บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 437 ทะเลบรรพกาล
บทที่ 437 ทะเลบรรพกาล
บทที่ 437 ทะเลบรรพกาล
หนึ่งวันต่อมา
โอม!
ทันใดนั้น คลื่นสั่นสะเทือนได้เกิดขึ้นจากภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ทำให้เฉินซีที่กำลังทำสมาธิและบ่มเพาะอยู่ตื่นขึ้น
เฉินซีขมวดคิ้ว จากนั้นจึงเอาเหรียญหยกออกมาจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ พื้นผิวของมันมีเครื่องหมายบอกทิศทางอยู่แปดทาง ซึ่งดูคล้ายกับเข็มทิศ และในขณะนี้ เครื่องหมายบอกทิศทางที่ชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็สว่างขึ้น
เหรียญหยกชิ้นนี้เป็นสิ่งที่จักรพรรดิซ่งมอบให้แก่เขา ซึ่งชิงซิ่วอี้และคนอื่น ๆ ต่างก็ครอบครองเหรียญนี้เช่นกัน เมื่ออยู่ภายในสมรภูมิบรรพกาล การเปิดใช้งานเหรียญหยกจะทำให้คนอื่น ๆ ที่ครอบครองเหรียญหยกและอยู่ในระยะสองหมื่นห้าพันลี้ สามารถรับรู้ตำแหน่งของตนได้อย่างชัดเจน
ที่จักรพรรดิซ่งทำเช่นนี้ เพราะเขาหวังว่าทุกคนที่เป็นตัวแทนของราชวงศ์ซ่งจะสามารถรวมตัวกันและต่อต้านภัยอันตรายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสมรภูมิบรรพกาลด้วยกัน ซึ่งการมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก ย่อมดีกว่าการเร่ร่อนตามลำพัง
“ข้าสงสัยว่าใครเป็นผู้เปิดใช้งานเหรียญหยกนี้ และคนผู้นั้นกำลังประสบกับอันตรายหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดอยู่หรือไม่? แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องไปดูอยู่ดี…” เฉินซีลุกขึ้นยืน หลังจากที่ครุ่นคิด
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ลำแสงก็พุ่งผ่านท้องฟ้าและบินไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
…
สถานที่แห่งนี้เป็นเทือกเขาที่สูงชันมาก ที่เบื้องล่างของภูเขามีแม่น้ำที่เชี่ยวกรากไหลไปไกลสุดสายตา อีกทั้งยังมีคลื่นโคลนโหมกระหน่ำ อีกทั้งน้ำในแม่น้ำก็มีสีดำสนิทจนทำให้ผู้พบเห็นต้องใจสั่นกลัว และคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งก็ฟังดูเหมือนเสียงคำรามของมังกรร้าย
บนยอดเขาสูงมีร่างสองร่างยืนอยู่ ร่างที่ดูเหมือนผู้นำคือหญิงสาวที่สวมชุดคลุมปักสีเหลืองสดและมงกุฎขนนก ผมสีดำขลับถูกเกล้าขึ้นสูงเหนือศีรษะ ดวงตาที่สดใสของนางนั้นใสเหมือนน้ำ ความงามของนางเป็นธรรมชาติ และเปล่งรัศมีอันสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง นางคือองค์หญิงหวงฝู่ฉิงอิง ผู้เป็นบุตรีที่จักรพรรดิซ่งเอ็นดูมากที่สุด
ที่ข้างกายของนางมีชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำและมีท่าทางที่ไม่อาจควบคุมได้ เขาคือนายน้อยสี่แห่งตระกูลโจว
“องค์หญิง ทะเลบรรพกาลนั้นอันตรายมากจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?” นายน้อยโจวเอ่ยถามทันที
