บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 442 เฉินซีผู้ยกตนข่มท่าน
บทที่ 442 เฉินซีผู้ยกตนข่มท่าน
บทที่ 442 เฉินซีผู้ยกตนข่มท่าน
โครม!
ไม่เพียงแต่การออกหมัดครั้งที่สองของเฉินซีจะปราบเว่ยมู่อวิ๋นได้อยู่หมัด ควันหลงยังกระจายออกไปรอบเกาะ ทำให้น้ำทะเลสั่นสะเทือนจนคลื่นสาดไปยังท้องนภาอย่างน่าหวาดผวา พลังของหมัดไร้เทียมทานส่งผลกระทบต่อใต้ท้องทะเล สัตว์น้ำและอสูรร้ายบางตัวที่อยู่ลึกลงไปหกลี้สั่นคลอนจนขาดใจตาย ซากศพหลายขนาดลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ ทำให้ทะเลบริเวณใกล้เคียงกลายเป็นสีแดง
“น…น…นี่มันเคล็ดวิชาหมัดอะไรกัน?”
“เดิมทีไฟกับน้ำขัดต่อกัน แต่ในการปะทะครั้งนี้ ความล้ำลึกของมหาเต๋าแห่งอัคคีและวารีถูกรวมเข้าด้วยกัน เคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้เช่นนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
“เขาปราบเว่ยมู่อวิ๋นด้วยสองหมัดจริง ๆ พละกำลังของเขานั้นน่ายำเกรงขนาดไหนกันแน่?”
สายตาของชุยซิวหงและเหลิ่งเชี่ยนชิวในขณะนี้แฝงความหวาดกลัว ในขณะที่รูม่านตาของเผยอวี่่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักก็หดตัวเช่นกัน รอยยิ้มอบอุ่นที่มุมปากของเขาพลันเย็นยะเยือกลง
เขาทราบถึงพละกำลังของเว่ยมู่อวิ๋นเป็นอย่างดี การดำรงอยู่ที่จัดอยู่อันดับที่ห้าในบรรดาคนรุ่นเยาว์แห่งราชวงศ์ต้าจิ้นอันยิ่งใหญ่นั้นย่อมไม่ใช่ตัวตนที่สุดยอดผู้บ่มเพาะทั่วไปจะเทียบเคียงได้ ทว่าในขณะนี้ตัวตนดังกล่าวกลับตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้บ่มเพาะอัจฉริยะจากราชวงศ์ซ่ง สิ่งนี้ทำให้เขาค่อนข้างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“เขาชนะแล้ว! สุดยอด!” นายน้อยโจวดีใจจนน้ำตาแทบไหล การที่เฉินซีเอาชนะเว่ยมู่อวิ๋นได้อย่างขาดลอยนั้นเท่ากับว่าช่วยระบายความเกลียดชังให้เขาเช่นกัน แล้วมีหรือจะไม่รู้สึกสำราญใจ?
“ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะปกปิดพละกำลังไว้มิดชิดขนาดนี้… ถ้าเขาใช้เคล็ดวิชาหมัดที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ในการชุมนุมดาวรุ่ง ก็อาจจะชนะได้ง่ายกว่านี้” หวงฝู่ฉิงอิงถึงกับขนลุกฟู่
เฉินซียืนอยู่ตรงนั้น รัศมีไร้ลักษณ์เผยพลังอันไร้เทียมทานแผ่ซ่านออกมา
การบ่มเพาะของเขาเกือบจะเทียบเท่ากับเว่ยมู่อวิ๋น เพราะอีกฝ่ายเป็นอัจฉริยะที่ร้ายกาจ ไม่อาจหาใครเทียบได้เช่นกัน แม้ว่าจะด้อยกว่าเฉินซี มันก็แตกต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าการบ่มเพาะก็เป็นเพียงการบ่มเพาะเท่านั้น ไม่อาจใช้ตัดสินพลังต่อสู้ได้ เฉินซีมีความเข้าใจในเต๋าแห่งกระบี่ พลังอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ และผนวกกับการฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้อันน่าเกรงขามเช่นเพลงหมัดมหาทำลายล้างอย่างลึกซึ้ง ทำให้พลังต่อสู้ของเขาเหนือธรรมดาและเป็นที่สุดในบรรดาพวกพ้อง สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถกวาดล้างผู้บ่มเพาะที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเดียวกันและครองตำแหน่งสูงสุดเหนืออัจฉริยะผู้อื่น
แม้แต่องค์ชายแห่งแคว้นเยว่หลุนผู้ถือครองสมบัติกึ่งอมตะยังแพ้พ่ายให้กับเฉินซี ฉะนั้นการปราบเว่ยมู่อวิ๋นลงได้จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจนัก
“เฉินซี โปรดแสดงความเมตตาด้วยเถิด หากเจ้าสังหารคนคนนี้ มันอาจจะทำลายสัมพันธไมตรีระหว่างเรากับสหายเต๋าเผยอวี่่ก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นคงจะลำบากยิ่งนัก” หวงฝู่ฉิงอิงสังเกตเห็นว่าเฉินซีมีทีท่าจะไล่สังหารเว่ยมู่อวิ๋น นางจึงรีบส่งเสียงเพื่อเกลี้ยกล่อมเขาให้หยุด
“องค์หญิงน้อย ครั้งนี้ข้าจะเชื่อฟังท่าน ทว่าหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีกครั้ง หวังว่าท่านจะคงความเป็นกลางไว้ อย่างไรเสียพวกข้าก็คือสมาชิกแห่งราชวงศ์ซ่ง การปกป้องคนนอกสุ่มสี่สุ่มห้านั้นแทบจะไม่สมเหตุสมผล” เฉินซีขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจกับทัศนคติของหวงฝู่ฉิงอิง
ก่อนหน้านี้ เขามีเจตนาจะปลิดชีพเว่ยมู่อวิ๋นจริง ๆ เพราะเจ้านี่ไม่ได้ขอท้าประลองก่อนจะลงมือด้วยซ้ำ และทัศนคติของเว่ยมู่อวิ๋นก็ต่ำทรามยิ่งนัก หากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เขา คงถูกเจ้านี่เหยียบย่ำและอับอายขายหน้าเป็นแน่ ถึงยามนั้นใครจะหยุดเว่ยมู่อวิ๋นได้?
ทันทีที่พูดจบ เฉินซีก็ยับยั้งกลิ่นอายกลับมา หวนสู่ท่าทางที่ผ่อนคลาย เหนือธรรมดา เมื่อดูจากภายนอกแล้ว เป็นเรื่องยากมากที่ใครจะเชื่อว่านี่คือผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีพลังต่อสู้ไร้เทียมทาน แต่เป็นเพราะแบบนี้ ผู้คนจึงรู้สึกเกรงกลัวมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน เว่ยมู่อวิ๋นก็คลานขึ้นมาจากพื้นดินพลางชำเลืองมองเฉินซีอย่างเคียดแค้น ก่อนเจ้าตัวจะเดินกลับไปยืนข้างเผยอวี่่อย่างเงียบงันเหมือนไก่ชนที่แพ้การประลอง ไม่มีร่องรอยของความเย่อหยิ่งแม้แต่น้อย
“ช่างเป็นเคล็ดวิชาหมัดที่น่าเกรงขามยิ่งนัก” เผยอวี่่เงียบเป็นเวลานานก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด “ข้าอ่านตำราและรู้จักวิชากระบวนยุทธ์กับพลังอิทธิฤทธิ์ทั่วทั้งสามภพมานับไม่ถ้วน ถึงขนาดที่รู้ถึงเคล็ดวิชาที่หลงเหลือจากยุคบรรพกาลพอสมควร ทว่าข้าไม่เคยเห็นเคล็ดวิชาหมัดเยี่ยงนี้มาก่อน ขอทราบได้หรือไม่ว่านี่คือวิชาเคล็ดวิชาอะไร?”
