บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 377 ป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้
บทที่ 377 ป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้
บทที่ 377 ป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้
บนยอดเขาทะยานสวรรค์ เฉินซีได้โจมตีอย่างรุนแรงเพื่อทำลายกระบี่บินทั้งหนึ่งร้อยแปดเล่ม จากนั้นจึงเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ โดยแบกแบกฟ่านอวิ๋นหลานไว้บนหลังของเขา
ที่ด้านนอกของยอดเขาทะยานสวรรค์ ทุกคนที่ได้เห็นการกระทำทั้งหมด อดไม่ได้ที่จะกล่าวคุยอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“ที่ความสูงสี่ร้อยลี้! เฉินซีทำลายกระบี่บินหนึ่งร้อยแปดเล่มด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวภายใต้แรงกดดันจากเต๋ารู้แจ้งที่น่าสะพรึงกลัว อีกทั้งยังได้ช่วยหญิงสาวคนนั้นจากภยันตราย ความแข็งแกร่งระดับนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน!”
“เจ้ากล่าวผิดแล้ว! ข้ารู้สึกว่าความแข็งแกร่งของหญิงสาวคนนั้นกลับทรงพลังยิ่งกว่า เจ้าไม่เห็นหรือว่านางสังหารศัตรูไปสิบหกคนก่อนที่เฉินซีจะปรากฏตัว? ในแง่ความแข็งแกร่ง ของนางอาจดูทรงพลังยิ่งกว่าเฉินซีเสียด้วยซ้ำ”
“แต่สิ่งที่ข้าสนใจที่สุดนั้นคือความสัมพันธ์ระหว่างเฉินซีกับหญิงสาวคนนั้น เขาแบกนางขึ้นหลังและขึ้นภูเขาโดยไม่เขินอายเลยแม้แต่น้อย หรือว่าพวกเขาจะเป็นคู่รักกัน?”
“พวกเจ้าทุกคนเข้าใจผิดแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบ ดูเหมือนพวกเจ้าจะมองข้ามปัญหาไป มีใครรู้จักตัวตนของหญิงสาวคนนั้นบ้างหรือไม่? นางมาจากนิกายใด หรือชื่อของนาง พวกเจ้ารู้จักหรือไม่? จากการสังเกตของข้า หญิงสาวคนนั้นใช้เคล็ดวิชาการบ่มเพาะของนิกายอสูร ยิ่งกว่านั้น นางเชี่ยวชาญมันเป็นอย่างมากและมีพลังที่น่าเกรงขาม เห็นได้ชัดว่านางเป็นผู้บ่มเพาะมาร!”
“ผู้บ่มเพาะมาร? สวรรค์! นางคงไม่ได้มาจากนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตใช่หรือไม่?”
ภายในพระราชวังธารสายไหม มียอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวสุดขีด “เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเศษเดนจากนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตจึงปรากฏตัวในการชุมนุมดาวรุ่ง? เพราะเหตุใด?!”
นักพรตเต๋าขอบเขตเซียนปฐพีผู้นี้มีนามว่า อวี้คุนจื่อ เขาเป็นหนึ่งในบรรพชนของนิกายจากที่ราบตอนกลาง และผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์นับหลายสิบคนจากนิกายบ่อหยกได้เสียชีวิตด้วยน้ำมือของฟ่านอวิ๋นหลานก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุนี้อวี้คุนจื่อจึงโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
ยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็มองหน้ากันและกัน ใบหน้าของพวกเขามีร่องรอยของความกังวลสงสัย
เนื่องจากหลายพันปีก่อน คำว่า ‘นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต’ นั้นเป็นตัวแทนของความชั่วร้ายและบาปอย่างมหันต์ เพียงแค่ได้ยินคำนี้ก็ทำให้ผู้คนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เนื่องจากมันทำให้เกิดการเข่นฆ่านองเลือดอย่างไร้ขอบเขตในโลกแห่งการบ่มเพาะและทำให้สมาชิกของราชวงศ์ซ่งได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
ยอดฝีมือเฒ่าเหล่านี้ได้ดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน ดังนั้นพวกเขาจึงมีความเข้าใจค่อนข้างลึกซึ้งเกี่ยวกับนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต และเช่นเดียวกับอวี้คุนจื่อ พวกเขาก็คาดเดาต้นกำเนิดของฟ่านอวิ๋นหลานได้ราง ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรู้สึกประหลาดใจและงุนงงในใจของพวกเขาได้
“สหายนักพรตเต๋า ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกมากนัก” ทันใดนั้น มหาเสนาบดีก็ไอแห้ง ๆ และกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงทราบเกี่ยวกับนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตแล้ว หญิงสาวคนนั้นมีนามว่าฟ่านอวิ๋นหลานซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่ตึกของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต และเป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ที่อนุญาตให้นางเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง”
“พระราชประสงค์?”
