บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 448 อาณาจักรใต้บาดาล
บทที่ 448 อาณาจักรใต้บาดาล
บทที่ 448 อาณาจักรใต้บาดาล
ก้นทะเลบรรพกาลปกคลุมด้วยปราณวิญญาณอันแน่นหนา และยังมีรอยแยกของห้วงมิติ ซ้ำยังมีอสูรทะเลตั้งรกรากอยู่ใกล้เคียงจึงดูน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
หากผู้บ่มเพาะทั่วไปเข้าสู่ก้นทะเลบรรพกาล ไม่ว่าจะซ่อนตัวดีเพียงใด ความผันผวนของพลังชีวิต โลหิต และวิญญาณของพวกเขาก็ยังสามารถดึงดูดความสนใจของอสูรทะเลนับไม่ถ้วนอยู่ดี แล้วพวกมันก็จะรุมเข้ามาฉีกผู้บ่มเพาะเหล่านั้นออกเป็นชิ้น ๆ ก่อนจะกลืนกินอีกฝ่าย
ทว่าเฉินซีนั้นแตกต่าง ปีกนภาดารกะของเขานั้นปราศจากเสียง ปราณจ้าววิญญาณในร่างกายที่ไหลเวียนอยู่ดูจะสร้างโลกทั้งใบอยู่ในนั้น ทำให้ไม่มีกลิ่นอายจะเล็ดลอดออกมาเลย ซ้ำยังมีความเร็วมากเป็นพิเศษ ทำให้เคลื่อนที่ผ่านชั้นน้ำทะเลชั้นแล้วชั้นเล่าและทำลายห้วงมิติออกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับกำลังเคลื่อนย้ายฉับพลันอย่างไรอย่างนั้น ดังนั้น แม้ว่าอสูรทะเลจะพบเห็น พวกมันก็ไม่อาจไล่ตามทัน
ไม่อาจทราบว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไร หัวใจของเฉินซีพลันเต้นตุบ เขาสังเกตเห็นความผันผวนรุนแรงของปราณอสูรและมองลงไปทันที
ในยามถัดมา เทือกเขาที่เรียงต่อกันนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นในสายตา เทือกเขาเหล่านี้ตั้งอยู่ ณ ก้นทะเล สูงชันยิ่งกว่าเทือกเขาบนบกเสียอีก
ที่น่าตกใจก็คือ มีถ้ำมืดทึบและกว้างใหญ่อยู่ล้อมรอบเทือกเขา เหล่าวานรวารีเพลิงคลั่งมากมายกำลังเดินตรวจตราอยู่รอบ ๆ เมื่อมองจากระยะไกล มันเหมือนกับอาณาจักรที่สร้างขึ้นใต้ท้องทะเล ซึ่งงดงามยิ่งนัก
นี่คือรังของวานรวารีเพลิงคลั่ง
เฉินซีรู้สึกกังวลเกี่ยวกับกับแผ่นจารึกขึ้นมา จากนั้นเขาจึงแผ่จิตสัมผัสเทพออกไปพร้อมกับใช้คลื่นจิตสะท้อน ทำให้พื้นที่ในระยะหมื่นลี้ถูกตรวจสอบในวงกว้าง
การกระทำเช่นนี้จะไม่ทำให้วานรวารีเพลิงคลั่งไหวตัวทัน อีกทั้งยังตรวจจับอันตรายต่าง ๆ ที่อาจมีอยู่ในเวลาเดียวกันเพื่อป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นได้
ไม่นาน เฉินซีก็พบจุดหมาย
แท่นบูชาโบราณที่มีขนาดมหึมาถูกสร้างขึ้นบนเทือกเขาที่เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์สีดำสนิทออกมา มันตั้งตระหง่านท่ามกลางเทือกเขา ในขณะที่ตรงกลางของแท่นบูชามีแผ่นจารึกสูงราวสองฉื่อตั้งอยู่
