บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 444 ทำความเข้าใจกับเจตจำนงหมัด
บทที่ 444 ทำความเข้าใจกับเจตจำนงหมัด
บทที่ 444 ทำความเข้าใจกับเจตจำนงหมัด
ยิ่งเข้าไปภายในทะเลบรรพกาลมากเท่าใด มันก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น พายุประเภทต่าง ๆ เกิดขึ้นเป็นกระแสที่ไม่มีที่สิ้นสุดและพัดผ่านฟ้าดินเพื่อกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์อสูรต่าง ๆ จะทะยานออกมาจากพายุเพื่อจับเหยื่อของพวกมัน
เนื้อหนังของสัตว์อสูรเหล่านี้มีประโยชน์ต่อผู้บ่มเพาะและมีมูลค่าจนน่าทึ่ง แต่สมบัติวิเศษ เคล็ดวิชาบ่มเพาะและร่างกายของเหล่าผู้บ่มเพาะก็มีประโยชน์ต่อสัตว์อสูรเหล่านี้อย่างมากเช่นเดียวกัน
ในทะเลบรรพกาลมีสัตว์อสูรจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ ซึ่งกำลังเฝ้ารอโอกาสโจมตีผู้บ่มเพาะที่เป็นมนุษย์ ส่วนสัตว์อสูรที่ทรงพลังยิ่งกว่า จะซ่อนตัวอยู่ในพายุและเปิดฉากโจมตีผู้บ่มเพาะจากที่นั่น
สัตว์อสูรเหล่านี้มีความเฉลียวฉลาด และภายใต้การหล่อเลี้ยงของพลังดาราจักรแห่งความตาย สัญชาตญาณของพวกมันจึงรุนแรงและกระหายเลือด ทำให้พวกมันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ในตอนนี้ เฉินซี เผยอวี่ และคนอื่น ๆ ได้เผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้…พายุอสูรทะเล!
ครืนนนนน!
พายุส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ทำให้ท้องฟ้ามืดหม่น ในขณะที่เมฆดำทะมึนเคลื่อนตัวมายังฟ้าดิน และก่อตัวเป็นกระแสวังวนที่น่าสะพรึงกลัวนับไม่ถ้วน ทุกที่ที่มันผ่านไป แม้แต่มิติก็ถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่จะถูกทำลายลง
กระแสวังวนพายุจำนวนมากกำลังโหมกระหน่ำอยู่บนผิวทะเลที่มีสีดำสนิท มีอสูรทะเลนับไม่ถ้วนที่มีรูปร่างต่าง ๆ กำลังซ่อนตัวอยู่ภายในพายุและสามารถมองเห็นได้อย่างเลือนราง พวกมันหนาแน่นจนดูเหมือนกองทัพอสูรทะเลที่มีอำนาจปกครองฟ้าดิน ในขณะที่ปราณอสูรก็สั่นสะเทือนไปทั่วท้องฟ้า จนทำให้หนังศีรษะของคนด้านชา
เฉินซีสังเกตเห็นได้ในแวบเดียวว่า ในกระแสวังวนที่ปกคลุมไปทั้งฟ้าดินนี้ อสูรทะเลที่อยู่บริเวณรอบนอกสุดมีระดับพลังอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิล และจำนวนของพวกมันก็มีมากที่สุด
ถัดมาคืออสูรทะเล ขอบเขตเคหาทองคำ และที่จุดศูนย์กลางคืออสูรทะเลขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง!
อสูรทะเลเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นปลา แต่รูปลักษณ์ของพวกมันดุร้ายมากและมีรูปร่างแปลกประหลาดทุกประเภท กลิ่นอายของพวกมันรุนแรง ในขณะที่ร่างกายแปดเปื้อนไปด้วยพลังดาราจักรแห่งความตาย เปรียบดั่งมัจฉายักษ์ อสูรแห่งท้องทะเลที่ดุร้ายและกระหายเลือด
“มนุษย์!”
“ฆ่า!”
