บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 388 กำจัดให้สิ้น
บทที่ 388 กำจัดให้สิ้น
บทที่ 388 กำจัดให้สิ้น
“หืม? เหตุใดนางจึงแย่งชิงบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้ไว้ผู้เดียว?”
“เฉินซีพร้อมสละชีวิตเพื่อนางและเผชิญกับศัตรูจำนวนมหาศาล แต่นางกลับฉวยโอกาสยึดครองบัลลังก์เต๋าเทพแห่งการต่อสู้ นี่มันไม่น่าผิดหวังไปหน่อยหรือ?”
“ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่อย่างนั้นหรือ?”
ทันทีที่หลิงอวี๋กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก คลื่นเสียงกึกก้องก็ดังผ่านหูของเขา เมื่อหันมองมาเขาจึงพลันขมวดคิ้ว
ห่างออกไป เฉินซีกับกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิงกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดโดยไม่มีท่าทียุติ ทว่าในอีกด้านหนึ่งฟ่านอวิ๋นหลาน สตรีในชุดกระโปรงม่วงกลับหันหลังและทะยานสู่บัลลังก์เทพที่อยู่ใกล้แท่นบูชาก่อนนั่งลงบนบัลลังก์
นางเคลื่อนไหวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้แต่ความละอายใจก็ไม่มี มันทำให้ทุกคนรู้สึกผิดหวังมากเพราะไม่มีใครคาดคิดว่าฟ่านอวิ๋นหลานจะทอดทิ้งเฉินซีในยามนี้
สตรีผู้นี้ไว้ใจไม่ได้เลยใช่หรือไม่?
นี่คือความคิดในใจของทุกคน ณ ตอนนี้ พวกเขาล้วนรู้สึกว่าการเสียสละของเฉินซีนั้นไม่คุ้มค่าแม้แต่น้อย
หลิงอวี๋อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงงงวย เขาเกาศีรษะ แม้จะพอเข้าใจความคิดของหวงฝู่ฉงหมิงและชิงซิ่วอี้ได้ ทว่าเขาถึงกับมึนตึบเมื่อเห็นการตอบสนองของฟ่านอวิ๋นหลาน
“พุทโธ่ ใจคนเรานั้นหลอกลวงเสียยิ่งกระไร โดยเฉพาะจิตใจของสตรีผู้นี้ มันผันเปลี่ยนไม่จบไม่สิ้นดั่งดอกไม้ที่สะท้อนในกระจก ดวงจันทร์บนทะเลสาบ ใครจะรู้ทันกันเล่า?” หลิงอวี๋ถอนหายใจยาว เขาเข้าใจในคำสอนของอาจารย์อย่างลึกซึ้ง กฎของสวรรค์ไม่อาจเทียบได้กับหัวใจของมนุษย์ที่ยากจะหยั่งถึง!
“ฮ่า ๆๆ! เฉินซี หญิงสาวของเจ้าทอดทิ้งเจ้าไปแล้ว ชีวิตเจ้ามันไม่น่าสมเพชไปหน่อยรึ!” ท่ามกลางการต่อสู้ที่ดุเดือด เสียงหัวเราะของหวงฝู่ฉงหมิงดังก้องออกมา น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความดูหมิ่น
“ถูกต้อง การมีชีวิตอยู่จะมีความหมายอะไรสำหรับคนที่น่าสมเพชเช่นเจ้า?” เซียวหลิงเอ๋อร์และพรรคพวกหัวเราะดูถูกเหยียดหยาม
ท่าทางของเฉินซีนั้นสุขุมเยือกเย็นเหมือนกับไม่ได้ยินอะไร เขาไม่รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อย อีกทั้งยังทำให้เขาสู้อย่างดุเดือดยิ่งขึ้น
ทว่าในสายตาของผู้อื่น ดูเหมือนเฉินซีจะรู้สึกขมขื่นเพราะการทอดทิ้งอย่างไร้หัวใจของฟ่านอวิ๋นหลาน เขาตั้งใจจะใช้ศึกครั้งนี้เป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ฉุนเฉียวที่อยู่ในใจ
ภาพนี้ทำให้หวงฝู่ฉงหมิงและพรรคพวกหัวเราะเสียงดังโดยไม่มีท่าทีจะหยุด พวกเขาเยาะเย้ยเฉินซีอีกครั้งด้วยวาจาที่สุดจะหยาบคาย พวกเขาต้องการใช้เรื่องนี้ปั่นประสาทเฉินซี จนทำให้จิตใจเกิดความวุ่นวายและทำการสังหารอีกฝ่าย
“น่าสมเพช! น่าสมเพชเสียจริง!”