แผ่นจารึกแผ่นนั้นดูเก่าแก่และเรียบง่าย ซึ่งปกคลุมไปด้วยรอยกะดำกะด่างราวกับว่าผ่านพิธีกรรมมาแล้วหลายปี มันเปล่งกลิ่นอายโบราณและหนักอึ้ง ซึ่งกระตุ้นความหวาดผวาในใจของผู้คนขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีวานรวารีเพลิงคลั่งเหลือคณานับนั่งขัดสมาธิอยู่รอบแผ่นจารึก ใบหน้าที่ดุร้ายอำมหิตของพวกมันแฝงความเงียบสงบอันหาได้ยาก
มันคือแผ่นจารึกที่วานรวารีเพลิงคลั่งบูชาไว้เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ เป็นวัตถุในตำนานที่ถูกทิ้งไว้ในการต่อสู้ของทวยเทพในสมัยโบราณ
“มันบรรจุเต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้างอยู่ในนั้นจริง ๆ ด้วย!” จิตสัมผัสเทพของเฉินซีแผ่ออกอย่างเงียบงัน วานรวารีเพลิงคลั่งยังไม่รู้ตัว ญาณสัมผัสของชายหนุ่มก็ปกคลุมทั่วแผ่นจารึกเสียแล้ว หลังตรวจสอบแผ่นจารึกชั่วครู่ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังงานแห่งการทำลายล้างอันยิ่งใหญ่และมหาศาลที่เอ่อล้นออกมา ซ้ำยังเป็นพลังงานบริสุทธิ์อีกด้วย
แผ่นจารึกนี้เป็นเหมือนกับแหล่งกำเนิดของมหาเต๋าแห่งการทำลายล้าง ซึ่งนำความสะพรึงกลัวขั้นสุดมาสู่ผู้คน
เฉินซียังสังเกตเห็นว่ามีการดำรงอยู่ที่น่าเกรงขามอาศัยอยู่ใกล้กับแท่นศิลา ราวกับกำลังปกป้องศิลาอยู่ ดูเพียงกลิ่นอายก็ทราบได้ว่าพวกมันอาจอยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์ และไม่ใช่ว่าจะไม่มีการดำรงอยู่ที่น่าเกรงขามแห่งขอบเขตจุติปะปนอยู่ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นวานรวารีเพลิงคลั่งชั้นสูง
‘การบ่มเพาะสูงที่สุดในบรรดาวานรวารีเพลิงคลั่งคือขอบเขตจุติ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ข้ากลัวง่าย ๆ ด้วยพลังต่อสู้ในปัจจุบัน ข้าสามารถปราบผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติทั่วไปได้และถ้าต้องการหนี ตราบใดที่ไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี ก็ไม่มีใครหยุดข้าได้…’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เมื่อเขาเปิดใช้ปีกนภาดารกะจนทำให้ตนเองกลายเป็นเหมือนเงาโปร่งแสงที่มาถึงอาณาจักรใต้บาดาลอย่างไร้เสียง จากนั้นก็เข้าใกล้เทือกเขาที่มีแท่นบูชาโบราณตั้งอยู่
ทว่ายังมีค่ายกลและสิ่งกีดขวางซ้อนกันอยู่หลายชั้นรอบ ๆ รังของวานรวารีเพลิงคลั่ง ซึ่งแทรกซึมอยู่ทุกตารางนิ้วของพื้นที่ หากเป็นคนอื่น คนคนนั้นคงไม่อาจย่องเข้าไปโดยไม่ทำให้วานรแตกตื่นได้
แต่โชคร้ายที่พวกมันต้องมาเผชิญหน้ากับเฉินซีผู้เชี่ยวชาญเต๋าแห่งยันต์อักขระ และสามารถจารึกมหายันต์เทวะทั้งห้าลงไปในยันต์ศัสตราได้อีกด้วย ฉะนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลยหากต้องผ่านค่ายกลกระจอก ๆ เหล่านี้
ฟิ้ว!