หวงฝู่ฉิงอิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ความเป็นไปได้ที่จะเสียชีวิตในทะเลบรรพกาลนั้นด้อยกว่าพื้นที่หวงห้ามแห่งอื่นในสมรภูมิบรรพกาล แต่ก็เป็นเพราะทะเลบรรพกาลนั้นมีขนาดใหญ่ และไม่ได้ความว่าทุกแห่งของมันจะเต็มไปด้วยอันตราย ถึงกระนั้นเราจะประมาทไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากทะเลบรรพกาลนั้นมีสถานที่อันตรายและลึกลับ จนแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพียังต้องคอยระวัง แต่แม้ข้าจะมีแผนที่ที่ไม่สมบูรณ์ แต่ข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะเข้าออกในที่แห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย”
นายน้อยโจวพยักหน้าเห็นด้วย เพราะก่อนหน้านี้เขาเห็นเหรียญหยกพลันสว่างขึ้น หลังจากที่รีบทะยานมาที่แห่งนี้ เขาก็พบว่าเป็นหวงฝู่ฉิงอิงที่เปิดใช้งานเหรียญหยกเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ และนางก็บอกว่าต้องการสำรวจทะเลบรรพกาล
เขาเชื่อคำพูดของหวงฝู่ฉิงอิงและเชื่อมั่นว่านางมีแผนที่สมบัติอยู่ ถึงอย่างไร นางก็เป็นธิดาของจักรพรรดิซ่ง ดังนั้นความรู้ความเข้าใจของนางที่มีต่อพื้นที่หวงห้ามและสถานที่ต่าง ๆ ที่มีสมบัติอยู่ในสมรภูมิบรรพกาลจึงชัดเจนกว่าใคร ๆ
“ข้าไม่รู้ว่าใครจะมาถึงที่นี่อีก เพราะเหรียญหยกสามารถตรวจจับสัญญาณได้แค่ภายในระยะสองหมื่นห้าพันลี้เท่านั้น… หากไม่มีใครมาเลยสักคน เราอาจจะต้องรอเป็นเวลานานมากขึ้นไปอีกอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?” นายน้อยโจวบ่นพึมพำ
หวงฝู่ฉิงอิงขมวดคิ้วและกล่าวช้า ๆ ว่า “ทะเลบรรพกาลเต็มไปด้วยพลังดาราจักรแห่งความตาย ซึ่งจะส่งผลต่อการโคจรของปราณแท้และสภาวะจิตวิญญาณของเรา และจากการคำนวณของข้า เดือนนี้น่าจะเป็นช่วงที่พลังดาราจักรแห่งความตายอ่อนแอที่สุด เราจะรออยู่สามวัน หากไม่มีใครมาภายในสามวันแล้วละก็ เราจะออกเดินทางทันที”
นายน้อยโจวตกตะลึง “เราสองคนเองหรือ?”
หวงฝู่ฉิงอิงกัดริมฝีปากสีแดงสดของนางและถอนหายใจเบา ๆ “ไม่มีอะไรที่เราจะทำได้ ไม่ใช่แค่ข้าที่มีแผนที่ขุมทรัพย์ของทะเลบรรพกาล แต่ผู้บ่มเพาะของราชวงศ์อื่น ๆ ก็น่าจะเข้าสู่ทะเลบรรพกาลในช่วงเวลานี้เช่นกัน หากเราชักช้าไปมากกว่านี้ แม้ว่าเราจะเข้าสู่ทะเลบรรพกาลได้ แต่ก็อาจไม่ได้รับประโยชน์อันใด”
สามวันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลานี้ นายน้อยโจวได้เห็นผู้บ่มเพาะหลายคนทะยานเป็นลำแสง และเกือบทั้งหมดเป็นผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ระดับสูงของราชวงศ์ต่าง ๆ
ฐานบ่มเพาะของคนเหล่านี้ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง และกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากผู้บ่มเพาะบางคนก็เทียบได้กับเฉินซีและชิงซิ่วอี้ แม้ว่านายน้อยโจวจะมีนิสัยที่กล้าหาญ แต่เมื่อเห็นเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายที่แห่กันเข้ามา หัวใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้มาเพื่อเข้าสู่ทะเลบรรพกาล พวกเขาส่วนใหญ่รวมตัวกันเป็นกลุ่มละสามหรือห้าคน และแทบไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหวเพียงลำพัง
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เขากับหวงฝู่ฉิงอิงถือว่าเป็นกลุ่มที่อ่อนแอที่สุด
แต่นับว่าโชคดี ที่คนเหล่านี้มีเป้าหมายที่แน่วแน่และดูเหมือนต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาก่อนที่จะเข้าสู่ทะเลบรรพกาล ดังนั้นนายน้อยโจวและหวงฝู่ฉิงอิงจึงไม่ตกเป็นเป้าหมายด้วยความละโมบของใคร
“เหตุใดพวกมันถึงเงียบหายไปหมด” เมื่อเขาเห็นเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมากกำลังแห่กันเข้ามา แต่กลับไม่มีศิษย์ของราชวงศ์ซ่งเลย นายน้อยโจวก็อดไม่ได้ที่จะวิตกกังวล
ฟุ่บ! ในขณะนี้ จุดสีดำได้ขยายจากขอบฟ้าอันไกลโพ้นอย่างรวดเร็ว
“ที่แท้ก็เป็นเฉินซีนี่เอง!” ดวงตาของหวงฝู่ฉิงอิงสว่างขึ้นในขณะที่ริมฝีปากอันอ่อนโยนเหมือนดอกไม้ของนางเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ‘ถ้าข้าสามารถดึงเฉินซีเข้าไปในทะเลบรรพกาลได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราก็จะมั่นใจมากขึ้น’
“ฮ่า ๆ เมื่อมีเฉินซีอยู่ด้วยแล้ว ข้าก็มีความมั่นใจที่จะเข้าสู่ทะเลบรรพกาลแล้ว” นายน้อยโจวหัวเราะเสียงดังเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเขามั่นใจในความแข็งแกร่งของเฉินซีมาก
“ที่แท้ก็องค์หญิงน้อยกับท่านพี่โจวนี่เอง” เฉินซีเหินลงไปที่ยอดเขาและกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง
“เจ้ามาก็ดีแล้ว” หวงฝู่ฉิงอิงประเมินเฉินซีด้วยการมองแวบเดียว และเมื่อสังเกตเห็นว่ากลิ่นอายของเขามีความหนาแน่นและลึกล้ำมากขึ้น นอกจากความรู้สึกตกตะลึงที่ผุดขึ้นในใจของนางแล้ว ความมั่นใจในการเข้าสู่ทะเลบรรพกาลก็อดที่จะผุดขึ้นมาไม่ได้
“เฉินซี ข้ารวบรวมทุกคนในเวลานี้ เพราะต้องการสำรวจทะเลบรรพกาล ดังนั้นเจ้าต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม” หวงฝู่ฉิงอิงกล่าวเตือน
“ทะเลบรรพกาล!” เฉินซีเคยได้ยินเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้จากมหาเสนาบดี มันเป็นทะเลที่เต็มไปด้วยพลังดาราจักรแห่งความตาย และตั้งอยู่ในมิติที่พังทลายภายในสมรภูมิบรรพกาลซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลมาก
ทะเลบรรพกาลไม่เพียงแต่จะเต็มไปด้วยอันตรายต่าง ๆ เท่านั้น ทว่ายังมีสัตว์น้ำที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวอยู่มากมาย โดยเฉพาะพลังดาราจักรแห่งความตายที่อยู่ภายในทะเลก็มีข้อจำกัดต่อการบ่มเพาะเป็นอย่างมาก หากใครติดอยู่ในทะเลบรรพกาลแล้วละก็ การโคจรของปราณแท้จะยากลำบากเป็นอย่างมาก และวิญญาณก็อาจถูกสยบเช่นกัน แม้ว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบหากอยู่ในยามสมบูรณ์พร้อม แต่ถ้าใครบาดเจ็บหรือมีสภาพย่ำแย่ ก็จะต้องทนทุกข์ทรมานจากการหักล้างกันของปราณแท้และตกอยู่ในสภาวะที่คลุ้มคลั่ง
ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่ามีเจตนาฆ่าในทุกฝีก้าว และความประมาทเพียงเล็กน้อย อาจหมายถึงความตาย!
