บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 376 การพบปะโดยไม่คาดฝัน
บทที่ 376 การพบปะโดยไม่คาดฝัน
บทที่ 376 การพบปะโดยไม่คาดฝัน
ยอดเขาทะยานสวรรค์นั้นสูงถึงหกร้อยลี้เศษ มันตั้งตระหง่านและสูงชัน ทุกเส้นทางที่มุ่งสู่ยอดเขานั้นกว้างขวางราวกับเส้นทางสู่ดินแดนสวรรค์ ซึ่งรองรับผู้คนได้มากกว่าหนึ่งร้อยคน
เฉินซีเดินตามทางหุบเขา เขามาถึงความสูงสี่ร้อยลี้ก่อนจะซ่อนตัวในพุ่มไม้และเฝ้ามองอยู่ไกลห่าง
บนเส้นทางหุบเขาที่อยู่ห่างไกลได้มีเสียงต่อสู้อันดุเดือดก้องกังวาน ศึกครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ได้เกิดขึ้นนานมากแล้ว พื้นดินปกคลุมไปด้วยชิ้นส่วนแขนและขา โลหิตไหลเป็นธารน้ำ ศพหลายสิบนอนเกลื่อนพื้น เป็นภาพที่น่าหดหู่ยิ่งนัก
บัดนี้ มีเพียงชายฉกรรจ์สองคนซึ่งกำลังปิดล้อมสตรีคนหนึ่ง
ในบรรดาชายสองคนนั้น คนหนึ่งมีรูปร่างสูงกำยำ สวมเสื้อคลุมสีดำ มีผมยาว มือของเขาถือไม้เท้าสีดำสนิทซึ่งกลายรูปเป็นมังกรน้ำทมิฬ มังกรพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา กรงเล็บอันแหลมคมของมันฉีกทะลุท้องฟ้าและจู่โจมไปยังสตรีผู้นั้น
อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มสวมชุดสีเงิน ยืนท่าทางสง่าพร้อมสีหน้าเย็นชา นิ้วของเขาผสานกัน กระบี่ร้อยแปดเล่มถูกควบคุม มันตกลงสู่สตรีราวกับห่าฝนในขณะที่เปล่งกลิ่นอายดุร้ายน่าเกรงขาม
ส่วนในฝั่งของสตรีนั้น…
นางสวมชุดกระโปรงสีม่วง รูปลักษณ์ที่อ่อนช้อย น่าหลงใหล และสวยงามยิ่ง คิ้วดำเหมือนน้ำหมึก จมูกเรียว ริมฝีปากสีสดแดง ผิวพรรณเรียบเนียนขาวดุจหิมะ ดวงตาของนางสวยใสดั่งแอ่งน้ำลึกในฤดูใบไม้ผลิ ในขณะนี้ ดวงตาดังกล่าวเต็มไปด้วยโทสะและความเกลียดชัง
เมื่อเฉินซีเห็นรูปร่างหน้าตาของสตรีผู้นี้ ใจของเขาสั่นสะท้านดั่งฝนฟ้าคะนองจนเขาเกือบจะร้องออกมา
เพราะสตรีผู้นั้นคือฟ่านอวิ๋นหลาน!
ต้องใช่นางเป็นแน่ ตลอดชีวิตนี้เฉินซีคงไม่มีวันลืมหัวหน้าหมู่ตึกแห่งนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตได้ ส่วนเหตุผลนั้นก็ง่ายนิดเดียว ขณะอยู่ที่บ่อน้ำกลางป่าภายในห้วงทะเลทรายมรณะ ทั้งสองเกิดเหตุพิศวาสกันภายใต้ผลของกำยานสวรรค์…
ความทรงจำนี้ฝังใจเขาชั่วนิรันดร์ อีกทั้งเป็นสิ่งที่เฉินซีไม่เคยอยากจะนึกถึง เพราะก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่เพียงแต่ทั้งสองจะไม่มีความรู้สึกให้แก่กันแต่น้อย ทว่าพวกเขายังเป็นคู่อริกันอีกด้วย!
เหตุใดนางจึงเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้?
