บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 42 โทสะของเฉินซี
บทที่ 42 โทสะของเฉินซี
บทที่ 42 โทสะของเฉินซี
เมืองอาบโลหิตเป็นเมืองแห่งแรกที่จะพบหลังจากก้าวเข้าสู่หุบเขาอาบโลหิต
ในวันแรกที่ดินแดนรกร้างใต้พิภพถูกเปิดออก ตราบใดที่ผู้บ่มเพาะสามารถรอดชีวิตจากเขตนรกฝันร้ายที่เต็มไปด้วยฝุ่น พวกเขาก็จะสามารถมุ่งหน้าไปยังเมืองอาบโลหิตได้
ทางเข้าสู่เมืองอาบโลหิตมีเพียงประตูเมืองเพียงที่เดียว บรรดาผู้บ่มเพาะจึงมารวมตัวกันในที่นี่
หลี่ไฮว่ที่เลือกต่อสู้ในบริเวณนี้ ได้ขัดขวางเส้นทางของผู้คนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ ณ เวลานี้ หาได้มีผู้ใดสนใจ เพราะการแส่ยุ่งเรื่องของชาวบ้านเป็นสันดานทั่วไปของมนุษย์ แม้แต่ผู้บ่มเพาะก็หาได้มีข้อยกเว้น ในเวลานี้ทุกคนจึงกอดอกยืนดูอยู่ห่าง ๆ
ยามที่หลี่ไฮว่ชักกระบี่ออกมา ท่าทางอันน่าเกรงขามและสง่างามก็ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมาก ขณะที่พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าภายใต้กระบี่เล่มนี้ ศิษย์ของสำนักพฤกษ์ชาดทั้งสามคนที่ยืนหวาดกลัวจนตัวแข็งทื่ออยู่ จะต้องตกตายในทันที
บางคนก็ไม่อาจทนดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้
โฮกกกก!
ในขณะนั้นเอง เสียงที่ราวกับมังกรคำรามก็ดังขึ้น และเงาร่างสีดำก็กระโดดเข้าสู่การต่อสู้ในทันใด กระบี่ที่อยู่ในมือของเงาร่างสีดำนั้นเหมือนกับทางช้างเผือกในสวรรค์ทั้งเก้าขณะที่มันพุ่งทะยานออกไปพร้อมกับเสียงสนั่นปานสายฟ้า
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
เสียงกระทบของมีคมสั่นสะเทือนพื้นที่โดยรอบ หลังจากนั้นผู้คนก็เห็นประกายกระบี่ที่ราวกับเม็ดฝนบนท้องฟ้าแตกสลายหายไป ในขณะที่พวกลู่เส้าฉงกำลังตกตะลึง ก็พลันมีชายหนุ่มตัวสูงยืนขวางไว้
“บัดซบ! การโจมตีด้วยกระบี่สังหารนั้นถูกปัดป้องได้อย่างหมดจด นับว่ามีการแสดงที่น่าดูชมเกิดขึ้นแล้ว!”
“เอ๊ะ ทำไมถึงเป็นเจ้าตัวซวยเฉินซีล่ะ? เมื่อใดกันที่เขากลายเป็นคนน่าเกรงขามเช่นนี้?”
“น่าเกรงขาม? เจ้าตัวอัปมงคลกำลังหาที่ตาย! หลี่ไฮว่เป็นถึงบุตรชายคนโตจากตระกูลหลี่ ซึ่งเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองหมอกสน ตั้งแต่เขาออกจากการปิดด่านฝึกฝนเมื่อสามเดือนก่อน เขาก็บรรลุถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว ข้าคิดว่าเขาคงได้รับบางสิ่งที่คล้ายกับยาผนึกแก่นแท้ เพื่อที่จะเข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังสามารถทำลายผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์ได้อย่างไม่ยี่หระ บอกข้าทีว่าถ้าเจ้านั่นไม่ได้คิดแส่หาที่ตาย แล้วเขากำลังคิดทำสิ่งใดอยู่?”