แม้ว่าทะเลบรรพกาลจะอันตราย แต่ก็เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงค่อนข้างมากเกี่ยวกับสมบัติล้ำค่าที่อยู่ภายในสมรภูมิบรรพกาล ทั้งวัตถุวิญญาณหายาก สมุนไพรวิญญาณ ซากปรักหักพังและแดนเร้นลับที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ในสมัยโบราณทิ้งเอาไว้ กระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
“ข้าไม่มีปัญหา” เฉินซียิ้มและคาดหวังอยู่ในใจเล็กน้อย
“ดีมาก เมื่อได้เจ้าเข้าร่วมแล้วละก็ เราก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มากมายได้อย่างแน่นอน!” หวงฝู่ฉิงอิงกล่าวด้วยรอยยิ้มและหลังจากกล่าวจบ นางก็ดึงแผนที่หนังสัตว์ที่เก่าคร่ำคร่าและขาดรุ่งริ่งออกมาจากคลังสมบัติวิเศษของนาง
“ในอดีตที่ผ่านมา เราได้แต่พึ่งโชคเมื่อเข้าสู่ทะเลบรรพกาลเท่านั้น แต่ในครั้งนี้ เสด็จพ่อของข้าได้มอบแผนที่ที่ยังไม่สมบูรณ์นี้ให้กับข้า ซึ่งระบุพื้นที่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลบรรพกาล และถ้าเราสามารถหาพื้นที่นี้เจอ การสำรวจของเราก็จะปลอดภัยไปกว่านี้มาก” ขณะที่กล่าว หวงฝู่ฉิงอิง ได้ส่งแผนที่หนังสัตว์ให้แก่เฉินซีและนายน้อยโจวดู
สายตาของเฉินซีจ้องมองไปที่แผนที่ และพบว่ามีจุดสีแดงที่น่าตกใจหลายจุดอยู่บนแผนที่ จุดสีแดงเหล่านี้เป็นพื้นที่อันตรายที่ถูกระบุไว้ ความเข้มของสีแดงแตกต่างกันไปตามระดับความอันตรายในพื้นที่ และพื้นที่ที่ถูกทำเครื่องหมายด้วยสีแดงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันน่าสยดสยองคือพื้นที่ที่มีระดับความอันตรายสูงสุด
นอกจากนั้นยังมีจุดอื่น ๆ ที่ถูกทำเครื่องหมายด้วยสีต่าง ๆ รวมถึงอื่น ๆ อีก แต่ไม่ได้แสดงว่าพวกมันไม่ได้เป็นอันตราย หลายปีได้ผ่านไป ไม่มีใครล่วงรู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในทะเลบรรพกาลหรือไม่ แผนที่นี้จึงไม่สามารถแทนทุกสิ่งได้ อีกทั้งยังไม่ต้องกล่าวถึงว่านี่เป็นเพียงแผนที่ที่ไม่สมบูรณ์
“เมื่อมีแผนที่นี้ พวกเราก็สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเดินไปมาโดยหวังโชค” นายน้อยโจวเห็นคุณค่าของแผนที่นี้ ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทอง
หลังจากที่นางเก็บแผนที่แล้ว หวงฝู่ฉิงอิงก็กล่าวว่า “เราไม่อาจเสียเวลาได้มากกว่านี้แล้ว ไปกันเถอะ พวกเราไม่ใช่ผู้บ่มเพาะเพียงกลุ่มเดียวที่เข้าสู่ทะเลบรรพกาลในครั้งนี้ และเราอาจจะไม่ได้รับอะไรเลยหากช้าเกินไป”
โอม!
เรือเหาะสมบัติที่มีความยาวกว่าสี่สิบจั้งได้ลอยอยู่ที่กลางอากาศ พื้นผิวของมันถูกปกคลุมด้วยอักขระยันต์อันหนาแน่น อีกทั้งยังมีกลิ่นอายของสมบัติวิเศษปกคลุมอย่างหนาทึบ รูปลักษณ์ภายนอกของมันดูเรียบง่ายและธรรมดา แต่กลับแผ่กลิ่นอายอันหนักอึ้งออกมา เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรือเหาะสมบัติที่ค่อนข้างล้ำค่า
“เรือมังกรพันขนนก! ช่างเป็นสมบัติที่ล้ำค่ายิ่งนัก! ข้าปรารถนาที่จะครอบครองมันมานานแล้ว แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีวาสนา” นายน้อยโจวเป็นคนแรกที่กระโดดขึ้นเรือสมบัติ จากนั้นเขาก็เริ่มมองไปทางซ้ายและขวา พร้อมกับอุทานด้วยความชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากเฉินซียืนอยู่บนดาดฟ้าเรือที่กว้างขวางและแบนราบ หว่างคิ้วของหวงฝู่ฉิงอิงพลันสว่างขึ้น จากนั้นเรือมังกรพันขนนกก็พุ่งออกไปอย่างปราศจากเสียง ในชั่วพริบตา มันได้เดินทางเป็นระยะทางถึงสองร้อยห้าสิบลี้และความเร็วของมันก็ไม่ต่างจากการเคลื่อยย้ายมิติ
