บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 436 การแปรสภาพดวงจิตแห่งเต๋า
บทที่ 436 การแปรสภาพดวงจิตแห่งเต๋า
บทที่ 436 การแปรสภาพดวงจิตแห่งเต๋า
ถ้ำแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่นักและค่อนข้างแห้ง หลังจากที่เขาสร้างค่ายกลลวงตาที่ทางเข้าถ้ำ เฉินซีก็ถอนหายใจโล่งอกก่อนจะนั่งขัดสมาธิ
ทันทีที่นั่งลง เขาก็พลิกมือพลางหยิบพัดนกยูงเพลิงขึ้นมาในระดับเดียวกับสายตาก่อนจะเทียบขนาดอย่างระมัดระวัง เมื่อไม่ได้กางออก พัดอันล้ำค่านี้มีขนาดเท่ากับหนึ่งฝ่ามือ แสงเพลิงไหลเวียนอยู่ทั่ว มันคล้ายจะใช้หยกเป็นวัสดุทว่าก็ยังไม่ใช่ เมื่อลูบแล้วก็รู้สึกถึงผิวลื่นเรียบ ทั้งอุ่นและชื้น ถือแล้วสบายมือยิ่งนัก
ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคืออักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนที่หนาแน่นราวกับจักรวาลดาราบนผิวพัด ภายในนั้นดูจะมีนกยูงอัคนีกำลังสยายปีกและส่งเสียงร้องอยู่ ทำให้หัวใจของเฉินซีในตอนนี้สั่นไหว
“นี่คือสมบัติกึ่งอมตะหรือ? คุณภาพช่างพิเศษยิ่งนัก อาจใช้เป็นไพ่ตายสำหรับต่อสู้กับศัตรูก็ย่อมได้” เฉินซีถอนหายใจพร้อมกับเผยความชื่นชมผ่านสีหน้า เขาเล่นกับสมบัติกึ่งอมตะชั่วครู่ก่อนที่จะเก็บพัดนกยูงเพลิงไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์
จากนั้นเขาก็ปลูกกล้วยไม้สายฟ้าไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ มีป่าเขียวขจีบนชั้นที่สองของเจดีย์เรียกว่าชั้นสี่สัญลักษณ์ ซึ่งเต็มไปด้วยปราณวิญญาณธาตุไม้ ดังนั้นจึงเหมาะที่จะเพาะปลูกสมุนไพรวิญญาณอย่างยิ่ง
ในกล้วยไม้สายฟ้ามีเพียงหกจากสิบสองกลีบเท่านั้นที่มีลวดลายแห่งเต๋า เมื่อใดก็ตามที่หกกลีบที่เหลือนั้นเผยลวดลายแห่งเต๋าแล้ว ไม่ว่ามันจะถูกบริโภคหรือใช้สำหรับหลอมโอสถ คุณภาพก็จะไม่แตกต่างกันมากนัก
นี่เป็นสิ่งที่เฉินซีทราบอย่างแน่ชัด เขาจึงไม่ได้รีบร้อนและทำการปลูกในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์แทน
“เป็นเพราะกฎแห่งเต๋าสวรรค์ จึงอนุญาตให้ใช้สมบัติวิเศษในสมรภูมิบรรพกาลได้โดยไม่มีข้อจำกัด พละกำลังของซวีเหลิ่งเยี่ยนั้นแทบจะเทียบกับซูเฉินไม่ได้และยังต้องพึ่งพาพัดนกยูงเพลิงอีก ทว่าเขาสามารถทำให้ข้าเกรงกลัวได้ อาจจะต้องเปลี่ยนกลยุทธ์เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูในอนาคตเสียแล้ว…” เฉินซีหล่อเลี้ยงเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของเขา ใช้ยาเม็ดจิตวิญญาณฟื้นฟูพลังขณะนึกถึงและสรุปผลการต่อสู้ก่อนหน้านี้ในใจ ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับว่าหากเป็นชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอ เจิ้นหลิวชิงหรือบุคคลที่น่าเกรงขามคนอื่นที่ใช้สมบัติกึ่งอมตะ เขาคงจะทำได้เพียงหนีเอาชีวิตรอด ไม่มีข้อได้เปรียบเหนืออีกฝ่ายแต่อย่างใด
นี่คือความน่าเกรงขามของสมบัติวิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมรภูมิบรรพกาลแห่งนี้ การใช้สมบัติวิเศษไม่ได้ถูกจำกัดโดยการบ่มเพาะของตัวบุคคล ทำให้สมบัติวิเศษมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