โดยไม่ให้สุ้มให้เสียงใด ๆ เฉินซีก็มาถึงแท่นบูชา ทว่าเขายังคงไม่ลงมือในทันทีและเหมือนจะสังเกตเห็นบางอย่าง ชายหนุ่มจึงใช้จิตสัมผัสเทพตรวจสอบอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
เขาพบกับเบาะแสอื่นซึ่งอยู่ใกล้กับแท่นบูชา ไม่เพียงแต่มีวานรวารีเพลิงคลั่งจำนวนมากเฝ้าอยู่รอบ ๆ แผ่นจารึกเท่านั้น แม้แต่ภายใต้แผ่นจารึกยังมีห้วงมิติเปิดอยู่ และมีวานรวารีเพลิงคลั่งประจำการอยู่ที่นั่น เนื่องจากปราณทำลายล้างที่แผ่นจารึกปลดปล่อยออกมานั้นหนาแน่นเกินจะรับไหว จึงเกือบรอดพ้นจากการตรวจจับของจิตสัมผัสเทพของเฉินซีไปได้
กลิ่นอายของวานรวารีเพลิงคลั่งตัวนี้น่ายำเกรงยิ่ง มันไม่ใช่อะไรที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติจะหาเทียบได้ หากจัดอันดับในบรรดาผู้บ่มเพาะมนุษย์แล้วถือได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งขอบเขตจุติเลยทีเดียว
“ดูเหมือนต้องจัดการเจ้าเฒ่านี่ก่อนถึงจะหยิบแท่นหินได้อย่างปลอดภัย…” แสงเย็นยะเยือกฉายในแววตาของเฉินซีขณะที่เขาแอบเข้าไปในสิ่งกีดขวางและมาถึงภายในห้วงมิติ
ชัดเจนว่าวานรวารีเพลิงคลั่งตัวนี้ได้ทำการบ่มเพาะมาเนิ่นนาน รูปลักษณ์นั้นไม่ต่างอะไรจากคนสามัญ ขณะนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้วงมิติ รังสีอำมหิตแผ่ออกมาขณะที่ร่างของมันขดตัวอยู่กับหมอกดำคล้ายกับวัตถุ
ภายในหมอกดำนั้นคือดวงวิญญาณร้ายดวงแล้วดวงเล่าที่กำลังตะเกียกตะกายดิ้นรน ส่งเสียงโหยหวนโอดครวญ และหัวเราะอย่างแปลกประหลาด พวกมันเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ กระจุกกันอย่างหนาแน่นนับพันดวง ไม่ทราบว่าผ่านมากี่ปีแล้วที่วานรตัวนี้ได้ขัดเกลาและทรมานดวงวิญญาณเหล่านั้น
มันช่างโหดเหี้ยมอำมหิต! เจตนาสังหารของเฉินซีพลุ่งพล่านเมื่อเห็นฉากที่น่าหดหู่เยี่ยงนี้
“ผู้ใด!?” ในขณะนี้ ดูเหมือนเฒ่าชราเหี้ยมโหดจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง แล้วเงยหน้าขึ้น แสงดุร้ายปะทุออกมาจากดวงตาสีแดงโลหิตของมันพลางแยกเขี้ยวที่มุมปาก กลิ่นอายพลันโหดเหี้ยมอำมหิตขึ้น
ฟิ้ว!
