บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 408 น้ำพระทัยของจักรพรรดิซ่ง
บทที่ 408 น้ำพระทัยของจักรพรรดิซ่ง
บทที่ 408 น้ำพระทัยของจักรพรรดิซ่ง
ในระหว่างการต่อสู้อันดุเดือด
จู่ ๆ เจิ้นหลิวชิงก็ถอนตัวออกไปกลางคัน ทำให้ผู้ชมทุกคนต่างก็ตกตะลึง และเมื่อได้ยินเหตุผลที่เจิ้นหลิวชิงต้องถอนตัว ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะร้องโวยวาย
“นางละทิ้งการต่อสู้ ก็เพราะเห็นแก่ใครบางคนที่ต้องการยุติความเป็นปฏิปักษ์กับชิงซิ่วอี้?”
“คนผู้นั้นคือใครกัน? ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจิ้นหลิวชิงเป็นอย่างไร”
“นางช่างหุนหันพลันแล่นยิ่งนัก! ทั้งที่เป็นการประลองเพื่อชิงสามอันดับแรกในการชุมนุมดาวรุ่ง แต่นางกลับยอมแพ้เช่นนี้ มันช่างน่าเสียดายจริง ๆ!”
“ข้านึกออกแล้ว! คนผู้นั้นต้องเป็นเฉินซีอย่างแน่นอน! ตั้งแต่เริ่มการแข่งขัน เขามักจะอยู่กับเจิ้นหลิวชิงเสมอ และการที่นางถอนตัวออกจากการประลอง ก็เพื่อให้ชิงซิ่วอี้มีโอกาสต่อสู้กับเฉินซีได้อย่างราบรื่น!”
คลื่นแห่งความโกลาหลระลอกแล้วระลอกเล่าดังก้องออกไป จากนั้นสายตาของผู้คนก็ค่อย ๆ มองไปที่เฉินซี
หลังจากได้ไตร่ตรองอยู่พักใหญ่ พวกเขาก็รู้สึกสงสัยในตัวเฉินซีมากที่สุด เพราะไม่เพียงแต่ชายหนุ่มจะมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับเจิ้นหลิวชิงเท่านั้น แต่เขายังได้เข้าสู่รอบชิงสามอันดับแรกโดยตรง มันจึงสอดคล้องกับเนื้อหาในคำกล่าวของเจิ้นหลิวชิงอย่างสมบูรณ์
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาสับสนมากที่สุดก็คือ เฉินซีมีดีอะไรถึงทำให้เจิ้นหลิวชิงยอมเสียสละครั้งใหญ่ได้ หรือว่าทั้งสองคนเป็นคู่บำเพ็ญกัน?
ในบรรดาผู้คนที่อยู่ในตอนนี้ มีเพียงฟ่านอวิ๋นหลานเท่านั้นที่แน่ใจอย่างยิ่งว่า บุคคลที่เจิ้นหลิวชิงกล่าวถึงคือเฉินซีอย่างแน่นอน
เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะเฉินซีไม่เพียงแต่ร่วมหลับนอนอย่างร้อนแรงกับนางเท่านั้น แต่เขายังพรากความบริสุทธิ์ของชิงซิ่วอี้ไปต่อหน้าต่อตานางอีกเช่นกัน…
“ข้าหวังว่าเขาจะไม่ปฏิบัติกับนางเหมือนที่เขาปฏิบัติต่อข้า และหวังว่าชิงซิ่วอี้จะไม่ให้อภัยแก่เขา มิฉะนั้นเขาจะสบายเกินไป… จะเป็นการดีที่สุด หากนางสามารถมอบบทเรียนให้แก่เขาอย่างดุเดือดและทำให้เขาได้รู้ว่า ไม่มีอาหารเลิศรสใดที่จะได้มาโดยปราศจากแลกเปลี่ยน!” ฟ่านอวิ๋นหลานพึมพำอย่างดุดัน แต่ดวงตาที่สวยงามของนางมีร่องรอยของรอยยิ้มปรากฏอยู่ และเหมือนว่านางกำลังนึกถึงรูปลักษณ์ของเฉินซีหลังจากถูกทุบตีจนตัวเขียวช้ำ
…
“การประลองคู่ที่สอง จ้าวชิงเหอปะทะหลิงอวี๋!” เสียงของมหาเสนาบดีดังขึ้น ขณะที่เขาประกาศการเริ่มต้นของการประลองคู่ที่สอง และทำให้ทุกคนละสายตาจากเฉินซีไปยังสังเวียนในทันที