“ถูกหญิงสาวต้มจนเปื่อยต่อหน้าต่อตาทุกคน หากเป็นข้า คงจะเชือดคอตัวเองแล้ว”
“ได้ยินมาว่าใคร ๆ ก็เรียกเจ้าว่าไอ้ตัวซวยมาตั้งแต่เด็ก? ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นจริง สมควรแล้วสินะที่ถูกเรียกว่าไอ้ตัวซวย? ฮ่า ๆๆ…”
เสียงเยาะเย้ยถากถางรุนแรงดังออกมามากมาย ไม่เพียงแค่เฉินซี แม้แต่ผู้ชมก็ยังถอนหายใจ หากไม่เป็นเพราะถูกฟ่านอวิ๋นหลานหักหลัง เขาคงจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้หรอกมิใช่หรือ?
ทันใดนั้น ปราณจ้าววิญญาณพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างของเฉินซีซึ่งถูกล้อมรอบอยู่ตรงกลาง จากนั้นมือมหึมาทั้งหกที่หนาเหมือนก้อนหินของเขาก็เหวี่ยงออกไป ฝ่ามือยักษ์ตบออกไปพร้อมกัน
โครม!
ฝ่ามือทั้งหกเปล่งกลิ่นอายโบราณ อ้างว้าง และลี้ลับบนท้องนภา ปกคลุมทั่วฟ้าดินและกลืนกินโลกทั้งใบ!
ทุกรอยฝ่ามือบรรจุไปด้วยแสงอันเจิดจรัสและงดงาม เส้นลายมือมีประกายดาวพร่างพราวนับไม่ถ้วนไหลเวียนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่ส่องแสงท่ามกลางความสว่างและความสลัว
ฝ่ามือมหาดารา!
รอยฝ่ามือขนาดมหึมาทั้งหกปรากฏขึ้นบนอากาศ ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนผัน ความผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวปะทุออกไปยังทุกทิศทุกทางโดยมีเฉินซีอยู่ตรงกลาง เพียงแค่รัศมีที่แผ่ออกมาก็ทำให้มิติสั่นสะเทือนจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ และทุกชุ่นของพื้นดินก็ถูกบดขยี้จนแตกละเอียดทำให้เกิดรอยแยกอันน่าสะพรึงกลัวมากมายที่พร้อมจะพังทลายลงมา
ปราณของฝ่ามือดูราวกับว่าต้องการดูดกลืนแสงและกระแสลมทั้งหมดในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ และควบแน่นเข้าไปข้างในรอยฝ่ามือทั้งหก แม้แต่โลกายังสัมผัสถึงการล่มสลายได้
หึ่ง! หึ่ง! หึ่ง!
ดูเหมือนบริเวณส่วนกลางของจัตุรัสจะรู้สึกได้ถึงพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวยิ่ง มันสร้างสนามพลังไร้รูปร่างขึ้นเพื่อปกป้องแท่นบูชาและบัลลังก์เทพทั้งหนึ่งร้อยบัลลังก์เอาไว้
พลังอิทธิฤทธิ์นี้สืบทอดมาจากฝูซี ปรมาจารย์แห่งเคหาบ่มเพาะ ซึ่งเป็นพลังที่ลึกซึ้งยิ่งนัก ดวงดาวนับไม่ถ้วนบนเส้นฝ่ามือสามารถบรรจุเต๋ารู้แจ้งอันไร้ขอบเขตได้โดยไม่ขัดแย้งกัน และยิ่งเต๋ารู้แจ้งมีอยู่มากเท่าไร ก็ยิ่งน่าเกรงขามมากขึ้นเท่านั้น สิ่งนี้แข็งแกร่งกว่ากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าโดยสิ้นเชิง
กล่าวได้สั้น ๆ ว่าพลังนี้เต็มไปด้วยดาราเหลือคณานับ เต๋ารู้แจ้งไร้ขอบเขตและพละกำลังไร้ขีดจำกัด!