…
“เขากำลังคิดทำสิ่งใด” เมื่อได้ยินการสนทนาจากบริเวณโดยรอบ ต้วนมู่เจ๋อพลันขมวดคิ้วขณะที่จดจ้องไปยังเฉินซี จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “พุ่งไปข้างหน้าอย่างโง่เขลาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เป็นไปได้หรือไม่ว่า เขากำลังคิดว่าจะได้รับการปกป้องจากพวกข้า ดังนั้นเขาจึงไปโดยเจตนา”
ตู้ชิงซีไม่ได้กล่าวอะไรในขณะที่นางก็รู้สึกสับสนในใจเช่นกัน
ซ่งหลินผู้ซึ่งเคยอยู่ในอาการง่วงซึมอยู่เสมอ ตอนนี้กลับมีจิตใจที่ลุกโชน ดวงตาของเขาเป็นประกายวาวโรจน์เมื่อจ้องมองไปยังเฉินซี ก่อนจะกล่าวด้วยความชื่นชมจากใจจริง “ผู้คนในสมัยก่อนมีน้ำใจและอบอุ่น พวกเขาเต็มไปด้วยคุณธรรมและความยุติธรรม อาหารที่เฉินซีทำนั้นอร่อยเลิศและจิตใจของเขาก็ดีมากเช่นกัน หากข้าได้เป็นสหายกับคนผู้นี้ ชีวิตของข้าคงพบกับความสุขยิ่ง”
ตู้ชิงซีและต้วนมู่เจ๋อต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินถึงสิ่งนี้ พวกเขาพลันเงียบลง
เขามิได้ประเมินตัวเองสูงไปหรอกหรือ? แล้วอีกอย่าง เหตุใดเขาถึงต้องทำเช่นนี้?
ทุกคนล้วนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลแตกต่างกันไป โดยพิจารณาจากผลประโยชน์และความแข็งแกร่ง นับเป็นเรื่องโชคดีใช่หรือไม่ที่มีคนเยี่ยงนี้ที่คอยตักเตือนเพราะเห็นแก่สหายของเขา
เฉินซีหาได้รู้ว่าการกระทำของเขาได้สั่นคลอนตู้ชิงซีและต้วนมู่เจ๋อยิ่งนัก
…ด้วยขณะนี้เขากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ และไม่มีเวลาไปสนใจสิ่งอื่นใด
พวกลู่เส้าฉงได้ถอยออกจากสนามรบแล้ว พวกเขารู้สึกขอบคุณเฉินซีจากก้นบึ้งของหัวใจที่ช่วยเหลือพวกเขาอีกครั้ง และพวกเขารู้ดีว่า หากตนเองยังคงอยู่ในสนามรบอีก พวกเขาจะเป็นเพียงภาระให้เฉินซี
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นพวกเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า หากโชคร้ายเกิดขึ้นกับเฉินซี ต่อให้พวกเขาทั้งสามคนต้องพลีชีพ ก็ยังต้องเอาศพศัตรูไปเซ่นสรวงแก่ศพของชายหนุ่ม และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อชนะ แม้โอกาสเพียงน้อยนิด แต่เฉินซีเท่านั้นที่จะต้องมีชีวิตรอดต่อไป เพราะเขามีคุณค่าพอที่พวกเขาจะกระทำเช่นนั้น!
“แต่เดิม ข้ายังคงคิดว่าจะจับกุมเจ้าและช่วยคุณหนูซูระบายความโกรธของนางอย่างไรดี แต่ตอนนี้เจ้ามาด้วยตัวเองแล้ว นับว่าเจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมาก”
ผมยาวสลวยของหลี่ไฮว่ปลิวไสวเคลียบ่า เขามีท่าทีที่เย็นชาและไม่แยแสต่อทุกสรรพสิ่ง ใช้สายตาจ้องมองไปยังเฉินซีราวกับว่ากำลังจ้องมองคนที่ตายไปแล้ว จากนั้นเขาก็ยกกระบี่ในมือขึ้นก่อนที่จะชี้ไปที่เฉินซีช้า ๆ “กระบี่เล่มนี้เรียกว่า ‘สนกระเพื่อม’ เป็นศัสตราวิเศษ เจ้ากล้าที่จะสู้กับข้าหรือไม่?”
ประโยคเพียงประโยคเดียวแสดงถึงความเย่อหยิ่งและจองหองของหลี่ไฮว่ออกมาอย่างหมดจด และทำให้เกิดเสียงโห่ร้องจากผู้คนที่อยู่รอบข้าง
“สู้!”
ผู้คนในฝูงชนต่างร้องตะโกนเสียงดัง
“สู้! สู้! สู้!”
ความเร่าร้อนของฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ ถูกจุดประกายขึ้นในทันที พวกเขาต่างก็ตะโกนออกมาดังก้อง ด้วยน้ำเสียงที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า จึงทำให้ผู้บ่มเพาะที่อยู่ห่างไกลออกไปต่างหันมามองกับสิ่งที่เกิด ในท้ายที่สุด ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ก็ไม่อาจระงับความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบวิ่งเข้ามา
“เหตุใดข้าจะไม่กล้า?” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวอย่างเย็นชา
พร้อมกับที่เฉินซีกล่าวจบ เสียงรอบข้างก็หายไปในทันทีมันเหลือเพียงเสียงลมหวีดหวิว บรรยากาศที่อึดอัดและตึงเครียดเงียบหายไปจากสภาพแวดล้อม ทุกคนเงียบสนิทเพื่อชมการประลองที่จะเกิดขึ้น!
