บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 450 ราชวงศ์เทียนหลาง
บทที่ 450 ราชวงศ์เทียนหลาง
บทที่ 450 ราชวงศ์เทียนหลาง
ในขณะที่ทุกคนถอนหายใจด้วยความชื่นชม จู่ ๆ ชุยซิยหงก็กลอกดวงตาไปมาและกล่าวว่า “พี่เฉิน ข้ารู้สึกว่าพวกเราก็มีส่วนทำให้เจ้าประสบความสำเร็จในการได้รับสมบัติชิ้นนี้ โดยเฉพาะองค์รัชทายาทที่มีส่วนช่วยเหลือเจ้ามากที่สุด หากไม่มีเขาคอยปราบอสูรทะเลให้เจ้า ข้าคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะหลบหนีออกจากวงล้อมของวานรวารีเพลิงคลั่งเหล่านั้นเช่นกัน”
เขาหยุดกล่าวชั่วครู่ ก่อนที่จะกล่าวต่อว่า “ดังนั้นเจ้าควรให้องค์รัชทายาทได้หยิบยืมแผ่นจารึกเพื่อทำความเข้าใจไปสักระยะหนึ่ง จะได้เป็นการตอบแทนพระทัยของพระองค์ที่ยื่นมือช่วยเหลือ เมื่อองค์รัชทายาททำความเข้าใจความลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ได้แล้ว แผ่นจารึกนี้จะส่งคืนให้แก่เจ้าอย่างแน่นอน เจ้าคิดเช่นไรบ้าง?”
เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ เว่ยมู่อวิ๋นกับเหลิ่งเชี่ยนชิวก็มองไปที่เผยอวี่ ในขณะเดียวกัน เผยอวี่ก็ส่ายศีรษะและหัวเราะเบา ๆ ออกมา แม้จะไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ แต่ทัศนคติของเขาก็เป็นสิ่งที่ควรไตร่ตรองอีกครั้ง
เมื่อพวกเขารู้ว่าชุยซิวหงมีเจตนาร้าย ใบหน้าของหวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวก็ถมึงทึง เพราะเห็นได้ชัดว่าเขาจงใจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเฉินซีกับเผยอวี่
“พี่ชุย เจ้าหมายถึงอะไรกัน?” หวงฝู่ฉิงอิงขมวดคิ้ว
“ข้าหมายถึงสิ่งใดน่ะหรือ? หรือว่าเขาไม่คิดจะขอบคุณหลังจากที่เราช่วยแก้ปัญหาให้แก่เขา? ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะได้รับมาอย่างง่ายดาย และคำขอนี้ก็ไม่ได้เกินเลย เพราะข้าแค่ขอยืมสมบัติจากเขาเท่านั้น หรือว่าเขาไม่สามารถทำตามคำของ่าย ๆ เช่นนี้ได้?” ชุยซิวหงหัวเราะเยาะ
หวงฝู่ฉิงอิงยังคงต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่นางก็ถูกเฉินซีหยุดไว้ด้วยการส่ายศีรษะ
“ข้าเชื่อว่านี่ไม่ใช่ความตั้งใจของพี่เผยอย่างแน่นอนใช่หรือไม่?” เฉินซีเล่นกับแผ่นจารึกในมือและมองไปที่เผยอวี่ด้วยรอยยิ้มที่เสแสร้ง
เผยอวี่ตกตะลึง จากนั้นเขากำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง
ทว่าเมื่อเขาเห็นเฉินซีหันไปมองชุยซิวหง ชายหนุ่มก็พลันก่นด่าอย่างเย็นชาว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ถึงกล้าตัดสินใจแทนความคิดของ ‘สหายเต๋าเผยอวี่’ ได้อย่างไร? มันก็แค่สมบัติ แต่เจ้ากลับใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อยั่วยุให้พวกเราเกิดความแตกแยก เจ้าสมควรตายนัก!”
เฉินซีในขณะนี้ดูจะกลายเป็นคนละคน กระดูกสันหลังของเขาตั้งตรงเหมือนกระบี่ที่แทงทะลุท้องฟ้า ร่างกายของเขาแผ่เจตนาฆ่าที่เยือกเย็นและแหลมคมออกมา ยิ่งไปกว่านั้น แม้น้ำเสียงของชายหนุ่มจะราบเรียบ แต่มันกลับดังก้องเสมือนเสียงฟ้าร้อง ราวกับเขากำลังตำหนิศิษย์น้องไม่มีผิด
“เจ้า!” ชุยซิวหงถูกด่าทอจนโกรธขึ้นมา ใบหน้าของเขาแดงก่ำและตะคอกออกไปอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เฉินซี สักวันหนึ่งข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่า ผลของการที่ล่วงเกินข้านั้นจะพบกับจุดจบที่น่าสังเวชเช่นใด!”
“ข้าเองอยากจะรู้ว่าตอนนี้เจ้าจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน” ทันใดนั้น เฉินซีก็ก้าวไปข้างหน้าก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าชุยซิวหง “เจ้ายั่วยุพวกเราตลอดทางผ่านมา และก็น่ารังเกียจเกินทน ดูเหมือนว่าการฆ่าเจ้าเท่านั้น จึงจะทำให้เจ้าเงียบสนิท!”
ตู้ม!