ใครก็ตามที่ครอบครองสมบัติกึ่งอมตะ จากผู้บ่มเพาะธรรมดาก็สามารถกลายเป็นสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ได้! ทว่าหากพ่ายแพ้ก็ไม่ต่างอะไรจากปักษาที่ถูกถอนขนจนเตียน น่าอับอายยิ่งกว่าไก่เสียอีก
หากสมบัติวิเศษอันน่าเกรงขามตกอยู่ในมือของผู้บ่มเพาะที่น่ายำเกรง ผู้นั้นย่อมไร้เทียมทานและสามารถกำจัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
แน่นอนว่าไม่ต้องกล่าวถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำ แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติยังไม่อาจนำพลังอำนาจทั้งหมดของการดำรงอยู่เช่นสมบัติกึ่งอมตะที่ด้อยกว่าเพียงแค่สมบัติอมตะมาใช้
ในทางกลับกัน แม้พวกเขาจะนำพลังอำนาจของสมบัติกึ่งอมตะออกมาได้เพียงบางส่วน มันก็น่ากลัวเพียงพอแล้ว อาจจะไม่สามารถสังหารบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ได้ในทันที แต่ก็เพียงพอที่จะเสริมพลังต่อสู้ได้มากกว่าสองเท่า ในการต่อสู้ระหว่างผู้บ่มเพาะระดับเดียวกัน ผู้ครอบครองสมบัติกึ่งอมตะจะบดขยี้คู่ต่อสู้ได้ด้วยข้อได้เปรียบที่ชนะขาด
“ยันต์ศัสตราของข้านั้นเทียบได้กับสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ ทว่าเห็นได้ชัดว่าด้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสมบัติกึ่งอมตะ ดูเหมือนว่าข้าจะต้องเสริมความแข็งแกร่งของยันต์ศัสตราอีกครั้งโดยเร็วที่สุด…” เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เฉินซีก็ไม่อาจนิ่งเฉย
มันช่วยไม่ได้ และไม่ต้องพูดถึงจำนวนวัสดุมหาศาลที่ใช้เสริมคุณภาพของยันต์ศัสตราเลย เพราะวัตถุดิบเหล่านี้ล้วนล้ำค่าและหายากยิ่ง จึงทำให้รวบรวมได้ยากแสนยาก และการซื้อวัสดุส่วนใหญ่จากท้องตลาดจึงแทบเป็นไปไม่ได้
ตัวอย่างเช่น ครั้งล่าสุดที่เขาขัดเกลาคุณภาพของยันต์ศัสตรา เขาต้องฝ่าฟันอยู่ภายในป่าทมิฬเป็นระยะทางนับล้านลี้และประสบกับภยันตรายนับไม่ถ้วนก่อนเข้าสู่ปราการเดียวดาย กว่าจะรวบรวมวัสดุเพียงพอที่จะเสริมคุณภาพของยันต์ศัสตราเพียงหนึ่งครั้งและบรรลุถึงพลังในปัจจุบัน
ตอนนี้ หากเขาต้องการเสริมคุณภาพของยันต์ศัสตราขึ้นไปอีกขั้น วัสดุที่ต้องใช้ก็จะยิ่งหายาก ล้ำค่า และมีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม เพียงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ทำให้เขาแทบจะกุมขมับ
เฉินซีสูดหายใจเข้า ตัดสินใจที่จะเผชิญกับความเป็นจริง เขาเริ่มจัดเรียงและนับสมบัติที่มีในครอบครอง
ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เขารู้สึกสลดใจ ก่อนที่จะเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล ชายหนุ่มได้มอบสมบัติทั้งหมดที่ไม่ได้ใช้ชั่วคราวให้กับเฉินฮ่าว ทำให้ตอนนี้เฉินซีมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น
ยาเม็ด… โอสถกลั่นแรกเริ่มแปดล้านเม็ด โอสถเหลวหยกนภาห้าหมื่นเม็ด
สมบัติวิเศษ… พู่กันพิพากษามาร ระเบียนแดนมรณะ ไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารา ยันต์ศัสตราและพัดนกยูงเพลิงที่เขาเพิ่งได้มา
วัตถุวิญญาณ… มีเพียงกล้วยไม้สายฟ้าที่ได้มาไม่นาน ไม่มีสิ่งใดอื่น
ของจิปาถะ… สลักสวรรค์จากขุมสมบัติของเฉียนหยวน กระดูกคุนเผิงและขวดซึ่งบรรจุของอื่น ๆ
ไล่แต่ต้นจนจบ เขาก็ไม่พบวัตถุดิบที่สามารถเสริมคุณภาพของยันต์ศัสตราได้แม้แต่ชิ้นเดียว!
