บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 402 เคล็ดวิชาร่างมังกรหยกทอง!
บทที่ 402 เคล็ดวิชาร่างมังกรหยกทอง!
บทที่ 402 เคล็ดวิชาร่างมังกรหยกทอง!
ในการต่อสู้รอบแรกของสิบอันดับต้น ๆ ชิงซิ่วอี้เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ!
แม้ว่าทุกคนจะคาดเดาผลการต่อสู้ได้คร่าว ๆ ก่อนที่การประลองจะเริ่มต้นขึ้น แต่เมื่อได้เห็นชิงซิ่วอี้แสดงความสามารถอันหลากหลายบนสังเวียน ทุกคนก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ
ผู้หญิงคนนี้สามารถกล่าวได้ว่าไร้เทียมทานและมีความสง่างามที่ไม่มีใครเทียบได้
“ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก! นางสมกับเป็นเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิด!” ทั้งมหาเสนาบดี แม่ทัพใหญ่ และยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีต่างก็แสดงความชื่นชมผ่านสายตาของพวกเขา
ด้วยระดับการบ่มเพาะที่มี พวกเขาจึงเข้าใจถึงความลึกล้ำของเต๋ารู้แจ้งแห่งแสงสว่างของชิงซิ่วอี้ดีว่า มันเป็นพลังงานที่แผ่ขยายไปทั่วและมีอยู่ทุกที่ เมื่อแสงสาดส่องลงมา ศัตรูก็จะไม่มีที่ให้หลบซ่อน ราวกับว่าตกลงไปในกรงที่กักขังทั้งฟ้าดิน ถ้าคนผู้นั้นไม่สามารถฝ่าออกไปได้ ก็จะถูกกักขังจนตายในท้ายที่สุด
แม้ว่าพวกเขาจะเข้าใจ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะหยั่งถึงและควบคุมได้ เนื่องจากสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับหัวใจและการหยั่งถึง …ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘พูดง่าย แต่ทำยาก’ เนื่องจากความรู้นั้นก็เป็นปัจจัยหนึ่ง แต่จะทำได้หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แสงสว่างมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะท้องฟ้าหรือผืนดิน แม้ล่วงเลยสู่ยามราตรีก็ยังมีดาวเดือนฉายแสง ยิ่งกว่านั้น แสงที่เปล่งออกมาจากเปลวเพลิงของโลกก็เป็นแสงสว่างเช่นกัน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามันมีอยู่ทุกที่และปกคลุมโลกทั้งใบนี้เอาไว้ การทำลายแสงเหล่านี้จึงเป็นเรื่องยากเหลือเกิน…
คิ้วของเฉินซีขมวดแน่นในขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของความลึกล้ำในเต๋ารู้แจ้งแห่งแสงสว่างที่สูงมาก แต่ชายหนุ่มกลับทำได้เพียงแค่มองจากข้างสังเวียนเท่านั้น และเขาก็ไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของมันได้อย่างเต็มที่
“แม่นางเจิ้น เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง” เฉินซีเอ่ยถามเจิ้นหลิวชิงที่อยู่เคียงข้าง เนื่องจากนางเป็นหนึ่งในสามเทพธิดาเช่นเดียวกับชิงซิ่วอี้และหวงฝู่ฉิงอิง ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิซ่ง และความแข็งแกร่งของพวกนางก็อยู่ในระดับแนวหน้าในหมู่คนรุ่นเดียวกัน
“มหาเต๋าที่หาได้ยาก มันทรงพลังเป็นอย่างมาก ข้าเคยได้ยินท่านอาจารย์กล่าวว่า มหาเต๋าที่หายากเช่นมหาเต๋าแห่งแสงสว่างนั้น แม้แต่ในแดนภวังค์ทมิฬก็ยังหาได้ยาก ผู้ที่สามารถควบคุมมันได้ย่อมมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและนับว่าเป็นหนึ่งในล้าน” เจิ้นหลิวชิงกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ที่สามารถควบคุมมหาเต๋าที่หายากเช่นนี้ ย่อมมีโอกาสสูงถึงเก้าส่วนที่จะกลายเป็นเซียนสวรรค์ ทำให้ผู้บ่มเพาะประเภทนี้ถูกเรียกอีกอย่างว่าเหล่าผู้ที่สวรรค์ทรงโปรด”
“มีโอกาสถึงเก้าส่วนเลยหรือ?” เฉินซีตกตะลึงและตกอยู่ในห้วงความคิด “ข้าได้หยั่งถึงเต๋าแห่งปารมิตาและเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนแล้ว ซึ่งทั้งคู่ก็เป็นเต๋ารู้แจ้งที่หายาก นั่นไม่ได้หมายความว่า โอกาสในการเป็นเซียนสวรรค์ของข้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน?”
ในขณะที่ผู้คนกำลังตกตะลึงกับเต๋ารู้แจ้งที่ชิงซิ่วอี้ควบคุมอยู่ ทันใดนั้น…
“โอม!”
มีความผันผวนของเต๋ารู้แจ้งที่ไร้รูปร่าง ได้ลงมาสู่ท้องฟ้าและผืนดิน
ทุกคนต่างตกตะลึงและจ้องมองไปยังสถานที่ที่ความผันผวนลงมาโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นพวกเขาก็เห็นความผันผวนของเต๋ารู้แจ้งไหลเวียนแผ่วเบารอบกายหวงฝู่ฉิงอิงซึ่งสวมเสื้อคลุมปักลายสีเหลืองสดใสและมงกุฎขนนก อีกทั้งยังมีแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เอ่อล้นออกมาจากร่างกายของนาง ทำให้นางดูศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง
“หรือว่านางรู้แจ้งถึงเต๋า?”
“นางหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้งในเวลาเช่นนี้จริงหรือ”
“ช่างเป็นความสามารถในการเข้าใจที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!”
ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก แม้ว่าการที่ผู้บ่มเพาะสามารถทะลวงระดับการบ่มเพาะในระหว่างการต่อสู้จะเป็นเรื่องปกติ แต่หวงฝู่ฉิงอิงเพียงเฝ้าดูจากด้านข้างของสังเวียน แต่กลับสามารถเข้าใจเต๋ารู้แจ้งชนิดใหม่ได้ในทันที พรสวรรค์ดังกล่าวจึงน่าตกตะลึงอย่างยิ่ง
เฉินซี จ้าวชิงเหอ หวงฝู่ฉางเทียน เจิ้นหลิวชิง ซูเฉิน อวี๋เซวียนเฉินและยอดฝีมือรุ่นเยาว์คนอื่น ๆ ในสิบสองอันดับแรก ต่างก็รู้สึกถูกคุกคามอยู่เล็กน้อย
เดิมทีหวงฝู่ฉิงอิงนั้นแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ในฐานะธิดาของจักรพรรดิซ่ง นางไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ โอสถทิพย์ หรือสมบัติวิเศษใด ๆ อีกทั้งทรัพยากรที่นางได้รับนั้นยอดเยี่ยมยิ่งกว่าทุกคนที่อยู่ที่นี้เสียด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ จู่ ๆ นางกลับสามารถเข้าใจมหาเต๋าในระหว่างการต่อสู้ที่ตึงเครียด ดังนั้นความแข็งแกร่งที่นางเผยออกมา มันก็ทำให้พวกเขาทั้งหมดไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสนใจนางมากขึ้น!
“นี่… ลำดับการประลองต่อไปนี้อาจไม่เหมาะสมสักหน่อย…” มหาเสนาบดีหัวเราะอย่างขมขื่นในใจ เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิซ่งซึ่งอยู่บนท้องฟ้า
เดิมที การประลองของหวงฝู่ฉิงอิงถูกกำหนดให้เป็นการประลองในคู่ที่สอง แต่จู่ ๆ นางกลับเข้าใจเต๋ารู้แจ้งอย่างฉับพลัน ทำให้นางอยู่ในสภาวะสูงสุด และอาจชนะการประลองในครั้งนี้…
แต่ตามคำสั่งของจักรพรรดิซ่ง มันคือการทำให้บุตรสาวของเขาพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้!