“ไม่มีความเห็น” เฉินซีตอบอย่างเฉยเมยและไม่คิดแม้แต่น้อย เขาทราบทันทีว่าเผยอวี่่ต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ทว่าชายหนุ่มก็แสร้งทำเป็นสุภาพและประหยัดคำพูด ถึงขนาดที่ว่าหากไม่ใช่เพราะหวงฝู่ฉิงอิง ก็คงจากไปนานแล้ว
“ไม่มีความเห็น?” เผยอวี่่ถึงกับสะดุดหลังจากได้ยินคำตอบของเฉินซี ชั่วครู่นั้น แววโทสะได้ฉายผ่านดวงตาของเขา ทว่าเจ้าตัวกลับไม่ลุกลี้ลุกลนและเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มบาง “ดูเหมือนจะเป็นความลับของพี่เฉินสินะ ขออภัย เป็นข้าเองที่ทำตัวหยาบคาย”
เฉินซีถอนหายใจแผ่วเบาอีกครั้งเมื่อเห็นสิ่งนี้ เผยอวี่่เป็นคนที่เฉลียวฉลาดวางตัวเก่ง การยับยั้งชั่งใจและความสามารถในการใช้กลยุทธ์ของเขานั้นพิเศษยิ่ง โชคดีเสียจริงที่หวงฝู่ฉิงอิงได้ร่วมมือกับคนผู้นี้
ทว่าในยามถัดมา เฉินซีก็ยับยั้งความรู้สึกของตน สายตาที่เหมือนอัสนีจ้องเขม็งไปยังชุยซิวหงที่อยู่ใกล้เคียงก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พี่ชุย ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าจงใจหว่านความบาดหมางไว้ พี่เว่ยกับข้าคงไม่ได้สู้กัน สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น บัดนี้พวกเราเป็นพันธมิตรกันแล้ว ถ้ายังทำแบบนี้อีกละก็…”
แม้จะยังไม่สิ้นคำ ทว่าเจตนาข่มขู่และตักเตือนที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขาได้ถูกเผยออกมาแล้ว มันคือการขู่กรรโชกอย่างหนึ่ง โดยอาศัยพละกำลังที่เผยออกมาหลังจากเอาชนะเว่ยมู่อวิ๋นไม่นานนี้จิกที่ศีรษะอีกฝ่าย ราวกับจะทำให้หลุดจากบ่า
แม้แต่นายน้อยโจวยังรู้สึกเหมือนยามได้พบกับเฉินซีครั้งแรก เพราะเขาไม่เคยคิดเคยฝันว่าอีกฝ่ายจะขู่ชุยซิวหงต่อหน้าผู้คนมากมายโดยไม่อ่อนข้อให้แม้แต่น้อย ท่าทียกตนข่มท่านที่ชายหนุ่มเผยให้เห็นทำให้หัวใจของเขาชื้นขึ้น
อันที่จริง ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่น เพราะท่าทีของหวงฝู่ฉิงอิงที่แสดงต่อหน้าเหล่าอัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งราชวงศ์ต้าจิ้นนั้นอ่อนแอเกินกว่าจะรับไหว ดังนั้นจึงทำได้เพียงยืนขึ้นและจู่โจมจากด้านหน้า เพราะหากไม่ตักเตือนชุยซิวหงและพวกพ้องที่มีเจตนาร้าย อาจจะมีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้นในอนาคตก็เป็นได้
เดิมทีเขาไม่มีเหตุจำเป็นต้องทำเช่นนี้และไม่มีเหตุต้องสร้างปัญหามากมาย ทว่าชายหนุ่มจะมีทางเลือกใดอีกในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างตนกับหวงฝู่ฉิงอิงไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น?
ที่สำคัญที่สุดจักรพรรดิซ่งตกลงที่จะปกป้องตระกูลเฉินแล้ว นี่เป็นพระคุณอันใหญ่หลวง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เฉินซีจะเฝ้าดูอย่างเฉยเมยเมื่อเห็นลูกสาวของจักรพรรดิซ่งถูกผู้อื่นหลอกลวง
ชุยซิวหงระเบิดโทสะออกมาเมื่อได้ยินเช่นนี้!
เขาเป็นอัจฉริยะที่น่าภาคภูมิแห่งราชวงศ์ต้าจิ้น ผู่ไม่มีใครเทียบได้ แม้ว่าเฉินซีจะเผยพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งและเพียงพอจะทำให้เขาหวาดผวายิ่ง ทว่าเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา! แล้วจะยอมทนกับความอัปยศอดสูเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?
จู่ ๆ เจตจำนงกระบี่ก็พลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง ชุยซิวหงตะโกน “เฉินซี แม้ว่าเจ้าจะน่าเกรงขามและเอาชนะเว่ยมู่อวิ๋นได้ แต่ก็ไม่ใช่เหตุจำเป็นที่ข้า ชุยซิวหงจะต้องกลัวเจ้า!”