อันที่จริง ผลลัพธ์นี้อยู่ในความคาดหมายของเฉินซี ทว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าความต้องการที่จะเสริมคุณภาพของยันต์ศัสตราจะเร่งด่วนถึงเพียงนี้ จนถึงจุดที่เขาได้มอบวัสดุที่มีประโยชน์และหายากมากมายให้กับเฉินฮ่าว
“หืม? ข้าลืมไปได้อย่างไร? การหาวัสดุในสมรภูมิบรรพกาลนั้นคงไม่ยากเท่าใดนัก…” ประกายแห่งแรงบันดาลใจเกิดขึ้นในจิตของเฉินซี เขาจ้องไปยังสมรภูมิบรรพกาล
ชายหนุ่มทราบเกี่ยวกับตำนานที่กล่าวถึงสมรภูมิบรรพกาลว่า มันเป็นสถานที่ที่ทวยเทพในสมัยโบราณเดินทางมาเยือน ผู้เยี่ยมยุทธ์มากฝีมือนับไม่ถ้วนก็เคยมาอยู่ที่นี่ บางคนถึงกับทิ้งมรดกของพวกเขาไว้ในพื้นที่แห่งนี้ และกำลังรอคอยผู้มีโชคมาเปิดมรดกอย่างเงียบงัน
อีกทั้งเพราะสมรภูมิบรรพกาลเป็นเส้นทางเดียวสู่แดนภวังค์ทมิฬ ทุกครั้งที่ผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์จากราชวงศ์ต่าง ๆ เข้ามาก็จะมีบางคนที่โชคดีได้รับมรดกเหล่านี้ ทำให้พวกเขาทะยานขึ้นสู่ท้องนภาตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป และกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในการแข่งขันที่สุดทรหดนี้และมีคุณสมบัติในการเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ
ดังนั้นแม้ว่าสภาพแวดล้อมที่นี่จะเลวร้ายและมีเพียงไม่กี่คนที่เหยียบย่างเข้ามาที่แห่งนี้ มันก็ยังเป็นคลังสมบัติธรรมชาติที่เก็บสมบัติไว้มากมายนับไม่ถ้วน วัตถุวิญญาณ สมุนไพรวิญญาณ และแร่ที่หายากบนโลกภายนอกสามารถพบได้ที่นี่ และยังมีจำนวนมากมายจนน่าตกใจ!
“ช่างมันเถิด ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเรื่องนี้ต่อไป เพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าของข้า สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพัฒนาการบ่มเพาะเพื่อก้าวสู่ขอบเขตจุติ มิฉะนั้น หากไม่มีกำลังแม้แต่จะป้องกันตัว ข้าจะรวบรวมวัตถุดิบได้อย่างไร?” เฉินซีทราบอย่างแน่ชัดว่าไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ทุกคนที่เข้ามาในสมรภูมิบรรพกาลล้วนกำลังแข่งกับเวลาเพื่อบรรลุสู่ขอบเขตจุติเช่นกัน
อย่างไรแล้ว การบรรลุสู่ขอบเขตจุติเท่านั้นที่จะทำให้ได้รับพละกำลังพื้นฐานในการเอาตัวรอดในสมรภูมิบรรพกาลที่สุดจะอันตรายนี้ได้
ทว่าสิ่งที่ทำให้เฉินซีเป็นกังวลก็คือภูมิภาคที่เขาอยู่ ณ ตอนนี้เต็มไปด้วยพายุฝนฟ้าคะนองที่สั่นสะเทือนท้องนภา หากเผชิญกับทัณฑ์แห่งการจุติที่นี่ก็คงไม่ต่างอะไรกับการถามหาความตาย
เพราะทัณฑ์แห่งการจุติคือทัณฑ์แห่งอัสนีอีกรูปแบบหนึ่ง หากเรียกทัณฑ์แห่งอัสนีลงมาในภูมิภาคที่เต็มไปด้วยพายุฝนฟ้าคะนอง พลังอำนาจของมันคงจะแข็งแกร่งเกินทวีคูณ!