สายตาของทั้งสองฝ่ายที่เผชิญหน้ากันเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างรุนแรง และทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นยิ่งขึ้น สายตาของฝูงชนต่างพุ่งเข้าหาคนทั้งสอง ที่กำลังเผชิญหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงและจดจ้องจนตาไม่กะพริบ ราวกับ กลัวที่จะพลาดรายละเอียดไป
หลี่ไฮว่ บุตรชายคนโตของตระกูลหลี่ เขามีพรสวรรค์โดยกำเนิดที่ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีรากฐานและร่างกายที่ดีเลิศ เขาได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลตั้งแต่อายุยังน้อยและเป็นหนึ่งในบุคคลชั้นนำของเหล่าคนรุ่นเยาว์แห่งเมืองหมอกสน แม้ว่าทุกคนจะมีความเห็นเป็นเอกฉันท์และปฏิบัติต่อเฉินซีไม่ค่อยดีนัก แต่ชายหนุ่มอย่างเขาก็หามีความสำคัญอันใด เนื่องจากสิ่งที่ทุกคนคาดหวังมากที่สุดคือ สิ่งที่หลี่ไฮว่กำลังสำแดงให้เห็น
มันคือขอบเขตตำหนักอินทนิล!
ผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักมีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิด และพวกเขาเต็มไปด้วยใคร่รู้เกี่ยวกับพลังในการต่อสู้ของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลอย่างไม่ต้องสงสัย นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้ เพราะพวกเขาจะไม่มีโอกาสอีกเลย
“ช้าก่อน” ในทันทีที่การต่อสู้ใกล้จะปะทุขึ้น เสียงอันสงบนิ่งก็ดังขึ้นจากบนกำแพงเมือง ทำให้เกิดความไม่พอใจในฝูงชน
มารดามัน? ผู้ใดออกมารบกวนการต่อสู้ในเวลานี้ นี่เจ้าไร้สมองเกินไปหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นและเหลือบขึ้นมอง ความไม่พอใจก็หายวับไปในทันที
พวกเขาเห็นหญิงสาวในชุดดำยืนอยู่บนกำแพงเมือง รูปลักษณ์ที่อ่อนหวานและมีเสน่ห์ของนางดูเหมือนจะปกคลุมไปด้วยชั้นของม่านที่เย้ายวน อีกทั้งยังมีเสน่ห์ยิ่ง คนผู้นี้คืออัจฉริยะจากตระกูลซูของเมืองทะเลสาบมังกร ซูเจียว!
ฉางปินที่ยืนอยู่เคียงข้างกับซูเจียว เป็นที่รู้จักกันในนามปีศาจกระบี่น้อย ขณะนี้เขากำลังที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองด้วยดวงตาและคิ้วที่เปี่ยมไปด้วยความดุร้าย แม้ว่าเขาจะมิได้กล่าวถึงสิ่งใดสักคำ แต่บรรยากาศดุร้ายรอบกายของเขา กลับทำให้คนอื่นไม่อาจมองข้ามเขาไปได้
คนทั้งสองเป็นศิษย์เอกจากหกตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว หลี่ไฮว่ไม่อาจทัดเทียมกับพวกเขาได้แม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นสถานะ เอกลักษณ์ หรือระดับการบ่มเพาะของเขา ในขณะนี้ เมื่อซูเจียวขัดจังหวะของการต่อสู้ แม้ว่าผู้คนอยากจะโกรธแค้น แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ซูเจียวกล่าวต่อไปกลับจุดประกายความเร่าร้อนในใจของผู้คนที่อยู่ที่นี่
“ความแข็งแกร่งของสหายเต๋าหลี่ไฮว่นั้นไม่เลว แต่ความแข็งแกร่งของสหายเต๋าเฉินซีก็นับว่าไม่เลวเช่นกัน หากการต่อสู้ที่เป็นจุดสนใจของผู้คนไม่เกิดการเดิมพัน มันจะไม่จืดชืดเกินไปหรอกหรือ?”
