคฆ์ที่กวาดผ่านไปทั่วสวรรค์และโลก อีกทั้งยังเขย่าจักรวาล
เฉินซียังไม่ได้เริ่มปีนขึ้นไปบนยอดเขา แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกกดดันที่มาจากภายในหัวใจ และรู้สึกราวกับว่าเมื่อใดที่ขึ้นไปยังภูเขาลูกนี้ เขาอาจจะต้องพบกับหายนะ
นอกจากนี้ เขาก็พบว่ามีผู้บ่มเพาะจำนวนมากกำลังขึ้นไปบนภูเขาด้วยการเดินเท้า และพวกเขาก็มีจำนวนไม่น้อยกว่าสามหมื่นคน
เมื่อมองจากระยะไกล พวกเขาเป็นเหมือนแถวฝูงมดที่ไต่ระดับขึ้นทีละขั้น
คนที่อยู่สูงที่สุดได้มาถึงครึ่งทางของภูเขาแล้ว แต่พวกเขาก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เนื่องจากระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นไกลเกินไปและประกอบกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมอยู่ ทำให้เฉินซีไม่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ที่นำอยู่ไม่กี่คนนั้นเป็นผู้ใด!
ส่วนผู้คนที่อยู่ต่ำที่สุดนั้น พวกเขาปีนขึ้นไปได้เพียงร้อยยี่สิบจั้งเท่านั้นและความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้ก็ด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่พวกเขาเดินขึ้นไปบนภูเขา พวกเขาต่างมีท่าทางราวกับจะขาดอากาศหายใจ ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อไคล ซึ่งดูเหมือนว่าทุกย่างก้าวจะยากลำบากและหนักหน่วงเกินจะยกขาขึ้นได้
ราวกับว่าพวกเขากำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงข้ามของกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวอยู่บนภูเขา ทำให้คนอื่น ๆ ต่างก็กังวลว่าพวกเขาจะถูกพัดหายไปได้ทุกเมื่อ
“อ๊าก!”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นที่ระยะสองลี้บนภูเขา ชายหนุ่มคนหนึ่งส่งเสียงร้องโหยหวนขณะที่ร่างกายของเขาถูกระเบิดกระเด็นจนปลิวออกจากยอดเขาทะยานสวรรค์ด้วยแรงมหาศาล จากนั้นแสงสีขาวก็กะพริบไปมาและตัวคนก็หายไปจากสายตา
เห็นได้ชัดว่าเขาถูกกำจัดไปแล้ว
เฉินซีจำได้ว่าคนผู้นี้ดูเหมือนจะชื่อเว่ยตงเฉิง ในระหว่างการชุมนุมธารทอง เว่ยตงเฉิงเคยพ่ายแพ้ด้วยมือของเขาครั้งหนึ่ง และเขาก็เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ ซึ่งมีความแข็งแกร่งพอสมควร
แต่ตอนนี้ อีกฝ่ายกลับตกรอบที่ระดับความสูงสองลี้และผลลัพธ์แบบนี้ก็น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“ช่างมันเถอะ มันจะยากหรือง่าย มีเพียงต้องลองด้วยตัวเท่านั้นจึงจะรู้ได้” เฉินซีไม่ลังเลอีกต่อไปและก้าวไปข้างหน้า
เมื่อเขาโคจรการบ่มเพาะทั้งหมด เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าแรงกดดันที่ล้อมรอบร่างกายของตนอยู่ได้ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้น และเขาก็ไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอีกเลยหลังจากที่ก้าวขึ้นไปบนยอดเขาทะยานสวรรค์อีกก้าวหนึ่ง
ที่แท้ การทดสอบของยอดเขาทะยานสวรรค์นี้ก็เป็นการทดสอบเกี่ยวกับการฝึกฝนเต๋ารู้แจ้งของผู้บ่มเพาะ! ยิ่งผู้บ่มเพาะเข้าใจเต๋ารู้แจ้งมากเท่าใด และยิ่งมีความสำเร็จสูงในเต๋ารู้แจ้งเหล่านี้ แรงกดดันที่เผชิญก็จะยิ่งอ่อนแรงลง แต่ผู้มีความสำเร็จต่ำและมีความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งน้อย แรงกดดันที่พวกเขาได้รับก็จะมากกว่า
ในตอนนี้ ชายหนุ่มได้เข้าใจเต๋ารู้แจ้งมากกว่าสิบชนิดแล้ว นอกจากเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาและเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือน เต๋ารู้แจ้งอื่น ๆ ก็ได้บรรลุถึงขอบเขตเริ่มต้นหรือสูงกว่านั้น ด้วยเหตุนี้ แรงกดดันที่เขาต้องทนรับก็จะอ่อนแรงลงเป็นอย่างมาก
เฉินซีเข้าใจในทันที และเขาก็ไม่กล้าเดินขึ้นไปอย่างสบายใจอีกแล้ว
มีเพียงเส้นทางเดียวที่ขึ้นสู่ยอดเขาทะยานสวรรค์ และมันก็กว้างขวางยิ่ง ซึ่งสามารถรองรับผู้คนมากกว่าหนึ่งร้อยคนที่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันขึ้นไปบนยอดเขา
เมื่อเดินขึ้นไปบนภูเขา แรงกดดันก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเมื่อก้าวขึ้นไป
แรงกดดันนี้มาจากพลังงานของเต๋ารู้แจ้งที่พุ่งลงมาจากยอดเขา พลังงานของเต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ มารวมกันและเปลี่ยนเป็นกระแสพลังถาโถมลงมา แม้ว่ามันจะไร้รูปร่าง แต่แรงกดดันจะพุ่งตรงไปที่หัวใจและวิญญาณของผู้คน จนไม่อาจต้านทานและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
และสิ่งของภายนอกเช่นสมบัติวิเศษจะไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ภายใต้แรงกดดันของกระแสพลังจากเต๋ารู้แจ้ง
ขณะที่เฉินซีเดินอยู่บนยอดเขา เขาก็ค่อย ๆ เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ด้วยการบ่มเพาะเต๋ารู้แจ้งของตนในปัจจุบัน เขาจะสามารถบินได้อย่างง่ายดาย!