กลุ่มของเฉินซีประกอบด้วยผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแนวหน้าที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง และกลิ่นอายของพวกเขาล้วนทรงพลัง แต่ในสายตาของอสูรทะเลเหล่านี้ มนุษย์เหล่านี้ก็เหมือนกับอาหารอันโอชะที่เย้ายวนที่สุดในโลก ทำให้พวกมันดูเหมือนกับแมลงวันที่ได้กลิ่นเลือด จึงพากันคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวขณะที่พวกมันพุ่งเข้าใส่
สีหน้าของเฉินซีและคนอื่น ๆ เคร่งเครียดขึ้นในทันที กระแสวังวนนับไม่ถ้วนและอสูรทะเลที่เป็นดั่งกองทัพอันทรงพลังได้ปิดกั้นเส้นทางข้างหน้าโดยสิ้นเชิง และหากต้องการเข้าไปในทะเลบรรพกาลให้ลึกกว่านี้ พวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกมันเท่านั้น
ฝูงอสูรทะเลที่หนาแน่นเหมือนกับกระแสน้ำได้พุ่งออกมาจากพายุและปกคลุมฟ้าดินจนมืดมิดเหมือนกับฝูงตั๊กแตนที่ทะลักเข้ามา
สัตว์อสูรฝูงแรกที่กระโจนเข้ามาคือฝูงอสูรปูเกล็ดสีฟ้า อสูรเหล่านี้ถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะที่เปล่งแสงสีเข้มเจิดจ้า พวกมันมีกลิ่นอายของขอบเขตตำหนักอินทนิล นอกจากนี้ยังมีจำนวนมากกว่าหนึ่งหมื่นตัว พวกมันได้รวมพลังเพื่อเปิดฉากโจมตีใส่เฉินซีกับคนอื่น ๆ ด้วยเคล็ดวิชาธาตุน้ำมากมาย!
เคล็ดวิชาธาตุน้ำดูจะสามารถพิชิตภูเขาและพลิกคว่ำทะเลด้วยพลังที่รุนแรงเหมือนกับสายฟ้า อีกทั้งยังมีกระแสพลังดาราจักรแห่งความตายอยู่ภายใน เคล็ดวิชานี้พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ปกคลุมไปทั้งผืนโลก และในไม่ช้ามันจะให้กำเนิดวารีลึกล้ำ
“หึ ก็แค่ฝูงอสูรขอบเขตตำหนักอินทนิลตัวน้อย กลับกล้าอาละวาดเช่นนี้เลยหรือ? พวกมันกำลังรนหาหาที่ตายอย่างแท้จริง!” นายน้อยโจวคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวขณะที่เต๋ารู้แจ้งกำลังแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา จากนั้นก็ตวัดนิ้วออกไปในอากาศเบื้องหน้า
โอม!
แสงสีฟ้าพุ่งออกมาและส่องแสงเจิดจ้าบนท้องฟ้า จากนั้นนิ้วขนาดมหึมาที่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายโบราณ ก็ได้ฉีกทะลุท้องฟ้าเสมือนดัชนีของเทพเจ้า มันเขย่าไปทั่วทั้งฟ้าดิน ซึ่งเผยให้เห็นเจตนาฆ่าที่ไร้ขอบเขตและอำนาจขณะที่มันกดลงไปข้างหน้าอย่างรุนแรง
นี่คือดัชนีสูญวิญญาณฟ้า ซึ่งเป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าขั้นสมบูรณ์ที่นายน้อยโจวได้รับสืบทอดมาจากบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้!
ทันทีที่นิ้วขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า มันได้ทำลายเคล็ดวิชาของอสูรปูเกล็ดสีฟ้าโดยตรง จากนั้นพลังนั้นก็กระจายไปรอบ ๆ และบดขยี้อสูรปูเกล็ดสีฟ้านับพันตัวตายคาที่ ทำให้แขนขนและร่างกายของพวกมันฉีกเป็นเสี่ยง ๆ อีกทั้งยังย้อมผืนทะเลให้เป็นสีแดงฉาน
นายน้อยโจวเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะเข่นฆ่า เขากู่ร้องก่อนจะพุ่งออกจากเรือมังกรพันขนนก เคลื่อนตัวอยู่ภายในฝูงอสูรทะเลในขณะที่นิ้วปัดป่ายไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทุก ๆ การตวัดนิ้ว ก็จะพรากชีวิตของอสูรทะเลไปนับแสนตัว
ในขณะเดียวกัน เผยอวี่ ชุยซิวหง เว่ยมู่อวิ๋น และเหลิ่งเชี่ยนชิวก็เคลื่อนไหวเช่นกัน เคล็ดวิชาทั้งหมดที่พวกเขาได้ใช้นั้นเป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่สมบูรณ์แบบ พวกเขาเคลื่อนตัวได้อย่างอิสระภายในกองทัพอสูรทะเล ในขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์ร่ายรำอยู่บนท้องฟ้าและลำแสงได้กระแทกลงกับพื้น ทำให้อสูรทะเลฝูงแล้วฝูงเล่าถูกพวกเขาบดขยี้ได้อย่างง่ายดาย เปลี่ยนให้ตัวคนทั้งหมดในบริเวณนั้นดูเป็นอันตรายถึงชีวิตและน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะเผยอวี่ เขาสมควรที่จะเป็นอัจฉริยะแห่งสวรรค์ที่น่าภาคภูมิใจ ด้วยเขาเป็นผู้นำของทุกคน เสื้อผ้ากระพือไปมาในขณะที่ถือกระบี่สีขาวดั่งหิมะ ยามเคลื่อนตัวไปในฝูงสัตว์อสูรราวกับเขากำลังเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน ซึ่งเผยให้เห็นความรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ ในขณะที่ปราณกระบี่ของเจ้าตัวเหมือนสายฟ้าที่พาดผ่านท้องฟ้าและปกคลุมไปทั่วทั้งผืนดิน ทำให้อสูรทะเลนับไม่ถ้วนถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหมือนกระดาษและเสียชีวิตภายใต้ปราณกระบี่นี้
เมื่อดูท่าทางที่ผ่อนคลายของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาใช้พลังไปไม่ถึงครึ่งเท่านั้น!