เฉินซีปรากฏกายขึ้นตรงหน้าเฒ่าชราเหี้ยมโหด เพลงหมัดมหาทำลายล้างพุ่งใส่อีกฝ่าย วานรเฒ่าพลันถูกหมัดนั้นซัดจนกระเด็นก่อนจะรู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เลือดสดพุ่งขึ้นในอากาศและได้รับบาดเจ็บสาหัส
ขณะนี้ นับได้ว่าเพลงหมัดมหาทำลายล้างเป็นหนึ่งในท่าสังหารที่รุนแรงที่สุดของเฉินซี หลังจากที่หมัดนี้ผ่านการฆ่าฟันมาหลายครั้ง พลังของมันจึงถูกเผยออกมา ผนวกกับการลอบโจมตีอันดุดันของเขา จึงทำให้วานรเฒ่าไม่ทันตั้งตัว และเกิดผลอันน่าอัศจรรย์ขึ้น
ทว่าพละกำลังของวานรเฒ่าก็แข็งแกร่งยิ่ง หากเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติคนอื่นคงจะดับสูญไปแล้ว ทว่ามันกลับได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น และยังไม่สิ้นลม
“เจ้า…” ในจังหวะนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผู้นำแห่งเผ่าวานรวารีเพลิงคลั่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ความรู้สึกหวาดผวาเจือโทสะปะทุขึ้น เขาตะโกนออกมาเสียงดัง แต่ในจังหวะถัดไป หมัดนั้นก็พุ่งโจมตีใส่หน้าของเขาอีกครั้ง ข่มกันถึงขั้นไม่มีเวลาแม้แต่จะหายใจ นับประสาอะไรกับการเอ่ยคำ
ตู้ม!
อีกหนึ่งเพลงหมัดมหาทำลายล้างชกออกไปพร้อมกับหมัดรู้แจ้งซึ่งเห็นเป็นรูปธรรม หมัดทะลุทะลวงห้วงมิติในขณะที่เต๋ารู้แจ้งแห่งหยินและหยางทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัตร มันกระแทกใส่วานรเฒ่าผู้เกรี้ยวกราดจนกระเด็นออกไปอีกครั้ง เลือดที่พุ่งออกจากร่างดั่งพายุที่ปกคลุมท้องนภาให้มัวหมอง กลิ่นอายของเขาอ่อนแอลงมากแล้ว
เฉินซีไม่คิดปรานีแม้จะประสบความสำเร็จแล้ว เขาพุ่งไปข้างหน้าก่อนที่จะทุบกำปั้นของตนลงบนศีรษะของวานรเฒ่า ทันใดนั้น ศีรษะของมันก็ระเบิดออก เลือดและก้อนสมองกระจัดกระจายและดับสูญลง
สามหมัดผ่านไปในชั่วพริบตา เฉินซีกำจัดตัวตนขั้นสุดยอดแห่งขอบเขตจุติได้อย่างง่ายดาย! หากเผยอวี่และพวกพ้องเห็นเข้า สิ่งที่พวกเขาคิดไว้คงจะเป็นอันยกเลิกในทันที
“หืม? เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดกลิ่นอายของถูเซี่ยวจึงเหือดหายไปฉับพลัน?”
“รอประเดี๋ยว ข้ารู้สึกถึงคลื่นผันผวนอยู่ภายใต้แท่นศิลานี้…”
“หรือว่าจะมีศัตรูโจมตีเข้ามา?!”
ทันทีที่เฉินซีกำจัดวานรวารีเพลิงคลั่ง ความปั่นป่วนเริ่มบังเกิดรอบ ๆ รังในทันที เห็นได้ชัดว่ารังนี้มีสิ่งกีดขวางวางไว้จำนวนมาก ฉะนั้นเหตุใดจึงมีผู้ได้บุกรุกเข้าไปได้? แม้ว่าศัตรูจะจู่โจมเข้ามา มันก็ควรจะเกิดขึ้นภายนอกรังไม่ใช่หรือ?
บรรดาวานรวารีเพลิงคลั่งพลันตกตะลึงเมื่อได้ทราบถึงเหตุการณ์อันไม่คาดฝันนี้
แล้วเฉินซีก็ได้ฉวยโอกาสนี้ คว้าแผ่นจารึกที่อยู่ภายใต้ห้วงมิติ หลังจากนั้นก็เก็บมันไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์โดยไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย
ในเวลาถัดมา เขาเปิดใช้ปีกนภาดารกะด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี แปลงกายเป็นเงามายาพุ่งถลาออกไป
“บัดซบ มีหัวขโมย!”