สีหน้าของทุกคนดูเคร่งขรึมขณะที่พวกเขาเริ่มคาดเดาในใจโดยพร้อมเพรียงกัน ‘เหตุใดจักรพรรดิฉู่ถึงทำเช่นนี้? หรือว่าเขาได้บรรลุข้อตกลงบางอย่างกับนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตแล้ว?’
มหาเสนาบดีกวาดสายตามองทุกคน จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ทุกคน โปรดอย่าได้คาดเดาอย่างไม่เหมาะสม การกระทำของจักรพรรดิย่อมมีความหมายลึกซึ้งอยู่ในตัวเอง ดังนั้นเรามารับชมการแข่งขันกันดีกว่า”
“พี่ใหญ่ย่าชิง ท่านรู้จักหญิงสาวคนนั้นหรือไม่” ตู้ชิงซีลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นางก็ยังรวบรวมความกล้าที่จะเอ่ยถามออกไป
“เฉินซีรู้จักหญิงงามมากมาย ข้าจะรู้จักพวกนางทั้งหมดได้อย่างไร” ที่ริมฝีปากของย่าชิงปรากฏร่องรอยการเย้ยหยันตนเอง และเมื่อเห็นเฉินซีแบกฟ่านอวิ๋นหลานไว้บนหลังในขณะที่ก้าวขึ้นไปบนยอดเขาทีละก้าว ในใจของนางก็รู้สึกถึงอารมณ์ที่หลากหลาย
“ไม่จำเป็นต้องถามข้า ข้าก็ไม่รู้จักนางเช่นกัน” อวิ๋นน่ารีบส่ายศีรษะเมื่อเห็นตู้ชิงซีมองมาที่นาง
“ข้ารู้ว่ามู่เหยาย่อมไม่รู้จักหญิงสาวคนนั้นอย่างแน่นอน แล้วเจ้าล่ะ?” ตู้ชิงซีทำอะไรไม่ถูกและหันหน้าไปมองเหยียนเยียน
เหยียนเยียนมีสีหน้าขุ่นเคืองและกล่าวว่า “ข้ากล่าวไปกี่ครั้งแล้ว? ข้ามีความสัมพันธ์ธรรมดาทั่วไปกับเฉินซี ดังนั้นข้าจึงไม่สนใจว่าเขาจะมีคนรักอีกสักกี่คน”
ทันทีที่กล่าวจบ นางก็พบกับสายตาจากหญิงสาวทุกคน “ความสัมพันธ์ธรรมดาทั่วไป? ใครจะไปเชื่อเจ้า!?”
ความรู้สึกไร้อำนาจเกิดขึ้นภายในหัวใจของเหยียนเยียน และนางก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ “หรือว่าหญิงสาวทุกคนต้องมีความสัมพันธ์กับเฉินซี เมื่อนั้นพวกเจ้าจึงจะพอใจ?