“เจ้าไม่ควรทำผิดเพราะเห็นแก่ข้า” เฉินซีไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจเหตุการณ์บนสังเวียนในขณะนี้ และหันกลับไปมองที่เจิ้นหลิวชิง ขณะที่กล่าวอย่างจริงจัง
แต่เจิ้นหลิวชิงเพียงขยิบตาและยิ้ม “แต่ว่าข้าได้ติดหนึ่งในสิบอันดับแรกแล้ว และข้าก็ไม่อยากได้วิชากระบวนยุทธ์ที่อยู่ในขุมสมบัติของราชวงศ์ ดังนั้น แทนที่จะทำเช่นนั้น ทำไมข้าไม่ถอยออกมาสักก้าวและปล่อยให้เจ้าได้ยุติสิ่งที่ค้างคาใจอยู่เสียเลยล่ะ”
เฉินซีตกตะลึง ความอบอุ่นที่อธิบายไม่ได้แผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของเขา เนื่องจากสิ่งที่เจิ้นหลิวชิงกล่าวออกมานั้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ค่าตอบแทนที่นางต้องจ่ายนั้นสูงเทียมฟ้าจนไม่ว่าใครก็สามารถรับรู้ได้
“บุญคุณครั้งนี้มากมายเกินไป ในอนาคตข้าจะคืนมันได้อย่างไร” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และยับยั้งความคิดฟุ้งซ่านในใจ ก่อนจะส่ายศีรษะและหัวเราะอย่างขมขื่น
เจิ้นหลิวชิงกล่าวหยอกล้อด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้น เหตุใดถึงไม่ให้ข้าเป็นที่หนึ่งล่ะ หากเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณต่อข้าได้แล้ว”
“เช่นนั้นคงไม่ได้ บุญคุณก็คือบุญคุณ การแข่งขันก็คือการแข่งขัน สองสิ่งนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง” เฉินซีส่ายศีรษะอย่างแน่วแน่ จากนั้นเขาก็มองเจิ้นหลิวชิงอย่างลึกซึ้งและกล่าวว่า “ข้าจะทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อคว้าอันดับที่หนึ่งให้ได้ เพื่อเจ้าและตัวข้าเอง”
เจิ้นหลิวชิงตกตะลึง จากนั้นนางก็ก้มศีรษะลง แต่รอยยิ้มบางก็ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก
ตู้ม!
มีเสียงระเบิดกึกก้องได้ดังขึ้นจากสังเวียนสังหารปีศาจในขณะนี้ ทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน
“ข้ายอมรับความพ่ายแพ้!” เสียงของหลิงอวี๋ดังขึ้น
“จ้าวชิงเหอสามารถเอาชนะหลิงอวี๋ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ อย่างนั้นหรือ?” เฉินซีรู้สึกตกตะลึง จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมอง และเห็นหลิงอวี๋นั่งยอง ๆ อยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว ในขณะที่จ้าวชิงเหอผู้แข็งแกร่งยืนเอามือกอดอกอยู่ที่เบื้องหน้าของหลิงอวี๋ เขาไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!
…
เมื่อมาถึงจุดนี้ ผู้เป็นสามอันดับแรกที่สำคัญที่สุดของการชุมนุมดาวรุ่งก็ได้รับการตัดสินแล้ว ซึ่งพวกเขาก็คือชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอ และเฉินซี!