เฉินซีแสดงอาการสันสน แม้ในการต่อสู้หลายต่อหลายครั้ง จิตใจของเขาจะสงบนิ่งมาเนิ่นนาน ทว่าในตอนนี้กลับกลายเป็นลุกลี้ลุกลน
ก่อนหน้านี้ เขาเตรียมการเอาไว้เพื่อเผชิญหน้ากับชิงซิ่วอี้ ทว่าไม่เคยคิดเคยฝันว่าจะพบกับฟ่านอวิ๋นหลาน ณ ที่แห่งนี้ ราวกับโชคชะตากำลังเล่นตลกกับเขา
“เดี๋ยวนะ! ระดับการบ่มเพาะของนางคือขอบเขตจุติไม่ใช่รึ! เหตุใดนางจึงเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งได้? หรือว่าข้ากำลังฝันอยู่ นี่คงไม่ใช่ฟ่านอวิ๋นหลานจริง ๆ?” เฉินซีพลันระลึกถึงกฎเกณฑ์ของการชุมนุมดาวรุ่งขึ้นมาได้ จากนั้นเขาก็จ้องมองสตรีผู้นั้นอีกครั้ง
รูปร่างหน้าตานี้ทำให้เขาตระหนักโดยพลันว่าระดับการบ่มเพาะของสตรีผู้นี้ อย่างมากที่สุดคือขอบเขตแกนทองคำขั้นสมบูรณ์แบบ ทว่าเต๋ารู้แจ้งที่นางหยั่งถึงนั้นน่าตกตะลึงยิ่งนัก เนื่องจากมันมีมากเกินสิบรูปแบบ
ที่สำคัญที่สุดคือวิชากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าของนางได้ปลดปล่อยเปลวเพลิงแห่งความชั่วร้ายซึ่งก่อตัวเป็นโครงกระดูกที่มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ นี่คือฝ่ามือมารวังวนโลหิตซึ่งมีเต๋ารู้แจ้งแห่งนิกายอสูรถึงสิบหกรูปแบบ!
เฉินซีจำช่วงเวลาที่อยู่ในห้วงทะเลทรายมรณะได้ดี เพราะฟ่านอวิ๋นหลานเคยใช้กระบวนยุทธ์ระดับเต๋านี้เพื่อต่อกรกับชิงซิ่วอี้มาก่อน
“หรือว่าจะเป็นนางจริง ๆ? นอกเสียจากระดับการบ่มเพาะที่เปลี่ยนไป ลักษณะภายนอกและกระบวนยุทธ์โดยรวมยังคงเหมือนเดิม เกิดอะไรขึ้น?”
ปัง!
ขณะนี้ สถานการณ์การต่อสู้พลิกผัน ดวงตาของชายชุดดำเปล่าประกายในขณะที่มังกรน้ำก่อตัวขึ้นจากคันไม้สีดำ มันฟาดกรงเล็บไปยังสตรีผู้นั้น ทำให้นางกระเด็นออกไปหลายสิบจั้ง
ชายหนุ่มในชุดสีเงินฉวยโอกาสนี้ร่ายกระบี่ทั้งร้อยเล่มจนกลายเป็นฝนดาวตก ซึ่งส่งเสียงอันน่าหวาดผวาขณะโหมกระหน่ำใส่สตรีผู้นั้น
“ช่างมันเถอะ ใครจะสนว่านางเป็นฟ่านอวิ๋นหลานหรือไม่ใช่ ข้าจะเข้าไปช่วยนางก่อน…” ใจของเฉินซีเริ่มวิตกเมื่อทราบว่าหากไม่มีใครช่วยเหลือในตอนนี้ ชีวิตของสตรีผู้นี้อาจจะตกอยู่ในอันตราย
ฟิ้ว!