และเขาไม่ต้องทนรับแรงกดดันหรือการคุมคามจากพลังงานของเต๋ารู้แจ้งภายในระยะสิบห้าลี้แรกเป็นอย่างน้อย
แต่ถ้าหลังจากพ้นความสูงสิบห้าลี้แรกไปแล้ว เขาก็อาจจะพอผ่านไปได้ แต่เฉินซีจะบินขึ้นไปอย่างโง่เขลาอย่างแน่นอน เพราะด้วยวิธีนี้ เขาจะโดดเด่นเกินไป อีกทั้งยังดึงดูดความสนใจจากศัตรูได้ง่ายทำให้เสี่ยงที่จะถูกโจมตี
บนเส้นทางสู่ยอดเขาทะยานสวรรค์ก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่เพราะจิตสัมผัสเทพของเขาแข็งแกร่งพอ และได้บรรลุเคล็ดวิชาตรวจจับจิตสัมผัสเทพอันน่าอัศจรรย์เช่นคลื่นจิตสะท้อน เขาคงได้รับบาดเจ็บจากการถูกลอบจู่โจมอยู่หลายครั้ง
ในขณะนี้ มีผู้คนจำนวนมากที่มองเขาเป็นศัตรูอยู่บนยอดเขาทะยานสวรรค์ ขณะที่พวกมันกำลังรอให้เขาปรากฏตัว ชายหนุ่มจึงไม่กล้าประมาทเลินเล่อ
ดังนั้นในสายตาของผู้คนยามนี้ เฉินซีจึงดูเหมือนเดินอย่างไม่เร่งรีบ ฝีเท้าของเขาสม่ำเสมอราวกับเคลื่อนไหวเป็นจังหวะ และเดินขึ้นไปบนภูเขาโดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุดหรือเฉื่อยช้าแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ยังไม่เห็นความหนักใจบนใบหน้าของชายหนุ่มแม้แต่น้อย มันนิ่งสงบและไม่แยแส ซึ่งไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาทั่วไป โดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มก็เดินไปได้สูงถึงสองลี้แล้ว และได้ทิ้งผู้บ่มเพาะกลุ่มใหญ่ไว้ที่ด้านหลังของเขา
แม้ว่าเฉินซีจะไม่ต้องการเป็นที่สะดุดตา แต่ท่าทางที่ผ่อนคลายขณะที่ก้าวขึ้นไปบนภูเขานั้นก็ค่อย ๆ ดึงดูดความสนใจของใครบางคน
“เจ้าหนุ่มคนนั้นดูผ่อนคลายมาก ข้าสงสัยนักว่าเขามาจากนิกายหรือกองกำลังใด?”
“เจ้าโง่! นั่นมันเฉินซี! บุคคลอันน่าเกรงขามที่ได้รับชัยชนะหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทอง! ดังนั้นการที่เขาจะทำสิ่งนี้ได้อย่างปกติ มันก็ไม่แปลกอะไร!”