เมื่อเฉินซีเห็นภาพนี้ แม้แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องยอมรับว่าเผยอวี่เป็นคนที่ทรงพลัง ไม่เพียงแต่จะมีความสามารถในการวางอุบายได้อย่างน่าสะพรึง แม้แต่พลังต่อสู้ของเขาก็ไม่ธรรมดา!!!
ฟิ้ว!
อสูรทะเลมีจำนวนมหาศาลและดูไม่มีที่สิ้นสุด เฉินซีไม่อาจคิดเรื่องอื่นได้อีกต่อไป จากนั้นจึงกระโจนออกไปเพื่อพุ่งเข้าใส่ฝูงอสูรทะเลทันที
ตู้ม!
เขาชกหมัดออกไปโดยตรง เกิดเป็นปราณหมัดขนาดใหญ่ที่หลอมรวมเข้ากับไฟและน้ำ จากนั้นก็ระเบิดอย่างรุนแรงจนเกิดรอยแยกมิติขนาดสองลี้ ภายใต้การโจมตีครั้งนี้ ทำให้อสูรทะเลที่อยู่ใกล้เคียงเสียชีวิตทันทีและสลายกลายเป็นความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวหลงเหลืออยู่
เฉินซีไม่ได้ใช้ยันต์ศัสตราและพลังอิทธิฤทธิ์ขณะที่พุ่งไปข้างหน้า เขาทำลายฝูงอสูรทะเลด้วยเพลงหมัดมหาทำลายล้างเท่านั้น
เพลงหมัดมหาทำลายล้างนั้นยังไม่สมบูรณ์ และขาดเต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้าง ทว่าหากกล่าวกันตามตรง การที่เฉินซีหลอมรวมมหาเต๋าแห่งวารี มหาเต๋าแห่งอัคคี รวมทั้งมหาเต๋าแห่งหยินและหยางเข้าด้วยกันได้นั้น ยังขาดการขัดเกลาด้วยการต่อสู้จริงอยู่
ในตอนนี้ก็มีอสูรทะเลนับไม่ถ้วนอยู่บนทะเลและปล่อยให้เขาฆ่าจนพอใจ ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการขัดเกลาเพลงหมัดมหาทำลายล้าง
เมื่อเวลาผ่านไป ทุก ๆ กำปั้นที่เฉินซีชกออกไป จะช่วยให้เขาเข้าใจเพลงหมัดมหาทำลายล้างมากยิ่งขึ้น และเจตจำนงหมัดของชายหนุ่มก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของเขาก็หยุดยึดติดกับรูปแบบเดิม ๆ มันเริ่มเป็นอิสระและปราดเปรียวว่องไว เผยให้เห็นรูปแบบความเป็นไปได้มากมาย
นอกจากนั้น จำนวนของอสูรทะเลที่ล้มตายด้วยมือของเขา ก็เพิ่มขึ้นด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
‘เพลงหมัดมหาทำลายล้างมีทั้งหมดสามกระบวนท่า ในตอนนี้ ข้าสามารถใช้พลังของกระบวนท่า ‘วารีเพลิงพิฆาต’ ได้อย่างเต็มที่แล้ว ส่วนกระบวนท่า ‘ทลายโกลาหล’ ข้ายังทำได้เพียงใช้รูปแบบของมันเท่านั้น แต่ไม่สามารถปลดปล่อยเจตจำนงได้ เหมือนกับสิ่งที่ขาดไปไม่ใช่เคล็ดวิชา แต่เป็น…’
‘การต่อสู้จริง!’