พวกเขาทั้งสามคนยืนเคียงข้างกันและกำลังรอคำสั่งของจักรพรรดิซ่ง
เมื่อมองไปที่ร่างทั้งสามนี้ สายตาของทุกคนก็เผยความอิจฉาริษยาออกมา
“พวกเขาคือผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุด และความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้พวกเขาสามารถเข้าสู่ขุมสมบัติของราชวงศ์ เพื่อเลือกวิชากระบวนยุทธ์หรือพลังอิทธิฤทธิ์ใดก็ได้ก็ตามต้องการ”
“เฮ้อ พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จอันน่าทึ่งตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อย้อนดูพวกเราเมื่อหลายปีก่อน ฝีมือของพวกเราด้อยกว่าพวกเขาเกินกว่าจะเปรียบเทียบได้”
“ถูกต้อง พวกเขาสมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะแห่งสรวงสวรรค์ที่น่าภาคภูมิใจ ซึ่งเป็นดั่งมังกรและวิหคอมตะในมวลหมู่มนุษย์ที่มีโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ อนาคตของพวกเขาจะไม่อาจหยั่งถึงได้ และคงอีกไม่นานที่พวกเขาจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน”
เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีต่างถอนหายใจยาว
“ก่อนที่การประลองในรอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้น ข้ามีเรื่องที่จะประกาศ” จักรพรรดิซ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลังและลึกล้ำ ซึ่งดังก้องไปทั้งฟ้าดิน
“ข้าได้ตัดสินใจแล้วว่า ผู้ที่คว้าอันดับที่หนึ่งในการชุมนุมดาวรุ่ง จะสามารถส่งคำขอถึงข้าและตราบใดที่คำขอไม่ล้ำเส้นเกินไป ข้าก็จะยอมรับทุกอย่าง!”
เฮ้! เฮ้!
ผู้คนที่อยู่ในตอนนี้ต่างแสดงความตื่นเต้นออกมา เนื่องจากรางวัลนี้น่าดึงดูดใจเกินไป แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็ยังรู้สึกอิจฉา
หากสามารถชนะการประลองและได้อันดับที่หนึ่ง ก็จะสามารถร้องขอจากพระองค์ได้ ซึ่งรางวัลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็เหมือนกับสมบัติที่หล่นลงมาจากท้องฟ้า และมีเพียงโชคชะตาเท่านั้นที่จะนำพา!
ยิ่งกว่านั้น คุณค่าของมันก็ยิ่งใหญ่จนไม่ใช่สิ่งที่กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าหรือสมบัติวิเศษที่น่าเกรงขามจะเทียบได้ เนื่องจากรางวัลของผู้ชนะได้ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ขณะนี้กลับสามารถร้องขอจักรพรรดิซ่งได้ตามต้องการและแก้ไขความต้องการเร่งด่วนได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะผู้ที่ให้คำมั่นสัญญานั้นคือจักรพรรดิซ่งผู้ยิ่งใหญ่ แล้วจะมีสิ่งใดที่เขาทำไม่ได้ภายในแผ่นดินซ่งแห่งนี้?
“ซิ่วอี้ เจ้าต้องพยายามอย่างเต็มที่ และต้องคว้าอันดับที่หนึ่งมาให้จงได้ โอกาสเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ของข้าเช่นกัน เจ้าจะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด!”
“ชิงเหอ เจ้าได้ยินหรือไม่? ฝ่าบาทได้กำหนดเงื่อนไขไว้แล้ว หากเจ้าคว้าอันดับที่หนึ่งมาได้ ข้ารับขอประกันว่าตำแหน่งประมุขนิกายของหอหยกนภาจะเป็นของเจ้าในอนาคต!”
“น้องเฉิน พี่ใหญ่ไม่อยากกดดันเจ้า แต่ถ้าเจ้าสามารถสู้เพื่อเป็นอันดับหนึ่งได้ ก็จงสู้เพื่อสิ่งนั้น หากเจ้าสามารถร้องขอจากฝ่าบาทได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลเฉินและนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของข้าอย่างมาก”
ในขณะเดียวกัน นักพรตเต๋าหลงเหอแห่งนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ นักพรตเฒ่าแห่งหอหยกนภา รวมทั้งเป่ยเหิงก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ต่างก็ส่งเสียงผ่านกระแสปราณอย่างต่อเนื่อง เพื่อสั่งสอนเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของพวกเขา
เมื่อได้ยินสิ่งเหล่านี้ ความรู้สึกกดดันก็กดทับหัวใจของชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอ และเฉินซีทันที “ข้าฝ่าฟันทุกอุปสรรคมาจนถึงจุดนี้ และมันอยู่ห่างจากอันดันที่หนึ่งเพียงก้าวเดียว หากข้าไม่ทุ่มพลังออกไปทั้งหมด ก็คงจะน่าเสียยิ่งนัก?”