แน่นอนว่า จักรพรรดิซ่งย่อมมีเหตุผลของตัวเองในการกระทำเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไร หวงฝู่ฉิงอิงก็เป็นบุตรสาวของเขาและนางก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสามอันดับแรก ในการคว้าสิทธิ์เลือกเคล็ดวิชาต่อสู้ที่อยู่ในขุมสมบัติของราชวงศ์เหมือนกับผู้อื่น
ยิ่งไปกว่านั้น การทำเช่นนี้จะช่วยให้อัจฉริยะรุ่นเยาว์คนอื่น ๆ มีโอกาสในการได้รับรางวัลมากขึ้น ดังนั้นในภายภาคหน้า เมื่อพวกเขาได้เข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ พวกเขาจะสามารถช่วยให้ราชวงศ์ซ่งได้รับผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น
“ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนคำสั่ง ทุกอย่างจะเป็นไปตามการเตรียมการก่อนหน้านี้ บางทีนี่อาจเป็นประสงค์ของสวรรค์ก็ได้” สุรเสียงของจักรพรรดิซ่งดังก้อง และทำให้มหาเสนาบดีมั่นใจทันที
“การประลองในคู่ที่สอง หวงฝู่ฉิงอิงปะทะเจิ้นหลิวชิง!” มหาเสนาบดีไม่กล้ารีรอและประกาศรายชื่อผู้ประลองออกไปทันที
เสียงของเขาดังก้องไปทั่วฟ้าดินและดึงดูดความสนใจของผู้คนในทันที สายตาของผู้คนที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นได้จับจ้องไปยังหญิงสาวทั้งสองคน
คนหนึ่งคือบุตรสาวของจักรพรรดิซ่งซึ่งเป็นที่โปรดปรานมากที่สุด ส่วนอีกคนคือศิษย์หญิงลึกลับแห่งหอวารีหมอกจากทะเลตะวันออก พวกนางทั้งคู่เป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องจากจักรพรรดิซ่งเช่นเดียวกับชิงซิ่วอี้ แต่ตอนนี้ พวกนางกำลังจะเข้าสู่การประลองและตัดสินหาผู้ชนะ ดังนั้นย่อมทำให้เกิดความปั่นป่วนในนครหลวงธารสายไหมเป็นเรื่องปกติ
อย่างไรก็ตาม หวงฝู่ฉิงอิงกับเจิ้นหลิวชิงดูจะสงบนิ่งเป็นอย่างมาก พวกนางมองกันและกันจากระยะไกลก่อนที่จะทะยานไปยังสังเวียนสังหารปีศาจที่อยู่ไกลออกไป
การประลองเริ่มขึ้นได้!
ในการชุมนุมดาวรุ่งที่ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ผู้ที่สามารถฝ่าฟันและเข้าสู่สิบสองอันดับแรก ล้วนเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่มีใครเทียบได้ และไม่มีกฎมากมายในการต่อสู้ระหว่างพวกเขา เมื่อเข้าสู่การต่อสู้ พวกเขาก็จะทุ่มพลังออกไปโดยไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย
ปัง! ปัง!
บนสังเวียนสังหารปีศาจ
หวงฝู่ฉิงอิงและเจิ้นหลิวชิงต่อสู้กันอย่างดุเดือดในทันทีโดยไม่ได้กล่าวอะไรสักคำ ทั้งสองคนสำแดงเคล็ดวิชาต่อสู้ที่น่าเกรงขามที่สุดของพวกนางออกมาทันที
“โฮกกกก!” แสงสีทองแผ่ออกจากร่างของหวงฝู่ฉิงอิง ขณะที่นางกลายร่างเป็นมังกรทองขนาดมหึมา จากนั้นเสียงคำรามก็ดังขึ้น นางได้เปล่งพลังของมังกรที่ทำให้ท้องฟ้าและผืนดินถูกปกคลุมไปด้วยเงามืด
มังกรขนาดมหึมาทะยานขึ้นไปพร้อมกับเปล่งแสงสีทองพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า พลังมังกรได้พวยพุ่งและเขย่าโลกทั้งใบ! เมื่อมองจากระยะไกล มันเหมือนกับมังกรที่ปรากฏกายขึ้นเมื่อคราวกำเนิดโลก ซึ่งได้ฟื้นคืนชีพจากการหลับใหลอันยาวนาน และกำลังจ้องมองดูโลกอย่างเหยียดหยาม!