‘ใช่แล้ว การขัดเกลาผ่านการต่อสู้จริงคือตัวอย่างที่ดีที่สุด ตราบใดที่มันได้ทดสอบผ่านการต่อสู้จริง ก็จะสามารถรู้ถึงพลังของเคล็ดวิชาและถ้ามีข้อบกพร่องใด ก็จะสามารถหาวิธีแก้ไขและขจัดมันเพื่อทำให้วิชาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น’
‘ข้าเคยทำความเข้าใจและไตร่ตรองเรื่องนี้ด้วยตัวเองในอดีต แต่กลับหลงทาง และไม่ต่างอะไรกับการเก่งเพียงทฤษฎี แต่ไม่อาจปฏิบัติจริงได้ ซึ่งทำให้ข้าไม่อาจใช้พลังที่แท้จริงของเคล็ดวิชาได้ตลอดไป…’
เฉินซีเข่นฆ่าศัตรูอย่างต่อเนื่อง และเขาก็ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในพลังโจมตี และความเข้าใจมากมายก็พลุ่งพล่านอยู่ในหัวใจ ทำให้เขารู้แจ้งราวกับมองเห็นทางสว่างไสวในทันใด
เฉินซีหมกมุ่นอยู่กับการทำความเข้าใจเคล็ดวิชาหมัดของตน และไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่า ตนเองพุ่งเข้าไปภายในฝูงอสูรทะเลโดยไม่รู้ตัว…
“หืม? เหตุใดเฉินซีถึงทำเช่นนั้น? การเข้าไปในฝูงอสูรทะเลลึกเพียงลำพัง ดูค่อนข้างเสี่ยงอันตราย เพราะยิ่งเข้าไปในฝูงอสูรทะเลลึกเท่าใด อสูรทะเลก็จะยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น ถ้า…” เมื่อเห็นเฉินซีกำลังจะหายไปในฝูงอสูรทะเลในไม่ช้า หัวใจของนายน้อยโจวก็บีบรัดแน่นขึ้นและรู้สึกกังวล
“ฮ่า! อย่างที่คาดไว้! สมกับเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของราชวงศ์ซ่ง เขามีความกล้าหาญที่ไม่มีใครเทียบได้ ทำให้ใคร ๆ ต้องถอนหายใจด้วยความชื่นชม” ชุยซิวหงซึ่งอยู่ห่างออกไปปล่อยเสียงหัวเราะแปลก ๆ ขณะกล่าวประชดประชันด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“เมื่อครู่เจ้าพูดอะไร? ถ้าเจ้าแน่จริงก็ลองพูดอีกครั้งสิ!” เมื่อนายน้อยโจวเห็นคนผู้นี้ยังคงเย้ยหยันเฉินซีในเวลานี้ เขาก็ขุ่นเคืองขึ้นมาทันทีและตะโกนลั่น
แต่ชุยซิวหงกลับไม่ขุ่นเคือง เขายังคงกล่าวเย้ยหยันครั้งแล้วครั้งเล่า “โธ่ ข้าแค่ยกย่องเฉินซีมิได้หรือ? หรือว่าเจ้าต้องการให้ข้าดุด่าเขา? เจ้านี่ช่างไร้เหตุผลจริง ๆ”
นายน้อยโจวมีนิสัยที่ไร้กฎเกณฑ์และชอบทำตามอำเภอใจอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจยับยั้งเปลวไฟแห่งความโกรธในใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ตัวคนกำลังจะพุ่งไปข้างหน้าเพื่อทุบตีไอ้สารเลวที่สมควรถูกตบอย่างดุดัน แต่ว่าก็ต้องถูกหวงฝู่ฉิงอิงหยุดเอาไว้
“พอได้แล้ว เราตกอยู่ในวงล้อมของอสูรทะเลและไม่อาจกวาดล้างได้ในตอนนี้ เจ้ายังมีอารมณ์ทะเลาะกันอีกหรือ?” หวงฝู่ฉิงอิงกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว
ในขณะเดียวกัน เผยอวี่ก็กล่าวออกมาเช่นกัน “แน่นอนว่า ในเวลานี้ เราควรรวมพลังกันต่อต้านศัตรู พี่ชุย ท่านอย่าได้กล่าวไปมากกว่านี้”
แต่เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ สีหน้าของเขาก็จริงจังและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “แต่การที่พี่เฉินเข้าไปในฝูงอสูรทะเลนั้น มันจะไม่บานปลายหรือ? หากเกิดเหตุร้ายขึ้นกลางคัน แล้วจะทำอย่างไรได้?”