จักรพรรดิซ่งมองลงไปที่คนหนุ่มสาวทั้งสามคนที่อยู่เบื้องล่าง จากนั้นริมฝีปากของเขาได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “อย่าได้กล่าวถึงรางวัลเลย ข้าต้องแสดงความยินดีกับพวกเจ้าทั้งสามคนก่อน และเมื่อเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล พวกเจ้าจะเข้าใจถึงความสำคัญของการชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้”
“กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีโอกาสมากที่การชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้จะเปลี่ยนชะตากรรมของพวกเจ้าทั้งสามคน มันจะช่วยให้พวกเจ้าทุกคนบรรลุความยิ่งใหญ่และส่งเสริมให้พวกเจ้าได้มีความสำเร็จอันยอดเยี่ยมในภายภาคหน้า” เฉินซีและคนอื่น ๆ ยืนอย่างเคร่งขรึมขณะที่ตั้งใจฟังด้วยความเคารพ
“ในหมู่พวกเจ้าทั้งสามคน จะมีเพียงผู้เดียวที่จะเป็นอันดับหนึ่งในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้ แต่ตอนนี้ ข้าไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่าใครจะเป็นผู้ได้รับเกียรติอันสูงสุดนี้ และหวังว่าพวกเจ้าจะทุ่มเทออกไปอย่างเต็มที่ เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง” จักรพรรดิซ่งให้กำลังใจคนทั้งสาม จากนั้นจึงจะประกาศการประลองในครั้งสุดท้าย “หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม พวกเจ้าทั้งสามจะทำการประลองครั้งสุดท้าย โดยแบ่งออกเป็นสามศึก”
“ศึกแรก เฉินซีปะทะจ้าวชิงเหอ
“ศึกที่สอง ชิงซิ่วอี้กับจ้าวชิงเหอ
“ศึกที่สาม เฉินซีปะทะชิงซิ่วอี้
“การต่อสู้ทั้งสามครั้ง พวกเจ้าทุกคนจะได้ต่อสู้กับอีกสองคน และผู้ชนะในการต่อสู้ทั้งสองครั้ง จะได้อันดับที่หนึ่งไป เอาล่ะ ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามนี้เพื่อปรับสภาพจิตใจและร่างกายของพวกเจ้าซะ”
ทันทีที่จักรพรรดิซ่งกล่าวจบ เจ้าตัวก็สะบัดแขนเสื้อ ทำให้ลำแสงสีทองพุ่งออกมาอีกครั้ง มันปกคลุมร่างของเฉินซีและอีกสองคนเอาไว้ ทำให้พละกำลัง ปราณแท้และปราณจ้าววิญญาณฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์และเต็มไปด้วยพลัง!
แม้ว่าพลังของพวกเขาจะฟื้นตัว แต่ความกดดันที่พวกเขารู้สึกกลับเพิ่มพูนขึ้น คนทั้งสามต่างก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่า สาเหตุที่จักรพรรดิซ่งให้เวลาพวกเขาถึงหนึ่งชั่วยามนั้น ก็เพื่อให้พวกเขาได้สงบจิตใจกับร่างกาย เพื่อจะได้แน่ใจว่าพวกเขาอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุด!
ในเวลาเดียวกัน เฉินซี ชิงซิ่วอี้ และจ้าวชิงเหอกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศและเข้าสู่การทำสมาธิอย่างลึกซึ้ง โดยไม่ได้สนใจต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
พวกเขาทั้งสามต่างก็เข้าใจว่า บางทีการประลองรอบสุดท้ายอาจทดสอบดวงจิตแห่งเต๋ามากกว่าสิ่งอื่นใด เพราะอย่างไรเสีย ช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งของพวกเขาก็น้อยมาก และช่องว่างนี้สามารถชดเชยได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทว่าหากดวงจิตแห่งเต๋าของพวกเขาไม่มั่นคง มันก็อาจส่งผลให้ถึงชีวิตและไม่มีโอกาสที่จะแก้ไขมันได้…!