“ดูสิ! คนกลุ่มแรกได้มาถึงยอดเขาทะยานสวรรค์แล้ว และพวกเขาก็เริ่มยื้อแย่งป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้กันแล้ว!” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนที่อยู่ใกล้เคียงก็กล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ
ทุกคนต่างก็ตกตะลึงก่อนจะมองไปที่ยอดเขาทะยานสวรรค์อย่างพร้อมเพรียงกัน แน่นอนว่าพวกเขาเห็นชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอ หวงฝู่จิ่งเทียน เจิ้นหลิวชิง และอีกหลายสิบคนที่ขึ้นไปถึงยอดเขาและเริ่มยื้อแย่งป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้
บนยอดเขาทะยานสวรรค์เป็นน้ำตกที่เกิดจากพลังงานเต๋ารู้แจ้ง ซึ่งมันถูกห้อยอยู่บนท้องฟ้าเหนือยอดเขาสองลี้และไหลลงมาสู่ด้านล่าง และป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้ก็ถูกสร้างขึ้นจากน้ำตกเต๋ารู้แจ้งแห่งนี้
ป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้ก็เป็นดั่งสิ่งที่ใช้พิสูจน์ตัวตน ผู้บ่มเพาะที่ขึ้นไปบนยอดเขาจะต้องต้านทานกระแสน้ำที่หลั่งไหลลงมาจากน้ำตกเต๋ารู้แจ้ง และต้องชิงป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้ให้ได้ เพื่อที่จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งในขั้นต่อไป
แต่สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงเป็นพิเศษคือมันมีป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้เพียงสามพันหกร้อยแผ่นเท่านั้น ดังนั้นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้ จึงกลายเป็นการทดสอบที่สองของการชุมนุมดาวรุ่งไปโดยปริยาย
ซึ่งการทดสอบนี้ก็โหดร้ายถึงขีดสุดเช่นเดียวกัน
เนื่องจากมีผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์จำนวนมากกว่าห้าหมื่นคนที่ได้เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้ จากการคำนวณตามการชุมนุมดาวรุ่งในครั้งก่อน จะมีคนไม่เกินสองหมื่นคนที่จะสามารถขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดได้
ซึ่งผู้บ่มเพาะสองหมื่นคนจะต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้ที่มีเพียงสามพันหกร้อยแผ่น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ใคร ๆ ก็สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่า การต่อสู้เพื่อแย่งชิงป้ายคำสั่งแห่งการต่อสู้นั้นจะรุนแรงเพียงใด
“ด้วยความแข็งแกร่งของเฉินซี การแย่งชิงป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้นั้นไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่ตอนนี้เขากำลังอุ้มหญิงสาวคนนั้นอยู่ ดังนั้นเขาจึงอาจจะถูกนางจำกัดการเคลื่อนไหว แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้า…?” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนขมวดคิ้ว แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีกต่อไป
เหล่าหญิงสาวต่างก็รู้สึกว่าหัวใจถูกบีบรัด และพวกนางก็ไม่ปล่อยให้จิตใจล่องลอยต่อไป ขณะที่จ้องมองไปที่เฉินซี
…
ที่ความสูงสี่ร้อยสามลี้
ที่ความสูงสี่ร้อยสิบสองลี้
ที่ความสูงสี่ร้อยยี่สิบลี้
…
เฉินซีแบกฟ่านอวิ๋นหลานไว้บนหลังของเขา ยิ่งเขาก้าวขึ้นไปสูงมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงกดดันมากขึ้นเท่านั้น และแรงกดดันของเต๋ารู้แจ้งที่พรั่งพรูมาจากทุกทิศทุกทางก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมกับสิ่งนี้ มันให้ความรู้สึกราวกับว่าเขากำลังเดินอยู่ท่ามกลางกระแสพลังที่ถาโถมลงมาจากบนยอดเขา และเขาต้องเปลี่ยนพลังครึ่งหนึ่งเพื่อต้านทานแรงกดดันเสียก่อน จึงจะสามารถหลีกเลี่ยงการถูกกระแสพลังจากยอดเขาพัดหายไปได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากเขาเผชิญหน้ากับศัตรูในขณะนี้ เฉินซีจะสามารถใช้พลังได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น!