เฉินซีใช้ปีกนภาดารกะโดยพลัน ก่อนที่เขาจะกลายเป็นแสงสว่างแวววับบนขอบฟ้าพุ่งมาสู่สนามรบ
เมื่อเห็นว่านางร้ายผู้นี้กำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของเฉิงอวิ่น ใจของชุยเถี่ยจึงเต็มไปด้วยความสุข มันทำให้เขาตื่นเต้นจนแววตาแฝงไปด้วยความกระหายเลือด
ชีวิตของพรรคพวกทั้งสิบหกคนคือราคาที่ต้องจ่ายไปในการพยายามสังหารนางมารร้ายผู้นี้ หากเขายังไม่สามารถสังหารนางได้ เฉิงอวิ่นเชื่อว่าสหายของเขาจะต้องเสียสติเป็นแน่
ในที่สุดนางมารร้ายผู้นี้ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตี อีกทั้งยังเกือบจะสิ้นลมหายใจ สิ่งนี้ทำให้ชุยเถี่ยถอนหายใจโล่งอก เขารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกับความป่าเถื่อนและความหวาดผวาที่ทิ้งไว้ให้อีกฝ่าย
เมื่อเปิดโอกาสให้แล้ว คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับเฉิงอวิ่นเท่านั้น…
ขณะที่ชุยเถี่ยครุ่นคิด สายตาของเขาก็จ้องเขม็งไปยังสนามรบ กระบี่ทั้งร้อยแปดเล่มของเฉิงอวิ่นบรรจุมหาเต๋าแห่งโลหะอันทรงพลัง ดังนั้นเมื่อเขาโจมตีด้วยพละกำลังเต็มเปี่ยม นางมารร้ายก็จะถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดกลายเป็นแอ่งฟองเลือด
ฉากฟองเลือดฟุ้งกระจายไปทั่วท้องนภาคงเป็นเรื่องน่าสลดแต่ก็สวยงามมากในเวลาด้วยกันไม่ใช่หรือ?
ชุยเถี่ยรู้สึกตื่นเต้นจนอดไม่ได้ที่จะแลบลิ้นออกมาเลียมุมปาก เขายังเห็นแววแห่งความสิ้นหวังฉายชัดในดวงตาของนางมารร้าย…
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
ทันทีที่ชุยเถี่ยคิดว่านางมารร้ายจะต้องตายอย่างแน่นอน ร่างสูงพลันปรากฏตัวขึ้น กระบี่ในมือของร่างนั้นเหวี่ยงออกไป ทำให้กระบี่ที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้าขาดออกเป็นสองท่อนราวกับเศษกระดาษ!
เป็นไปได้อย่างไร?
รูม่านตาของชุยเถี่ยหดตัว เขาแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง กระบี่ถลาลมทั้งร้อยแปดเล่มล้วนเป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสูง เมื่อผสานพลังกัน ศักยภาพการทำลายล้างของมันก็น่าเกรงขามยิ่งกว่าสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดเสียอีก ทว่าในจังหวะนี้ทั้งหมดกลับถูกทำลายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
อั๊ก!
เฉิงอวิ่นผู้สวมชุดสีเงินที่อยู่ใกล้เคียงพลันกระอักเลือดออกมาเต็มปากขณะที่ร่างของเขาโซเซ สีหน้าซีดเผือดจนดูโปร่งแสง กระบี่ถลาลมเหล่านี้ถูกเชื่อมกับพลังชีวิตของเขาซึ่งตอนนี้ได้ถูกทำลายลงแล้ว ทำให้ร่างกายและจิตใจของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เขารู้สึกเจ็บปวดทั้งกายและใจ ขณะที่สายตามองไปยังชายหนุ่มที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน เขาไม่เคยจินตนาการได้ว่าเหตุใดบุคคลที่น่าเกรงขามเยี่ยงนี้จึงปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาวิกฤตขณะนี้!
คนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฉินซี หลังจากที่ยันต์ศัสตราของเขาได้รับการเสริมความแข็งแกร่งตั้งแต่อยู่ที่ปราการเดียวดาย คุณภาพของมันจึงเหนือกว่าสมบัติวิเศษขั้นสวรรค์มากแล้ว อีกทั้งตัวยันต์ยังถูกเสริมความแข็งแกร่งด้วยเคียวแห่งการสังหาร ดังนั้นเมื่อเขาจู่โจมอย่างบ้าคลั่ง พละกำลังที่ใส่เข้าไปจึงมากพอที่จะทำลายกระบี่ถลาลมทั้งร้อยแปดเล่มจนหมดสิ้น
การปรากฏตัวของเฉินซีมาพร้อมกับความเงียบงัน
ทั้งชุยเถี่ยและเฉิงอวิ่นขยับเข้ามาใกล้กันและเตรียมตั้งรับพลางจับจ้องไปที่เฉินซีผู้จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวตรงหน้า ดวงตาของพวกเขาแฝงความโกรธและความกลัว
พลังต่อสู้ที่เฉินซีแสดงออกมาทำให้พวกเขาไม่อาจวู่วาม
“เฉินซี!” เสียงกรีดร้องอันแหลมดังออกมา เป็นเสียงของสตรีรูปงามในชุดสีม่วง เดิมทีนางคิดว่าคงไม่รอดอย่างแน่นอน แต่ไม่เคยคิดเคยฝันว่านางจะได้รับการช่วยเหลือในยามคับขันเช่นนี้?