“จริงหรือ? เหตุใดจึงไม่จัดการต่อสู้ชี้ชะตาชีวิตกันหน่อยเล่า? และตกลงกันว่าจะไม่มีผู้ใดเข้ามาช่วยเหลือ คิดว่าอย่างไร?” รอยยิ้มมุมปากของเฉินซีแฝงความเย้ยหยัน เขามองว่าชุยซิวหงนั้นเป็นคนร้ายกาจและโหดเหี้ยมเหมือนกับเนื้อร้าย หากไม่ปราบให้เร็วที่สุด ปัญหาในวันข้างหน้าคงมีไม่จบไม่สิ้น
“เจ้า…” ชุยซิวหงถึงกับแน่นิ่ง เขาถูกเฉินซียั่วโทสะจนเลือดขึ้นหน้าก่อนกัดฟันและพูดว่า “เหตุใดข้าจะไม่กล้า? มานี่เลย! มาสู้กันจนกว่าจะเหลือผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว!”
“เอาล่ะ พี่เฉิน ไว้หน้าข้าบ้างและอย่าหาเรื่องสู้กันอย่างไร้สาระ ตกลงหรือไม่? ฉิงอิง เจ้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันใช่หรือไม่? พวกเราร่วมมือกัน ก็ย่อมแข็งแกร่งขึ้นตามจำนวนคน หากสู้กันอยู่บ้าระห่ำก่อนจะเดินทางถึงเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นและผู้อื่นทราบเข้า พวกเขาจะไม่หัวเราะเยาะกันหรอกหรือ?” ในช่วงเวลาคับขัน เผยอวี่่กล่าวออกมาเพื่อยุติการต่อสู้ และยังนำหวงฝู่ฉิงอิงมาเกี่ยวพันอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาสังเกตถึงอิทธิพลที่หวงฝู่ฉิงอิงมีต่อเฉินซี
“เอาล่ะ ข้าจะไว้หน้าพี่เผย” สายตาของเฉินซีเลิกจับจ้องไปยังชุยซิวหงขณะกล่าวอย่างไม่แยแส
“เหอะ! หลังกลับมาจากเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น ข้าจะมาตัดสินผู้ชนะระหว่างเราสองคนเอง!” ชุยซิวหงรู้สึกว่าการแสดงออกของตนก่อนหน้านั้นน่าอับอายยิ่ง จึงถือโอกาสนี้กล่าวอย่างดุดัน
“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง” สายตาดูถูกเหยียดหยามของเฉินซีปรากฏให้เห็นชัดมากกว่าครั้งก่อน เขาทราบดีว่าคนผู้นี้เพียงพล่ามไปเรื่อย และเมื่อเวลามาถึง ความกล้าหาญในการเดิมพันด้วยชีวิตที่ชุยซิวหงสะสมไว้คงจะเหือดหายไปจนหมดแล้ว
“เอาล่ะ ทุกคนออกเดินทางได้แล้ว เกาะสมบัติที่ร่วงหล่นนั้นอยู่ในทะเลบรรพกาล พวกเราต้องผ่านพื้นที่อันตรายนับไม่ถ้วนในท้องทะเล ตลอดทางนี้ไม่มีทางหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้ ทุกคนระวังตัวด้วย” เผยอวี่่จ้องเขม็งไปยังเฉินซีก่อนจะชี้แจง จากนั้นจึงพุ่งทะยานกลายเป็นลำแสงสีทองซึ่งทะลวงผ่านท้องนภาและเป็นคนแรกที่ออกจากพื้นที่บริเวณนี้ไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ เว่ยมู่อวิ๋น เหลิ่งเชี่ยนชิว และชุยซิวหงจึงรีบตามออกไป พวกเขาบินไปสู่ลำแสงสีทองที่อยู่เบื้องใต้เผยอวี่่ ที่แท้ลำแสงสีทองก็คือสมบัติวิเศษหายากเรียกว่ากระสวยไล่ประภาทองคำ ความเร็วนั้นมหาศาลซึ่งแทบจะเทียบกับการเคลื่อนย้ายได้เลยทีเดียว
อีกด้านหนึ่ง เฉินซีและนายน้อยโจวที่ยืนอยู่บนเรือมังกรพันขนนกของหวงฝู่ฉิงอิงก็ตามเผยอวี่่ออกไป
ทั้งเจ็ดคนนี้ล้วนเป็นอัจฉริยะที่น่าภาคภูมิ เป็นสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ในราชวงศ์ของตน ณ บัดนี้ พวกเขารวมกันและกำลังรุดฝีเท้าไปยังทะเลบรรพกาล เพื่อเริ่มสำรวจและมุ่งสู่เกาะสมบัติที่ร่วงหล่นในตำนาน!