“เขาคือเฉินซีหรือ? เขาคู่ควรกับชื่อเสียงของเขาจริง ๆ”
“เฮ้ ข้าได้ยินมาว่ามีคนมากมายที่ต้องการจัดการกับเขา นอกจากนี้คนทั้งหมดที่ว่าล้วนเป็นบุคคลที่ทรงพลัง ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะบอกว่าเขาจะสามารถขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้หรือไม่”
ณ เส้นทางบนภูเขา ผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์จำนวนมากมองไปที่เฉินซีที่กำลังห่างออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ บ้างก็อุทานด้วยความชื่นชม บ้างก็ตกตะลึง บ้างก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น และอื่น ๆ อีกมากมาย
แต่ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็ไม่คิดที่จะสนใจเฉินซีอีกต่อไป เนื่องจากแรงกดดันของเต๋ารู้แจ้งที่ถาโถมลงมาจากยอดเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป และในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่พวกเขาหันเหความสนใจไปทางอื่นก็มีผู้บ่มเพาะสามคนที่ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของเต๋ารู้แจ้งได้ ทำให้พวกเขาถูกพัดออกจากภูเขาทันทีและตกรอบไปโดยปริยาย
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่โหดร้ายเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตั้งสมาธิ เพื่อที่จะสามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกกำจัด
ที่ความสูงสิบห้าลี้ของยอดเขาทะยานสวรรค์
กลุ่มผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ที่มีจำนวนมากกว่าสิบคนมารวมตัวกันที่นี่ แต่สิ่งที่น่าแปลกนั้นคือพวกเขาไม่ได้ปีนขึ้นไปบนภูเขาอีกต่อไป และสายตาของพวกเขาก็มองลงมาพร้อมกันราวกับว่ากำลังรออะไรบางอย่าง
“เมื่อครู่นี้ข้าได้รับข่าวมาว่าคนของเราที่ซุ่มอยู่ที่ตีนเขาทะยานสวรรค์เกือบทั้งหมดได้ถูกเจ้าหนุ่มนั่นฆ่าล้างและมันน่าจะใกล้ถึงพวกเราแล้ว ดังนั้นทุกคนจงเตรียมตัวให้พร้อม” ชายหนุ่มในชุดสีดำที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำกล่าวด้วยท่าทางเย็นชา
“ฆ่าล้าง? พลังของเจ้าหนุ่มนั่นน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ?” ใครบางคนที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวด้วยความตกใจ “ถ้าเป็นเช่นนี้ มันจะไม่… อันตรายไปหน่อยหรือที่เราจะลงมือที่นี่?”
“ใช่แล้ว แม้ว่าเราจะมีหลายคน แต่เราก็ต้องแบ่งพลังมากกว่าครึ่งหนึ่งเพื่อต้านทานแรงกดดันจากเต๋ารู้แจ้งที่อยู่รอบตัว หากเราลงมือที่นี่ อย่างน้อยที่สุดเราจะสามารถใช้พละกำลังได้เพียงสามส่วน แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเจ้าหนุ่มคนนั้นรับมือได้ยากและเสี่ยงชีวิตต่อสู้กับเรา หากเป็นเช่นนั้น พวกเราทั้งหมดจะไม่ถูกกำจัดไปพร้อมกับมันหรือ? เราเดินมาถึงที่นี่ด้วยความยากลำบาก และข้าไม่อยากจากไปเพราะเหตุนี้”
“พอ!” ทันใดนั้น ชายหนุ่มในชุดสีดำก็คำรามอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองทุกคน “เราเป็นศิษย์สายหลักที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางจากนิกายและกองกำลังอันยิ่งใหญ่และเรามีกันตั้งสิบสามคน หรือเราจะไม่สามารถจัดการกับเฉินซีที่มาคนเดียวได้?”
“ข้ายังได้ยินมาจากองค์ชายหวงฝู่ว่า เมื่อเราทำภารกิจนี้สำเร็จ เราแต่ละคนจะได้รับโอสถกลั่นแรกเริ่มสามล้านเม็ด! หากเห็นแก่ความมั่งคั่งนี้ เราต้องลงมือเท่านั้น ทุกท่านคิดว่าอย่างไร”
โอสถกลั่นแรกเริ่มสามล้านเม็ด!
ดวงตาของคนอื่น ๆ พากันส่องประกายและรู้สึกหวั่นไหวในใจเป็นอย่างมาก จากนั้นความลังเลบนใบหน้าของพวกเขาก็หายไปหมดสิ้น พวกเขาต่างถูฝ่ามือเข้าด้วยกันและรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
เป็นไปดั่งคำกล่าวที่ว่านกตายเพราะอาหาร คนตายเพราะทรัพย์
ด้วยผลประโยชน์จำนวนมหาศาลเช่นนี้จะกระตุ้นให้ผู้คนต้องเสี่ยงชีวิตและหลั่งเลือดเพื่อมัน
และสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ก็เป็นเช่นเดียวกัน ศิษย์ที่มาจากตำหนักจ้าวปัญญา นิกายกระเรียนพิสุทธิ์ นิกายสวรรค์ปฐพี นิกายเตากลั่นเซียนนพเก้า เกาะฉลามมังกร และภูเขานภาลัยนั้นต่างกระตุ้นเจตนาฆ่าต่อเฉินซี เพื่อรับรางวัลเป็นโอสถกลั่นแรกเริ่มสามล้านเม็ด!