สิ่งที่นางคาดไม่ถึงที่สุดคือผู้ช่วยเหลือนางจริง ๆ แล้วคือไอ้สารเลวที่นางจดจำไปตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการถลกหนังและกินเขาทั้งเป็น!
เมื่อเสียงร้องอันแหลมคมนี้ดังก้องออกมา เฉินซีจึงสามารถยืนยันตัวตนของหญิงสาวในชุดสีม่วงคนนี้ได้ทันที ทำให้เกิดความรู้สึกซับซ้อนอยู่ในใจ เขารีบหายใจเข้าก่อนจะมองไปยังชายฉกรรจ์ทั้งสองด้วยสายตาเย็นชาพลางกล่าว “หากไสหัวออกไปตอนนี้ ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า ข้าจะให้เวลาคิดเพียงหนึ่งลมหายใจ!”
สีหน้าของชุยเถี่ยและเฉิงอวิ่นหม่นลง พวกเขาอยากจะระเบิดโทสะออกมา ทว่าเมื่อสบตาที่แฝงเจตนาสังหารของเฉินซี พวกเขาจึงรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาทันที แล้วคนทั้งคู่ก็เร่งหันหลังจากไปโดยไม่ลังเล
พวกเขาเข้าใจดีว่าเพิ่งผ่านศึกอันหฤโหดมา สภาพในตอนนี้ของพวกเขาจึงอ่อนแออย่างยิ่ง ในทางกลับกัน พละกำลังที่เฉินซีแสดงออกมานั้นเป็นที่ชวนขนหัวลุก ฉะนั้นจึงไม่ต้องไตร่ตรองว่าการรีบหนีไปเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดแล้ว
“เจ้าปล่อยพวกมันไปทำไม!? เจ้าเอาอะไรมาตัดสินแทนข้า?” เมื่อเห็นว่าชายทั้งสองหายไปจากเส้นทางหุบเขาภายในชั่วพริบตา ฟ่านอวิ๋นหลานพลันโกรธจนควันออกหูขณะที่ยืนขึ้นพลางจ้องมองเฉินซีด้วยสายตาที่เกือบจะลุกเป็นไฟ
เฉินซีเก็บยันต์ศัสตราก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “สิ่งที่เจ้าควรทำมากที่สุดคือพักผ่อน มิฉะนั้นเจ้าจะไม่มีทางไปถึงยอดเขา”
ฟ่านอวิ๋นหลานกัดฟันแน่น หน้าอกยุบพองอย่างรวดเร็วขณะจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่นางเกลียดชังทุกเมื่อเชื่อวัน อารมณ์ของนางใกล้จะระเบิดเต็มที
ตู้ม!
ทันใดนั้นนางจึงยกมืออันบอบบางขึ้น เปลวเพลิงสีดำถูกควบแน่น จากนั้นนางก็ขว้างเปลวเพลิงไปยังเฉินซี สายลมพัดผ่านจากฝ่ามือของนางไปสู่ห้วงอากาศ เห็นได้ชัดว่านางกำลังใช้พลังทั้งหมดที่มี
เฉินซีเลิกคิ้วขึ้น เขารู้สึกกราดเกรี้ยวในใจ ‘สตรีผู้นี้เกลียดข้าขนาดนี้เลยหรือ? ข้าเพิ่งจะช่วยชีวิตนางนะ!’
แม้ความคิดในใจจะเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบสนองช้าลงเลย แล้วร่างของชายหนุ่มก็เอี้ยวหลบฝ่ามือของอีกฝ่ายก่อนจะกระทืบเท้าลงบนพื้น จังหวะถัดมาเขาได้ปรากฏตัวตรงหน้าฟ่านอวิ๋นหลานก่อนยื่นมือออกมาจับคอของนาง
ฟ่านอวิ๋นหลานตะลึงงัน ไม่อาจคาดฝันว่าตนเองจะแพ้ขาดด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ทำให้ใจของนางมีแต่ความโกรธและเกลียดชัง นางชำเลืองมองหน้าเฉินซีซึ่งอยู่ใกล้กันมากก่อนกัดฟันกล่าว “ทำไมไม่สังหารข้าเสียที? ปลิดชีพข้าได้แล้ว!”