นี่คือเคล็ดวิชาลับที่สืบทอดกันในราชวงศ์ซ่ง เคล็ดวิชาร่างมังกรหยกทอง!
แต่การโจมตีของเจิ้นหลิวชิงกลับดูจะธรรมดามาก ใบหน้าของนางเหมือนกับน้ำที่สงบนิ่งและไม่มีแรงกระเพื่อมแม้แต่น้อย มือขาวหยกคู่นั้นได้ฟาดออกไปด้วยท่วงท่าที่เรียบง่าย ซึ่งเปล่งรัศมีแห่งประกายแวววาวก่อนจะกลับคืนสู่ความเรียบง่าย ภายใต้การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวของหวงฝู่ฉิงอิง เจิ้นหลิวชิงไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังสามารถต่อสู้กับนางได้อย่างเท่าเทียมกัน
“เคล็ดวิชาร่างมังกรหยกทอง เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาต่อสู้อันน่าเกรงขามที่จักรพรรดิซ่งครอบครองอยู่ และมันมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลก ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะถ่ายทอดมันให้กับองค์หญิง”
“เจิ้นหลิวชิงน่าเกรงขามมาก! การควบคุมพลังของผู้หญิงคนนี้ได้บรรลุถึงระดับที่ไม่ธรรมดาแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของนางดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่พลังที่แฝงอยู่ภายในนั้นสามารถรับมือกับการโจมตีทั้งหมดขององค์หญิงได้อย่างง่ายดาย นางช่างน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง!” ผู้คนต่างก็ตกตะลึง
เฉินซี จ้าวชิงเหอ และคนอื่น ๆ ก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน เนื่องจากความแข็งแกร่งที่หญิงสาวทั้งสองได้เผยออกมานั้น ทำให้ทุกคนล้วนรู้สึกถึงแรงกดดัน
โดยเฉพาะเจิ้นหลิวชิง ซึ่งสามารถต่อสู้กับหวงฝู่ฉิงอิงได้อย่างเท่าเทียม แม้ว่านางจะเพิ่งหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้ง ดังนั้นแล้วความแข็งแกร่งของเจิ้นหลิวชิงจึงทรงพลังอย่างไร้ข้อกังขา!
“ฉิงอิงถอนตัวซะ เจ้าแพ้แล้ว” เมื่อหญิงสาวทั้งสองกำลังติดพันอยู่ในการต่อสู้ เสียงของจักรพรรดิซ่งก็ดังมาจากบนท้องฟ้า กระทบโสตของเหล่าผู้ชมอย่างชัดเจน
“ฮะ?”
“การต่อสู้ยังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะ เหตุใดถึงทราบผลของการต่อสู้แล้ว?”
ผู้คนล้วนตกตะลึงและสับสน
มีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีบางคนเท่านั้นที่สังเกตเห็นได้อย่างราง ๆ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะด่วนสรุป
ฟิ้ว!