“บัดซบเอ๊ย! ปิดล้อมพื้นที่รอบ ๆ ให้หมด อย่าให้ศัตรูหนีไปได้!”
“ทุกคนไล่ตามไป! ใครเจอคนนอกก็ฆ่าทิ้งให้หมด! มีคนบังอาจเข้ามาบุกรังเพื่อขโมยวัตถุศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงนี้ แสดงว่ามันเบื่อที่จะมีชีวิตแล้วสินะ!”
การหายไปอย่างเฉียบพลันของแผ่นจารึกทำให้เผ่าวานรวารีเพลิงคลั่งตกอยู่ในความโกลาหล ศิลานั้นเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่า แต่กลับถูกขโมยไปซึ่ง ๆ หน้า ช่างน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก!
วานรวารีเพลิงคลั่งนั้นมีจิตใจโหดเหี้ยมอยู่แล้ว ยิ่งถูกยั่วยุเช่นนี้จึงเกิดอาการคลุ้มคลั่ง พวกมันคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวขณะดำดิ่งลงไปยังก้นทะเลด้วยความตั้งใจที่จะตามหาหัวขโมย ทำให้น้ำทะเลปั่นป่วนจนเริ่มเชี่ยวกราก
ในขณะเดียวกัน เฉินซีได้หนีออกจากอาณาจักรใต้บาดาลของวานรวารีเพลิงคลั่งเรียบร้อยแล้ว เขากำลังพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำด้วยความเร็วแสง ทุกครั้งที่ปีกนภาดารกะขยับก็จะพุ่งออกไปเป็นระยะทางพันลี้ ความเร็วเช่นนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่อสูรทะเลที่เกิดใต้บาดาลก็ไม่อาจเทียบได้
ทว่าด้วยจำนวนของวานรวารีเพลิงคลั่งที่มีนับพันตัว จึงสามารถเข้าปกคลุมทั่วทั้งทะเลได้ หลังจากกระจายตัวออกไป พวกมันพลันพบร่องรอยของเฉินซี
“มาดูเร็ว เขาอยู่ตรงนั้น!”
“เป็นผู้บ่มเพาะมนุษย์จริง ๆ ด้วย!”
“ผู้บ่มเพาะมนุษย์หรือ? บ้าเอ๊ย! มีแต่ฝ่ายเราเท่านั้นที่ทรมานและสังหารพวกผู้บ่มเพาะมนุษย์ แต่กลับกลายเป็นเราถูกมนุษย์กลั่นแกล้งตั้งแต่เมื่อไรกัน? ต้องกำจัดเขาให้ได้!”
ทันใดนั้น เหล่าวานรวารีเพลิงคลั่งก็ยกโขยงกันออกไปทั้งรัง กระแสน้ำเชี่ยวกรากพวยพุ่งขึ้น กองทัพวานรอันน่าเกรงขามไล่ตามเฉินซีไป แรงโทสะและจิตมุ่งมั่นของพวกมันนั้นมีมากจนน่าขนลุก
“บัดซบ! ข้ายั่วยุพวกมันจนถึงกับยกโขยงมาทั้งเผ่าพันธุ์เลยหรือ?” ในจังหวะที่กำลังผุดขึ้นสู่พื้นผิวทะเล เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันท่วมท้นจากก้นทะเล เมื่อใช้จิตสัมผัสเทพกวาดมอง ก็พบกับวานรวารีเพลิงคลั่งจำนวนหลายแสนตัวกำลังถาโถมเข้ามา เขารู้สึกหวาดผวาจนหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
‘ข้าต้องเตือนหวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ ให้ไวที่สุด มิฉะนั้นพวกเขาจะต้องถูกทั้งเผ่าวานรวารีเพลิงคลั่งเล่นงานจนตายตกเป็นแน่…’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจขณะกระโจนออกจากผิวทะเล เมื่อใช้จิตสัมผัสเทพแล้ว เขาก็เห็นร่างของหวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ ซึ่งคอยอยู่