หากว่ากันตามเหตุผล ฟ่านอวิ๋นหลานเคยเป็นศัตรูของเขา ทว่าตอนนี้เฉินซีมองเห็นความเหนื่อยล้า ความโกรธ และความเกลียดชังซึ่งหนักแน่นถึงขั้นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกสิ่งเหล่านี้ออกจากใบหน้าที่งดงามอ่อนช้อยของนาง ขณะกำลังฟังคำถามตีโพยตีพายของอีกฝ่าย ร่องรอยแห่งความอ่อนโยนผุดขึ้นในใจของเฉินซีโดยไร้เหตุผล ทำให้เขาถอนหายใจและไม่อาจปลิดชีพนางได้
“ไม่ว่าเจ้าจะเกลียดข้ามากเพียงใด ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ท้ายที่สุดร่างกายของเจ้าก็เคยถูกข้าครอบครองไปแล้ว ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนได้ ตามมา ข้าจะพาเจ้าไปที่ยอดเขาทะยานสวรรค์” เฉินซีเงียบอยู่นานก่อนจะเหยียดมือออกไป โดยความที่ไม่สนใจว่าฟ่านอวิ๋นหลานจะตอบตกลงหรือไม่ จากนั้นเฉินซีจึงอุ้มอีกฝ่ายขึ้นหลังก่อนเดินไปตามเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขา
“ปล่อยข้าไปซะ! ไอ้คนบ้า ข้าจะชำแหละส่วนล่างของเจ้าออกเป็นสองท่อนเดี๋ยวนี้!” ฟ่านอวิ๋นหลานดิ้นรนอย่างหนัก ทว่าแขนของเฉินซีเป็นเหมือนข้อเหล็กที่รัดเท้าแน่น จนไม่อาจหลุดพ้นได้ทำให้นางรู้สึกโมโห ตื่นตระหนก อีกทั้งยังมีร่องรอยแห่งความสับสน
เฉินซีเม้มริมฝีปากและนิ่งเงียบในขณะที่เขาทำเป็นหูหนวกใส่นางพลางเดินต่อไปอย่างเงียบงัน ดูเหมือนเขาจะไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยว่าหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังนั้นพร้อมที่จะจู่โจมตนอย่างไร้ปรานี
เมื่อเห็นดังนั้นฟ่านอวิ๋นหลานก็ขบฟันอีกครั้ง นางยกมืออันบอบบางขึ้นพร้อมพลังควบแน่นเหนือศีรษะของเฉินซีอยู่เพียงแค่สามชุ่น แต่เมื่อนางตบลงไป ความรู้สึกอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงพลันทะลักออกมาจากหัวใจทำให้นางไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
ก…เกิดอะไรขึ้นกับข้า?
ฟ่านอวิ๋นหลานสับสนเล็กน้อย ใจเริ่มปั่นป่วน และจิตนั้นว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง ก่อนที่จะพบกับเฉินซีอีกครั้ง นางได้คิดสารพัดวิธีที่จะทรมานอีกฝ่าย อาทิ การสับเฉินซีเป็นชิ้น ๆ ก่อนเผากระดูกเพื่อให้เขาประสบกับความตายอันน่าสยดสยอง
ทว่าจังหวะที่เฉินซีปรากฏตัว นางเริ่มสังเกตได้ว่าตนเองรู้สึกลังเลและวอกแวก กระทั่งไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี
“หากเจ้ารู้สึกเหนื่อยก็พักซะสิ อย่ากังวลไป หากมีข้าอยู่ ไม่มีใครฆ่าเจ้าได้” น้ำเสียงสุขุมเยือกเย็นของเฉินซีดังก้องในหูของอีกฝ่าย
ณ ตอนนี้ ความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ปรากฏขึ้นในใจของฟ่านอวิ๋นหลานโดยไม่มีสาเหตุ ในขณะที่จิตใจตกสู่ความสับสนอลหม่าน นางเพียงได้แต่จ้องมองไปยังโครงหน้าอันหล่อเหลาของเฉินซีอยู่เงียบ ๆ