ซูเจียวแย้มยิ้มขณะที่นางเหลือบมองไปยังฝูงชนที่อยู่โดยรอบ และหลังจากที่นางกล่าวจบ นางหาได้ถามเฉินซีว่าตัวเขาเห็นด้วยหรือไม่ ก่อนที่นางจะกล่าวเสียงดังกับผู้คนรอบข้าง “พวกท่านคิดอย่างไรกับคำแนะนำของข้า?”
เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับนางที่จะบอกว่าความแข็งแกร่งของหลี่ไฮว่นั้นไม่เลว แต่การบอกว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีนั้นไม่เลวเช่นกัน ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ต่างรู้สึกประหลาดใจ ก่อนหน้านี้ แม้ว่าเฉินซีจะช่วยพวกลู่เส้าฉงจากเงื้อมมือของหลี่ไฮว่ได้สำเร็จ แต่ก็ด้วยวิธีฉวยโอกาสขณะหลี่ไฮว่ไม่ได้เตรียมตัวและทำให้เขาต้องตกตะลึง ตัวเขาจะเป็นคู่มือกับหลี่ไฮว่ในการประลองที่แท้จริงได้เยี่ยงไร?
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ผลของการประลองจึงสามารถกำหนดได้คร่าว ๆ การวางเดิมพันที่ว่านั้นจึงดูเป็นการกระทำที่ไม่จำเป็น และมันก็เกินความคาดหมายของผู้คน
แต่เมื่อซูเจียวเอ่ยถามพวกเขา เหล่าคนที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการกวนน้ำให้ขุ่น ต่างก็ตะโกนสุดเสียงว่า “นับว่าดียิ่ง!”
เดิมพัน? ต้วนมู่เจ๋ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน นี่หาใช่การประลอง มันเหมือนกับการแย่งชิงในสังเวียนเพียงเพื่อเจ้าสาว แต่ตู้ชิงซีที่จ้องมองการประลองเบื้องหน้าไม่ได้รู้สึกขบขันเลยแม้แต่น้อย
ถ้อยคำง่าย ๆ สองสามคำจากซูเจียว ทำให้เฉินซีตกอยู่ในสภาพไร้หนทางที่จะถอนตัว หากเขาถอนตัวในตอนนี้ เขาจะต้องถูกหาว่าเป็นพวกขี้ขลาดอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนที่นี่คงไม่ยินยอม
สิ่งสำคัญที่สุด เกือบทุกคนต่างก็รู้ว่าเมื่อเฉินซีได้หมั้นหมายกับซูเจียวแต่กำเนิด แม้ว่าสัญญาหมั้นจะถูกทำลายลง แต่เมื่อต้องเผชิญกับคำแนะนำของซูเจียวซึ่งเป็นอดีตคู่หมั้น หากชายหนุ่มคิดจะถอนตัว มันย่อมเป็นการบอกผู้คนอย่างไม่ต้องสงสัย
ว่าดูสิ …ทำตัวขี้ขลาดเยี่ยงนี้ แล้วยังจะคู่ควรกับบุตรสาวของตระกูลซูอีกหรือ? ที่สัญญาหมั้นหมายของเขาถูกทำลายลง เป็นเพราะตระกูลซูไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำกระมัง?!
“เดิมพันด้วยสิ่งใด?” เฉินซีจ้องไปที่หญิงสาวซึ่งอยู่บนกำแพงเมืองด้วยแววตาที่ไร้อารมณ์ และเสียงของเขาก็ไม่แยแสดั่งน้ำแข็งอันเย็นยะเยือก
“นับว่าง่ายมาก หากเจ้าแพ้ให้มอบตราคำสั่งใต้พิภพ ทำลายการบ่มเพาะของเจ้า และขอโทษข้าโดยยอมรับว่าสัญญาหมั้นหมายระหว่างเจ้ากับข้าที่ถูกทำลายนั้น เป็นความผิดของเจ้าโดยสิ้นเชิง” หลังจากชายหนุ่มกล่าวจบ ซูเจียวกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ดูเหมือนว่านางจะเตรียมเงื่อนไขเหล่านี้มาตั้งแต่ต้น
ตราคำสั่งใต้พิภพ!
สีหน้าของผู้คนนับสิบเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อได้ยินคำเหล่านี้ สายตาของพวกเขาจ้องมองไปยังเฉินซี และความโลภที่มิอาจอธิบายได้ก็ผุดขึ้นมาในแววตาของพวกเขา
ตราคำสั่งใต้พิภพ? ข้าไม่เคยคาดคิดว่า เฉินซีจะมีอยู่ในครอบครอง …แต่เงื่อนไขเหล่านี้นับว่าเลวร้ายยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่านางทำสิ่งเหล่านี้เพียงเพราะนางต้องการทำให้เฉินซี อับอายต่อหน้าผู้คนอย่างไร้ความปรานี!