ช่างน่าหวาดผวายิ่งนัก!
ในจังหวะนี้เมื่อเฉินซีกลายร่างเป็นยักษ์สูงปานค้ำฟ้าด้วยร่างแปลงสวรรค์ และเปิดใช้อวตารเทพผนวกกับฝ่ามือมหาดาราในเวลาเดียวกัน เขาก็เปรียบเสมือนเทพอสูรที่สามารถเก็บเกี่ยวดาวและคว้าดวงจันทร์จากท้องนภา ทำให้ผู้คน ณ ที่แห่งนี้อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกหวาดผวาจากภาพมายา
ไม่มีใครอธิบายถึงพลังจู่โจมของเฉินซีได้ และไม่มีใครมั่นใจแม้แต่น้อยว่าจะสามารถต้านทานมันได้ พวกเขารู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติอันเดือดดาล ส่วนพวกเขาดูตัวจ้อยไร้ประโยชน์ ไม่มีที่ให้ดิ้นรนแม้แต่น้อย
“พลังนี้มันคืออะไรกัน?! พลังนี้มีอิทธิฤทธิ์ที่น่าเกรงขามเช่นนี้ได้อย่างไร?!”
“ข้า…ข้าเริ่มกลัวจริง ๆ แล้ว! เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?!”
“บัดซบ! การโจมตีแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะต้านไหว! เร็วเข้า รีบหนีไป!”
ใบหน้าของหวงฝู่ฉงหมิงและพรรคพวกล้วนซีดเผือดขณะที่ความหวาดกลัวเอ่อล้นขึ้นมาภายในหัวใจ จิตวิญญาณการต่อสู้นั้นไม่มีเหลือ ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกถึงภยันตรายอันรุนแรงที่ปกคลุมพื้นที่โดยรอบทำให้พวกเขาแทบจะหนีกระเจิงด้วยสัญชาตญาณ
มันน่ากลัวเสียจริง สิ่งที่พวกเขากังวลคือแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติก็ไม่อาจนำภัยคุกคามที่่ร้ายแรงเช่นนี้มาสู่พวกเขาได้ และหากไม่หนีออกไปตอนนี้ พวกเขาจะหนีตอนไหนได้อีก?
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าการดูถูก เยาะเย้ย ล้อเลียน… ทั้งหมดเป็นเพียงแค่คำสั่งเสียก่อนที่จะตายเท่านั้น และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าจึงอดทนกับพวกเจ้าและปฏิบัติต่อพวกเจ้าเยี่ยงคนปกติก่อนตาย ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าสนุกมามากพอแล้ว จะเผ่นหนีไปได้อย่างไร? จงทิ้งชีวิตของพวกเจ้าไว้ที่นี่เสีย!” ทันทีที่เสียงของเฉินซีก้องกังวาน ฝ่ามือมหาดาราทั้งหกทิศทางฟาดลงมาจากท้องนภาและพุ่งมายังหวงฝู่ฉงหมิงกับพรรคพวก
“ไม่!” หวงฝู่ฉงหมิงคือคนแรกที่ถูกโจมตี ใบหน้าของเขาแดงก่ำในขณะที่ยกมือขึ้นอย่างรวดเร็วและฟาดออกไปด้วยพลังการบ่มเพาะเกือบทั้งหมดโดยตั้งใจจะทำลายการโจมตีที่ร้ายแรงถึงชีวิตนี้ออกไป
ทว่าการกระทำนี้กลับไร้ผลต่อฝ่ามือมหาดารา เขาถูกบดขยี้จนกลายเป็นเพียงชิ้นเนื้อกระจัดกระจายอยู่กลางอากาศ
เมื่อเห็นดังนั้น เซียวหลิงเอ๋อร์ หลิวเฟิ่งฉือ หม่านหง เผยจง เซวี่ยเฉินต่างกลัวจนวิญญาณแทบออกจากร่าง เศษความหวังสุดท้ายว่าจะโชคดีพอที่รอดชีวิตไปนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
พวกเขารีบหยิบตราหยกขึ้นมาโดยสัญชาตญาณและบดขยี้มันโดยไม่รีรอ
หึ่ง! หึ่ง! หึ่ง!