ร่างทั้งสองบนสังเวียนประลองแยกออกจากกัน
หวงฝู่ฉิงอิงมีท่าทีโกรธเล็กน้อย นางกระทืบเท้าขณะที่เม้มริมฝีปาก สายตามองไปยังจักรพรรดิซ่งเพื่อแสดงความไม่พอใจออกมา
“มันเป็นการต่อสู้ที่ดี” เจิ้นหลิวชิงยิ้มเล็กน้อยขณะที่นางกล่าว
“ฮึ่ม! ข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้เมื่อเจอกันในครั้งหน้า และจะทำให้เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้!” หวงฝู่ฉิงอิงเหวี่ยงกำปั้นเล็ก ๆ ของนาง ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อออกจากสังเวียน
อันที่จริง นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่า บิดาของนางไม่ได้ทำผิดเลยสักนิด แม้ว่าพวกนางจะสู้ต่อกันจนจบ แต่นางก็มีโอกาสที่จะชนะเพียงสี่ส่วนเท่านั้น เพราะจนถึงตอนนี้ นางได้ใช้ความสามารถทั้งหมดของตนเองไปหมดแล้ว แต่กลับไม่สามารถบังคับให้เจิ้นหลิวชิงใช้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจิ้นหลิวชิงน่าสะพรึงมาก จนนางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับว่าตนเองด้อยกว่าอีกฝ่าย
“ยอดเยี่ยม” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะชื่นชม เมื่อเห็นเจิ้นหลิวชิงกลับมาอย่างมีชัย
“แล้วถ้าข้าเทียบกับชิงซิ่วอี้ล่ะ” เจิ้นหลิวชิงกะพริบตาที่ใสกระจ่างของนางและถามด้วยรอยยิ้ม
“นี่…” เฉินซีขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หากเปรียบเทียบจากการสำแดงพลังของสตรีทั้งสองก่อนหน้านี้…” จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ข้าไม่อาจตัดสินได้จริง ๆ”
เจิ้นหลิวชิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มและจ้องไปยังเฉินซีราวกับว่านางกำลังตำหนิเขา “ในฐานะสหาย หรือว่าเจ้าไม่สามารถกล่าวว่าข้านั้นดีกว่าชิงซิ่วอี้? บางครั้งเจ้าไม่ซื่อสัตย์เกินไปหน่อยหรือ?”
เฉินซีตกตะลึงและยังไม่ทันได้อธิบาย เขาก็ได้ยินเจิ้นหลิวชิงกล่าวเพิ่มเติมว่า “แต่ข้าชอบเวลาที่เจ้ากล่าวตรง ๆ เช่นนี้”
เฉินซีตกตะลึงและเงียบไปทันที
…
มหาเสนาบดีกล่าวอีกครั้งด้วยเสียงที่ชัดเจน “การประลองคู่ที่สาม เฉินซีปะทะซูเฉิน!”
เสียงของเขาดังไปทั่วนครหลวงธารสายไหม
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงทันที “คู่ต่อสู้ของข้าคือซูเฉินหรือ? หรือว่าจักรพรรดิซ่งก็ทราบว่าข้ามีความเป็นปฏิปักษ์อย่างลึกซึ้งกับคนผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงจงใจจัดให้เป็นเช่นนี้”
“เฉินซี เจ้าระวังตัวด้วย” เจิ้นหลิวชิงมองไปที่เฉินซี ขณะที่กล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา เนื่องจากหญิงสาวตระหนักได้เป็นอย่างดีถึงความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเฉินซีกับซูเฉิน
“ตกลง” เฉินซีพยักหน้า ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเกลียดชังซูเฉินมากแค่ไหน เขาก็ประมาทศัตรูไม่ได้ เนื่องจากซูเฉินสามารถมาได้ไกลถึงเพียงนี้ มันก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นน่าเกรงขามถึงเพียงใด
ในอีกด้านหนึ่ง
จ้าวขุนศึกหวงฝู่ไท่อู่ตกตะลึงเล็กน้อย “เฉินซีหรือ?”
อันที่จริง เขาต้องการหาโอกาสที่จะกำจัดเฉินซีเมื่อนานมาแล้ว แต่กล่าวในเชิงเปรียบเทียบแล้ว เขาหวังว่าซูเฉินจะสามารถก้าวไปสู่สามอันดับแรกได้อย่างปลอดภัยและไม่ต้องต่อสู้จนตัวตายกับเฉินซีในตอนนี้
“ซูเฉิน ข้ารับเจ้าเข้ามาตอนที่ตระกูลซูของเจ้าถูกทำลายเมื่อหลายปีก่อน เจ้าควรจะเข้าใจเจตนาของข้าในการทำเช่นนั้น” หวงฝู่ไท่อู่ส่งเสียงผ่านกระแสปราณเพื่อสั่งการ “เนื่องจากเจ้าได้พบกับเฉินซีในการประลองแล้ว ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ต้องบดขยี้เขาให้จงได้!”
ซูเฉินพยักหน้าเบา ๆ
ความสำคัญของการต่อสู้ครั้งนี้ เหนือกว่ารางวัลใด ๆ …เพราะ …ศัตรูของเขาคือเฉินซี!