คิ้วของตู้ชิงซีขมวดขึ้น จากนั้นนางก็เหลือบมองไปที่เฉินซี แต่หญิงสาวกลับเห็นว่าเขายังคงไม่แยแสเช่นเคย นางจึงไม่อาจแยกแยะสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจได้
เฉินซีมีตราคำสั่งใต้พิภพจริง ๆ เนื่องจากเขาได้รับมันมาจากอสูรยักษ์แรดอินทนิลสองหัว และเขาไม่เข้าใจคุณค่าของมันมาโดยตลอด แต่ในเวลานี้ ความสนใจของเขาไม่ได้จดจ้องอยู่ที่เรื่องนี้
จิตใจของเขาราวกับถูกฟ้าผ่า เมื่อเขาได้ยินเงื่อนไขสุดท้ายที่ซูเจียวกล่าว
เหตุการณ์ที่สัญญาหมั้นหมายของเขาถูกทำลายได้ผุดขึ้นมาภายในใจของเขา ทั้งการจ้องมองด้วยความเหยียดหยามของผู้บ่มเพาะตระกูลซู ท่าทางแสนเจ็บปวดและน่าสังเวชของท่านปู่ เสียงเยาะเย้ยดังไปทั่วของผู้คนรอบข้าง และเศษเสี้ยวของสัญญาหมั้นหมายที่โปรยผ่านอากาศอย่างสง่างาม…
นางกลับถือเอาสิ่งนี้เป็นเงื่อนไขโดยปราศจากศีลธรรม อีกทั้งนางยังต้องการให้ข้ายอมรับว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของข้าต่อหน้าผู้คนอย่างนั้นหรือ?
ทุกคำกล่าวของซูเจียวแว่วเข้ามาในหูของเฉินซีอย่างชัดเจน และยิ่งตอกย้ำหัวใจของเขาอย่างรุนแรง เขารู้สึกว่าจิตใจของตัวเองพร้อมที่จะปะทุและความกล้าก็พุ่งออกมาจากภายในตัวเขา ความโกรธเกรี้ยวจุกแน่นอยู่ในอกของเขา และมันก็สะสมทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่ใกล้จะระเบิดออก
ในตอนนี้ ขณะที่เขาจ้องมองหญิงสาวซึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมือง เฉินซีมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำลายนางให้เป็นชิ้น ๆ!
แต่ท่าทางของเขากลับสงบนิ่งผิดปกติ สงบจนถึงขั้นที่ไม่มีแม้แต่ความผันผวนใด ๆ ดังเช่นแอ่งน้ำอันสงบนิ่ง ดวงตาสีเทาคู่นั้นดูว่างเปล่า และหาได้มีอารมณ์ใด ๆ ไม่
หากเฉินฮ่าวอยู่ที่นี่ เขาคงเข้าใจดีว่าท่านพี่ของเขากำลังโกรธเกรี้ยว! เดือดดาลอย่างที่สุด! เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าความโกรธและจิตสังหารที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังดวงตาที่ว่างเปล่าของท่านพี่นั้นแข็งแกร่งเพียงใด!
ฝูงคนที่รอคอยอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลานานในที่สุดก็ได้ยินเฉินซีกล่าว
เสียงทุ้มลึกของเขาดังกังวานขึ้นด้วยพลังอำนาจที่ทำให้ใจต้องสั่นไหว “ข้าจะยอมรับเงื่อนไขของเจ้า แต่ข้าก็มีเงื่อนไขของข้าเช่นกัน”
“จงว่ามา! แม้ว่าสัญญาการหมั้นหมายระหว่างเราทั้งสองคนจะถูกทำลาย ตราบใดที่เงื่อนไขของเจ้าไม่เกินไปนัก ข้าก็เห็นด้วยกับพวกเขาทั้งหมด” ซูเจียวยิ้มบาง ๆ และใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยกรุ้มกริ่มจนสั่นคลอนจิตใจของผู้คน
“กล่าวคำสาบานออกมาจากใจภายใต้หลักเต๋าแห่งสวรรค์ต่อหน้าผู้คน ตอบคำถามของข้าอย่างจริงใจเพียงสามข้อ หากมีการหลอกลวง ก็จงเผชิญการลงทัณฑ์จากสวรรค์!” เฉินซีกล่าวคำต่อคำ และท่าทางของเขาก็สงบนิ่งราวกับว่าเขากำลังกล่าวถึงบางสิ่งที่หาได้เกี่ยวข้องกับตนเองเลยแม้แต่น้อย