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใดก็ตามที่ก้าวสู่ขอบเขตจุติในสมรภูมิบรรพกาล บทลงทัณฑ์ทั้งสองจะปรากฏขึ้นพร้อมกัน อนึ่งคือการจุติของตน อีกหนึ่งคือทัณฑ์แห่งอัสนีจากเต๋าแห่งสวรรค์ อย่างแรกคือภายใน อีกอย่างคือภายนอก ไม่อาจพลาดพลั้งได้แม้แต่น้อย
ดังนั้นการค้นหาสถานที่ที่ปลอดภัยอย่างยิ่งเพื่อบรรลุสู่ขอบเขตจุติจึงกลายปัญหาที่เฉินซีต้องเผชิญในตอนนี้โดยไม่มีทางเลือก
เขาต้องเลื่อนระดับคุณภาพของยันต์ศัสตรา รวบรวมวัสดุหายากต่าง ๆ เพื่อบรรุสู่ขอบเขตจุติ เผชิญกับภยันตรายมากมายในสมรภูมิบรรพกาลและเผชิญหน้ากับการแข่งขันสุดหฤโหดพร้อมกับผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์จากราชวงศ์อื่น ๆ…
ในขณะนี้ ความรู้สึกถึงภยันตรายและความกดดันในการเร่งรีบพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นนั้นผุดขึ้นมาในหัวใจของเฉินซี
ยามที่เขาอยู่ในแผ่นดินซ่ง ชายหนุ่มนับเป็นอันดับหนึ่งในรุ่นเยาว์อยู่แล้ว ในขณะที่ตระกูลเฉินกำลังพัฒนาดั่งไฟลุกโชนและได้รับการปกป้องจากจักรพรรดิซ่ง ทำให้เฉินซีผ่อนคลายลงและจิตใจปล่อยวาง
ฉะนั้นในตอนนี้ เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันตรายและความกดดันที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งอีกครั้ง ไม่เพียงแต่เฉินซีจะกระวนกระวาย แต่กลับยังเผยให้เห็นรอยยิ้มอีกด้วย
‘นี่คือช่วงเวลาที่ข้าคุ้นเคย ชีวิตที่คุ้นเคย ซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายและความไม่เที่ยง มีเพียงบรรยากาศตึงเครียดที่เต็มไปด้วยความกดดันเท่านั้นที่สามารถบีบบังคับให้ข้าตั้งใจพัฒนาตนให้แข็งแกร่งขึ้นโดยไม่หยุดพัก!’
มันเหมือนกับการปีนภูเขาสูง เมื่อถึงจุดสูงสุดก็เป็นเรื่องง่ายที่คนจะสูญเสียเป้าหมาย และหากภูเขาที่สูงยิ่งกว่าปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันในตอนนั้น ก็ย่อมกระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และความปรารถนาที่จะพิชิตมันกลับมาได้
ชีวิตทั้งชีวิตก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ?
ในตอนนี้ ดูเหมือนดวงจิตแห่งเต๋าของเฉินซีกำลังแปลงสภาพ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อีกครั้ง!
‘ไม่ว่าจะเพื่อเติมเต็มความฝันของข้าที่จะเป็นอมตะ เพื่อตามหาพ่อแม่ที่หายไป หรือเพื่อแก้แค้นให้กับคนในตระกูลของข้าที่จากไป ข้าจะต้องไม่สูญเสียตัวตนและเส้นทางที่ข้าเดินอยู่!’