หวงฝู่ฉิงอิงกับนายน้อยโจวขมวดคิ้ว และไม่อาจหักล้างข้อเท็จจริงนี้ได้
เมื่อชุยซิวหงเห็นสิ่งนี้ ริมฝีปากของเขาก็ยกยิ้มอิ่มเอมใจขึ้นชั่วครู่ และกำลังตั้งตารอให้เฉินซีตายตกอยู่ในฝูงอสูรทะเลอย่างใจจดใจจ่อ
ตู้ม!
ในขณะนี้ เสียงโครมครามที่สั่นสะเทือนท้องฟ้าก็ดังขึ้นจากภายในกระแสวังวนที่อยู่ไกลออกไป มันเป็นเหมือนกับเสียงฟ้าร้องที่ผ่าลงมาจากสวรรค์ทั้งเก้าชั้น ซึ่งสั่นสะเทือนบริเวณโดยรอบด้วยแรงกระตุ้นอันทรงพลัง
หลังจากนั้น หวงฝู่ฉิงอิง นายน้อยโจว เผยอวี่ และคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึง เมื่อเห็นว่ามีร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากท้องทะเล ร่างนั้นยืนอยู่บนท้องฟ้าอย่างภาคภูมิ จากนั้นชกลงไปที่ทะเลด้านล่าง
ปราณหมัดพุ่งทะลวงท้องฟ้าและปกคลุมบริเวณโดยรอบทั้งหมด ทันใด… ท้องฟ้าและแผ่นดินในบริเวณนั้นดูจะถูกพลิกคว่ำ ท้องฟ้าอยู่ล่าง แผ่นดินอยู่บน ส่วนอสูรทะเลนับไม่ถ้วนที่อยู่ในพายุกลับหันหัวเข้าหาทะเลจนขาชี้ฟ้า จากนั้นทุกสิ่งก็ปะทะกันและเริ่มหมุนอย่างบ้าคลั่ง
แค่มองจากระยะไกล ก็ทำให้รู้สึกแย่จนแทบอยากจะกระอักเลือดออกมา
“หยินและหยางปะทะกัน ทำให้โลกถูกพลิกคว่ำ นี่…นี่มันวิชาหมัดอะไรกัน?” ความตกใจและความงุนงงผุดขึ้นในใจของทุกคน
ครืนนนน!
ก่อนที่ทุกคนจะเข้าใจทุกสิ่ง ปราณหมัดที่มีพลังตรงข้ามทั้งสองชนิดได้ระเบิดออกมาในที่สุด ทันใดนั้น ทะเลทั้งหมดก็ถูกพลิกคว่ำ ในขณะที่หยินและหยางสับสนอลหม่าน ส่งผลให้อสูรทะเลทั้งหมดในระยะสองร้อยห้าสิบลี้ถูกบดขยี้จนเป็นผุยผง แม้แต่มิติอันไร้ขอบเขตก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ และตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่
โดยเฉพาะพื้นผิวของทะเล ที่เกิดเป็นรูขนาดมหึมาที่หมุนอย่างบ้าคลั่งและไม่สามารถปิดได้เป็นเวลานาน
พลังโจมตีเพียงครั้งเดียว กลับทำให้หยินและหยางตกอยู่ในความโกลาหล อีกทั้งมิติยังถูกทำลาย!
ทุกคนจ้องมองไปยังทะเลที่อยู่ใกล้เคียงอย่างว่างเปล่า อสูรทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งออกมาจากพายุที่โหมกระหน่ำได้ถูกทำลายล้างลงอย่างสมบูรณ์ และทะเลทั้งหมดก็ถูกย้อมด้วยสีแดงเข้ม
แน่นอนว่ายังมีอสูรทะเลจำนวนมากซ่อนอยู่ในพายุ แต่พลังโจมตีของเฉินซีได้สะกดอสูรทะเลเหล่านั้นเอาไว้ จนพวกมันต้องซ่อนตัวอยู่ในพายุและกลัวที่จะออกมา!
‘กระบวนท่าที่สองของเพลงหมัดมหาทำลายล้าง ‘ทลายโกลาหล’ ในที่สุดข้าก็เข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้…’ เฉินซีถอนกำปั้นกลับด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะพุ่งไปยังด้านข้างของหวงฝู่ฉิงอิง การกระทำของเขาทำให้คนอื่น ๆ ตื่นจากความตกใจ ซึ่งแววตาของพวกเขาที่มองไปยังเฉินซีนั้นมีร่องรอยของความหวาดกลัวแฝงอยู่
แม้แต่ดวงตาของเผยอวี่ผู้เป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าจิ้นก็เผยประกายหนักใจและหวาดกลัวเป็นครั้งแรกเช่นกัน!