“องค์หญิงน้อย หากท่านไม่ต้องการเรือมังกรพันขนนกลำนี้แล้ว ท่านต้องขายมันให้แก่ข้านะพ่ะย่ะค่ะ” นายน้อยโจวยังคงคิดเกี่ยวกับเรื่องที่จะครอบครองมันอยู่
หวงฝู่ฉิงอิงหัวเราะเบา ๆ “เสด็จพ่อขัดเกลาเรือลำนี้ด้วยตัวพระองค์เอง และมีเพียงลำเดียวในราชวงศ์ซ่งเท่านั้น เจ้าคงต้องผิดหวังแล้ว”
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถาม “เรือสมบัติลำนี้น่าทึ่งขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“เฉินซี ท่านอย่าได้แสร้งเป็นโง่เขลาได้หรือไม่? ด้วยตัวตนของท่านแล้ว ท่านไม่เคยได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของเรือมังกรพันขนนกเลยหรือ? คงเป็นเรื่องที่น่าอายเป็นอย่างยิ่งหากคนอื่นได้รู้เข้า!” นายน้อยโจวกลอกตาก่อนจะอธิบาย “เรือเหอะลำนี้เป็นเรือเหาะสมบัติระดับสูงสุด ความเร็วของมันเหนือกว่าความเร็วเสียงถึงเก้าเท่า ม่านพลังแสงที่ปกคลุมภายนอกเรือสามารถต้านทานพลังทำลายล้างของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุตินับสิบคนได้ และแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาก็ไม่อาจทำลายมันในระยะเวลาอันสั้น
“นอกจากการป้องกันแล้ว เรือมังกรพันขนนกยังมีการโจมตีที่ทรงพลัง ซึ่งคือปืนใหญ่ฟ้าลั่น พลังระเบิดของมันเพียงนัดเดียวเทียบได้กับการโจมตีอย่างสุดกำลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ ดังนั้นการบดขยี้ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง จึงง่ายดายเหมือนการหั่นผัก และแม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาก็ยังต้องประสบกับความสูญเสียเมื่อเผชิญกับการระเบิดต่อเนื่องของปืนใหญ่ฟ้าลั่น”
“ช่างทรงพลังยิ่งนัก!” เฉินซีตกตะลึง ตอนนี้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า เหตุใดนายน้อยโจวถึงสนใจเรือเหาะสมบัติลำนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็อาจถูกล่อลวงด้วยสมบัติวิเศษชิ้นนี้เช่นกัน
“อย่าฟังเรื่องไร้สาระของสหายคนนี้ แม้มันจะน่าเกรงขาม แต่ก็มีข้อบกพร่องอยู่ การใช้งานมันหนึ่งชั่วยามต้องใช้โอสถกลั่นแรกเริ่มถึงหนึ่งแสนเม็ด ดังนั้นแม้ว่าผู้บ่มเพาะธรรมดาจะสามารถครอบครองมันได้ แต่ก็อาจจะไม่สามารถสนับสนุนเงื่อนไขดังกล่าวได้” หวงฝู่ฉิงอิงหัวเราะเบา ๆ ขณะกล่าวเสริม
“ต้องใช้โอสถกลั่นแรกเริ่มถึงหนึ่งแสนเม็ดในทุก ๆ หนึ่งชั่วยามเลยหรือ??”
เฉินซีตกตะลึงอีกครั้ง ลอบรู้สึกประหลาดใจกับความมั่งคั่งอันยิ่งใหญ่ของหวงฝู่ฉิงอิง และเขาก็สลัดความคิดที่จะครอบครองเรือมังกรพันขนนก เนื่องจากมีเพียงหวงฝู่ฉิงอิงเท่านั้นที่จะคู่ควรกับสมบัติชิ้นนี้ และนางก็เป็นลูกสาวที่จักรพรรดิซ่งโปรดปรานมากที่สุดด้วย
อีกอย่างหนึ่ง… ด้วยความมั่งคั่งที่มีอยู่ในตอนนี้ เขาจะต้องถูกสมบัติชิ้นนี้สูบเลือดจนแห้งภายในเวลาไม่ถึงห้าวันเป็นแน่!
ฟิ้ว!
ในระหว่างที่เฉินซีและคนอื่น ๆ กำลังคุยกัน สัตว์ร้ายขนาดมหึมาที่มีปีกคู่หนึ่งอยู่บนหลัง ได้ทะยานขึ้นมาบนท้องฟ้าใกล้ ๆ ซึ่งรวดเร็วไม่ได้ด้อยไปกว่าเรือมังกรพันขนนกเลยแม้แต่น้อย!