เมื่อคนอื่น ๆ ได้มาถึงในระดับที่สูงเช่นนี้ พวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานจากแรงกดดันของเต๋ารู้แจ้งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้อย่างแน่นอน และพลังที่พวกเขาสามารถดึงออกมาใช้ได้จะด้อยกว่าเฉินซีเสียด้วยซ้ำ
เพราะหลักการนั้นง่ายมาก เขาแบกฟ่านอวิ๋นหลานไว้บนหลังของตน และพลังจากแรงกดดันของเต๋ารู้แจ้งที่นางได้รับนั้นไม่ได้แตกต่างไปจากเฉินซีเลยแม้แต่น้อย แต่แรงกดดันเหล่านี้จะตกอยู่ที่เฉินซีแทน
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือแม้ว่าเฉินซีจะสามารถใช้พลังของเขาได้เพียงแค่ครึ่งเดียว แต่ก็เป็นเพราะเขาเคลื่อนไหวในขณะที่ต้านทานต่อแรงกดดันจากเต๋ารู้แจ้งของคนทั้งสอง
‘ถ้าเป็นเพียงเขาและไม่มีข้า…’ ฟ่านอวิ๋นหลานผู้ฟุบอยู่บนแผ่นหลังของเฉินซีกำลังครุ่นคิดถึงคำถามนี้อยู่ในใจของนาง
ในตอนนี้ นางเลิกคิดถึงวิธีจัดการกับเฉินซีแล้ว เพราะมันจะทำให้หัวใจของนางสับสนและว้าวุ่น ดังนั้นนางจึงมุ่งความสนใจไปที่ความแข็งแกร่งของเฉินซีแทนเพื่อหันเหความสนใจ
บนเส้นทางที่ผ่านมา นางเฝ้าสังเกตเฉินซีอยู่ตลอดเวลา ทั้งสังเกตกลิ่นอายของเขา ความเร็วที่เขาใช้ก้าวขึ้นไปบนภูเขา และการเปลี่ยนแปลงของเขาในทุกอิริยาบถ
เนื่องจากการสังเกตผ่านการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อยๆ เหล่านี้ นางจึงสามารถสังเกตเห็นความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเฉินซีได้อย่างคลุมเครือ และตระหนักได้ว่ามันมาถึงในระดับใดแล้ว
ซึ่งข้อสรุปที่นางได้รับนั้นก็ทำให้นางต้องตกใจอย่างมาก และนางแทบไม่กล้าเชื่อข้อสรุปนั้น ส่วนเหตุผลนั้นก็ธรรมดามาก เนื่องจากนางสังเกตเห็นว่าด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดที่นางมีอยู่ในตอนนี้ นางอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินซีเสียด้วยซ้ำ!
“เมื่อครั้งที่อยู่ภายในห้วงทะเลทรายมรณะ เขามีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น และเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปี แต่ความแข็งแกร่งของเขากลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงขนาดนี้เลยหรือ?”
“เจ้าพอบอกเหตุผลให้ข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งนี้” ในขณะที่ฟ่านอวิ๋นหลานรู้สึกตกตะลึงอยู่นั้น เสียงของเฉินซีก็ดังขึ้นทันที
ฟ่านอวิ๋นหลานตกตะลึง แต่นางก็ยังคงนิ่งเงียบ
‘ดูเหมือนว่าความเกลียดชังที่นางมีต่อข้าจะยังคงฝังรากลึกอยู่มาก…’ ร่องรอยความเยาะเย้ยตนเองเกิดขึ้นที่ริมฝีปากของเฉินซีอย่างช่วยไม่ได้ เขาทำได้แต่ส่ายศีรษะ จากนั้นเขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีกและก้าวเดินต่อไป
หลังจากมาถึงที่ความสูงสี่ร้อยยี่สิบลี้ของยอดเขาทะยานสวรรค์ มีเพียงไม่กี่คนบนเส้นทางบนภูเขาอันกว้างขวางและผู้บ่มเพาะที่รวมเป็นกลุ่ม ๆ ก็แทบจะไม่มีให้เห็นเลย
เมื่อรวมกับแรงกดดันจากเต๋ารู้แจ้งที่อยู่บนภูเขาซึ่งยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ยากที่จะเห็นการต่อสู้เกิดขึ้นในระหว่างทาง และหากเทียบกันแล้ว สถานการณ์ของพวกเขาก็ถือได้ว่าปลอดภัยมากในขณะนี้
“เมื่อสามปีก่อน ข้าได้บ่มเพาะเคล็ดวิชาลับวิชาหนึ่ง มันสามารถทำให้ข้าละทิ้งฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตจุติ และกลับไปที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอีกครั้ง” หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของฟ่านอวิ๋นหลานก็ดังขึ้นเบา ๆ ที่ข้างหูของเขา เฉินซีไม่ได้ขัดนางและเขาเพียงเดินต่อไปเงียบ ๆ พร้อมกับรับฟังนาง
“นอกจากนี้ นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตกับจักรพรรดิฉู่ได้ทำข้อตกลงเพื่อให้ข้าสามารถเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้ ส่วนข้อแลกเปลี่ยนก็คือ นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตจะไม่ปรากฏในโลกไปอีกสามพันปี”
เฉินซีตกตะลึง “พวกเขายอมจ่ายในราคาที่สูงเพียงเพื่อให้เจ้าได้เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งอย่างนั้นหรือ? นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตกำลังแสวงหาอะไรอยู่?”