คลื่นมิติแห่งความผันผวนไหลเชี่ยวกะทันหันดั่งระลอกคลื่น จากนั้นแรงดูดที่ไม่อาจต้านทานได้ก็พัดพาร่างของพวกเขาทั้งห้าคนและกำลังจะออกไปจากดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้
ตู้ม!
ทว่าภายในช่วงเสี้ยวอึดใจ ฝ่ามือมหาดาราทั้งห้าก็มาถึงแล้ว ฝ่ามือนั้นฉีกมิติและความผันผวนออกจากกันจนกระทั่งหยุดลง
และในช่วงเวลาที่หยุดลงนั้นเอง ฝ่ามือมหาดาราได้คร่าชีวิตของพวกเขาในพริบตา!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เสียงระเบิดทั้งห้าสายดังสะท้านโลกาขณะที่เซียวหลิงเอ๋อร์และพรรคพวกได้เดินตามเส้นทางของหวงฝู่ฉงหมิง ซึ่งก็คือเส้นทางแห่งการถูกบดขยี้จนเป็นชิ้นเนื้อโดยฝ่ามือมหาดารา ไม่มีช่องทางให้ดิ้นรนเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้น มิติแห่งความผันผวนพลันสั่นสะเทือนและนำร่างทั้งห้าซึ่งกลายเป็นก้อนเนื้อหายไปในขอบเขตเต๋าแห่งการต่อสู้
นี่เป็นยุทธวิธีที่เฉินซีวางแผนไว้นานแล้ว
เพราะเขาทราบดีว่าหากทำการกำจัดใครก็ตาม พวกเขาจะเริ่มวิ่งหนี ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเขาบดขยี้ตราหยกแล้ว ความตั้งใจที่จะสังหารคนทั้งหกคงจะเปล่าประโยชน์!
ฉะนั้นตั้งแต่เริ่มต่อสู้ ชายหนุ่มจึงตั้งใจเก็บพละกำลังไว้และจดจ่อกับการต่อสู้กับกลุ่มของหวงฝู่ฉงหมิงขณะที่รอจังหวะเหมาะสมที่สุดในการลงมือ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในจังหวะที่คนเหล่านี้เยาะเย้ยเขานั้นย่อมเป็นจังหวะที่จิตใจผ่อนคลายที่สุด ชายหนุ่มจึงใช้โอกาสนี้จู่โจมและบดขยี้พวกเขาทั้งหกคนจนสำเร็จ
ฝุ่นและควันฟุ้งกระจายทั่วอากาศ ควันหลงที่เหลือจางหายไปหลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน
พื้นที่โดยรอบเข้าสู่ความเงียบงัน
ผู้บ่มเพาะทุกคนล้วนรู้สึกถึงความกลัวที่ฝังอยู่ในหัวใจ ตกตะลึงจนไม่อาจพูดได้ อีกทั้งสายตาที่กำลังจ้องมองเฉินซียังแฝงไปด้วยความเกรงกลัว
คนเดียวที่สามารถกำจัดผู้บ่มเพาะอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งหกคนได้ พลังต่อสู้ที่ดุร้ายและรุนแรงเช่นนี้ไม่อาจมีใครบรรลุถึง
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือการโจมตีสุดท้ายของเฉินซีซึ่งรุนแรงถึงขั้นที่ส่งผลกับคลื่นเคลื่อนย้าย และแม้แต่การบดขยี้ตราหยกก็ไม่อาจหลบหนีจากการโจมตีของเขาได้ พลังเช่นนี้ช่างน่าขนหัวลุกเกินคาด!