“ข้าได้สาบานกับท่านประมุขนิกายว่าข้าจะติดอันดับหนึ่งในสิบของการชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้อย่างแน่นอน มิฉะนั้น ข้าจะชดใช้ความล้มเหลวด้วยชีวิตของข้า” ฟ่านอวิ๋นหลานกล่าวต่อ
เฉินซีไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและขัดจังหวะ “เพื่ออะไรกัน? เพื่อให้ได้เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลหรือแดนภวังค์ทมิฬ?”
ฟ่านอวิ๋นหลานส่ายศีรษะและกล่าวว่า “สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความลับบางอย่างของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้”
เฉินซีไม่ได้ตอบคำถามและถามคำถามอื่นแทน “เหตุใดคนพวกนั้นถึงได้จู่โจมเจ้า? เท่าที่ข้าทราบมา เจ้ามักจะปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคลุมหน้าสีดำอยู่ตลอด ดังนั้นน้อยคนนักที่จะรู้จักตัวตนของเจ้า แล้วเจ้าจะเป็นศัตรูกับคนเหล่านั้นโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร?”
“พวกเขา?” น้ำเสียงของฟ่านอวิ๋นหลานปรากฏแววความดูถูกจาง ๆ จากนั้นนางจึงกล่าวว่า “พวกมันส่วนใหญ่เป็นศิษย์ของนิกายที่ตั้งอยู่ในที่ราบตอนกลางซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับแดนนองเลือด เช่น นิกายบ่อหยกและนิกายหยาดน้ำค้างแดนใต้ บางทีเจ้าอาจจะไม่รู้ แต่นิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตของข้าตั้งอยู่ในแดนนองเลือดมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้ ยิ่งกว่านั้น ความขัดแย้งเช่นนี้ดำเนินมาเนื่องมาเป็นพันปี ดังนั้นศิษย์ของนิกายเหล่านี้ย่อมเกลียดชังคนอย่างข้าที่มาจากนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตเข้ากระดูกดำ”
ในขณะนี้ เฉินซีก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดและอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ตั้งแต่สมัยโบราณ ธรรมะและอธรรมเป็นเหมือนเหรียญสองด้าน ความเกลียดชังที่สั่งสมมานานเช่นนี้จะสามารถแก้ไขได้ด้วยการต่อสู้และการเข่นฆ่าเท่านั้น
“เรากำลังถึงยอดเขาแล้ว เจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังหน่อยหรือ” ฟ่านอวิ๋นหลานกล่าวออกมาทันที
“เจ้าเพิ่งผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่และใช้พลังไปค่อนข้างมาก เจ้าคงยังไม่ฟื้นฟู ข้าจะแบกเจ้าต่อไป” เฉินซีเงยหน้าขึ้นมอง แน่นอนว่า สิ่งที่ห่างออกไปสุดสายตานั้นก็คือน้ำตกขนาดมหึมาที่หลั่งไหลลงมาจากท้องฟ้าราวกับทางช้างเผือกที่ตกลงมาจากชั้นสวรรค์ทั้งเก้า!