‘ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าจะปราบเจ้าด้วยสองมือของข้าในบททดสอบสุดท้าย และจะแก้แค้นให้กับน้องชายที่น่าสมเพชของข้า!’ บนบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้ หวงฝู่ฉางเทียนจ้องมองไปยังเฉินซีด้วยสายตาเย็นชาขณะสบถคำในใจ
‘ดูเหมือนก่อนหน้านี้ข้าจะเลินเล่อไปหน่อย ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ทำให้ข้าต้องจริงจังอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ทว่าข้าจะสิทธิ์อะไรไปดูแลเขากัน? พี่ใหญ่ย่าชิงช่างใจร้ายยิ่งนัก เหตุใดนางจึงบอกข้าไม่หมด?’ หวงฝู่ฉิงอิงบีบจมูกของนางพลางแสดงอาการไม่พอใจเล็กน้อยที่พี่ย่าชิงหลอกลวงนาง
‘ข้าทราบแน่อยู่แล้วว่าเขาจะทำสำเร็จ!’ เจิ้นหลิวชิงเผยยิ้มที่มุมปาก ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความงดงามที่ไม่ธรรมดา
“ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก! ดูเหมือนข้าจะต้องระวังตัวเอาไว้ หากต้องเผชิญหน้ากับเขาในบททดสอบสุดท้าย” อวี๋เซวียนเฉินพึมพำกับตัวเอง
“เฮ้ย เจ้าอยากจะพูดอะไรหรือไม่?” หลิงอวี๋ที่อยู่ข้างเขาเม้มริมฝีปาก ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามยิ่งนัก และเมื่อเผชิญหน้าก็ต้องคอยปฏิบัติอย่างระมัดระวังยิ่ง”
“ดี! ข้าคาดหวังที่จะต่อสู้กับคนผู้นี้ในฐานะผู้บ่มเพาะกายาเช่นเขา มาดูกันว่าผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่ากัน!” ดวงตาของจ้าวชิงเหอเปล่งประกายดั่งดวงดาวบนท้องฟ้า และความสามารถที่เฉินซีแสดงออกมานั้นได้ดึงจิตวิญญาณการต่อสู้ในใจของอีกฝ่ายออกมา
“ฮึบ” เฉินซีสูดลมหายใจเข้า เขาเมินเฉยต่อสายตามากมายที่จ้องมองมาและบินไปยังบัลลังก์ซึ่งอยู่ใกล้แท่นบูชา
เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ พวกเขาพลันเก็บความคิดเอาไว้ภายในใจ และจ้องเขม็งไปยังฟ่านอวิ๋นหลาน สตรีนางนี้กล้าทอดทิ้งเฉินซีได้อย่างไร?
“ข้า…” ฟ่านอวิ๋นหลานอ้าปากค้าง
“เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว ตราบใดที่เจ้าเข้าใจในสิ่งที่ข้าคิด มันก็ไม่เป็นไร” เฉินซีนั่งลงบนบัลลังก์เทพข้างฟ่านอวิ๋นหลานโดยไม่ลังเล ก่อนจะกล่าวพร้อมกับแย้มยิ้ม “อย่างน้อยการกระทำของเจ้าก็บ่งบอกว่าเจ้าเชื่อในตัวข้าโดยไม่มีเงื่อนไข ข้ามีความสุขอย่างมาก”
ดวงตาของฟ่านอวิ๋นหลานกลายเป็นสีแดง และหัวใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น
ก่อนหน้านี้เฉินซีบอกให้นางเชื่อในตัวเขา นางทำตามที่เขากล่าวทุกประการ ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อพิสูจน์ความเชื่อที่มีต่อเฉินซี นางจึงไม่สนใจความคิดและการใส่ร้ายของผู้อื่นแม้แต่น้อย และเลือกที่จะยึดบัลลังก์อันศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเอง
นี่เป็นความเชื่อมั่นระหว่างหญิงชายแบบหนึ่ง
หลิงอวี๋ไม่อาจเข้าใจได้ เช่นเดียวกับหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ก็ไม่อาจหยั่งรู้ได้เช่นเดียวกัน มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่เข้าใจเพราะเขาก็เชื่อมั่นในตัวฟ่านอวิ๋นหลานเช่นกัน!