ในขณะนี้ เผยอวี่ก็ชิงเคลื่อนไหว
เขาฟาดฝ่ามือออกไป ทำให้มันกดลงมาเหมือนภูเขาและปิดทางทิศทางของมือเฉินซีจากด้านบน ทันใดนั้น ปราณแท้ก็ปะทะกัน เกิดแสงเจิดจ้าพุ่งออกไปทุกทิศทาง และการโจมตีของพวกเขาก็สูสีกัน
เฉินซีชักมือกลับและถอยกลับทันที จากนั้นจึงกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วว่า “พี่เผย เจ้าเด็กคนนี้เจ้าเล่ห์มาก หากปล่อยให้อยู่เคียงข้างเจ้า มันก็จะใช้คำพูดหลอกลวงเพื่อสร้างศัตรูให้เจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วเจ้าจะปล่อยให้มันชีวิตอยู่เพราะเหตุใดกัน?”
“ตกลง ข้าจะตัดสินใจเรื่องนี้เอง” เผยอวี่จ้องมองไปที่เฉินซีอย่างลึกซึ้ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ที่ซิวหงกล่าวเช่นนั้นก็เพื่อเห็นแก่ข้า แต่วิธีการของเขาอาจจะผิดไปบ้าง ข้าหวังว่าพี่เฉินจะไม่ใส่ใจ ส่วนแผ่นศิลานี้มันเป็นของพี่เฉิน และสุภาพบุรุษจะไม่แย่งชิงของที่คนอื่นใฝ่ฝัน ข้าไม่ได้หน้าด้านพอจะร้องขอ ดังนั้นท่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก”
“พี่เผยช่างเป็นคนตรงไปตรงมานัก ข้ารู้สึกชื่นชมจากใจจริง ๆ” เฉินซีเพียงยิ้ม และในขณะที่กล่าว เขาก็เก็บแผ่นจารึกไป
เมื่อมองไปยังใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเฉินซี ใบหน้าของเผยอวี่ก็นิ่งสงบ แต่เขากลับรู้สึกไม่สบายใจ เจตนาฆ่าได้ฉายอยู่ในแววตาคู่นั้น ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อาจอดกลั้นได้และต้องการลงมือสังหารเฉินซี รวมถึงแย่งชิงแผ่นจารึกในทันที
อย่างไรก็ตาม หลังจากไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว เขาก็อดทนได้ในที่สุด รอยยิ้มที่สงบนิ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง “พี่เฉินช่างมีใจอารียิ่งนัก อย่าได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีกเลย เราควรรีบเดินทางโดยเร็ว เพราะการสำรวจเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็หันหลังกลับและพุ่งห่างออกไป ดูราวกับเจ้าตัวกลัวจะยับยั้งตัวเองไม่ให้ลงมือกับเฉินซีไม่ได้ หากยังคงอยู่ที่นี่ต่อไป
“ฮึ่ม!” ชุยซิวหงชำเลืองมองไปที่เฉินซีอย่างไม่พอใจ ก่อนจะทะยานจากไปเช่นกัน
…
“เฉินซี เหตุใดเจ้าถึงหยิบแผ่นจารึกออกมาเช่นนั้น? หากเจ้าไม่ทำเช่นนี้ มันคงไม่สร้างปัญหาให้แก่เจ้า” หลังจากที่เผยอวี่และคนอื่น ๆ จากไป หวงฝู่ฉิงอิงก็เข้ามาถามชายหนุ่ม
“ถ้าข้าไม่หยิบมันออกมา เกรงว่าคนเหล่านี้จะไม่อาจยับยั้งตัวเองในระหว่างทางได้” ดวงตาของเฉินซีมืดลง ความเย็นชาปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเขา “แม้เราจะสามารถป้องกันการขโมยจากโจรชั่ว แต่เมื่อตกเป็นเป้าหมายของโจรชั่วแล้วละก็ มันย่อมมีหนทางอยู่เสมอ โดยเฉพาะชุยซิวหง ซึ่งเชี่ยวชาญในการสร้างความขัดแย้งและกำลังติดตามอยู่ที่ด้านข้างของเผยอวี่ การเตือนพวกมันในตอนนี้ อย่างน้อยก่อนที่จะเข้าสู่เกาะสมบัติที่ร่วงหล่น พวกมันก็จะไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม”
นายน้อยโจวเข้าใจทุกสิ่งและกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มว่า “เจ้าได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันเป็นเรื่องยากที่จะต้องคอยระมัดระวังอยู่เป็นเวลานาน และไม่มีใครที่สามารถเฝ้าระวังได้ตลอดเวลา ดังนั้นการกระทำของพี่เฉินจึงช่วยแก้ปัญหาได้อย่างมาก”
“แต่ว่าแผ่นจารึกนั้นก็ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว และเจ้าได้หักหน้าชุยซิวหงไปก่อนหน้านี้ และแม้แต่เผยอวี่ก็ดูจะมีเจตนาฆ่าต่อเจ้า ข้าเกรงว่าสถานการณ์ของเจ้าจะอันตรายมากขึ้นเมื่อเราไปถึงเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น” หวงฝู่ฉิงอิงยังคงกังวล
“ข้าก็แค่ฆ่าพวกมันซะ” เฉินซีตอบอย่างไม่ใส่ใจและรวบรัด แต่ปณิธานและเจตนาฆ่าในคำกล่าวของเขาก็เปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน
สิ่งนี้ทำให้หวงฝู่ฉิงอิงกับนายน้อยโจวเข้าใจได้ทันทีว่า เฉินซีอาจคิดทุกอย่างไว้นานแล้ว เพราะเผยอวี่และคนอื่น ๆ ได้เกิดเจตนาฆ่าต่อเขา แล้วเหตุใดเขาถึงไม่วางแผนสังหารพวกมันกลับเล่า!
ทันใดนั้นท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลง
เฉินซี หวงฝู่ฉิงอิง และนายน้อยโจวเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า แล้วก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
บนขอบฟ้าอันไกลโพ้น มวลเมฆสีดำขนาดใหญ่กำลังคืบคลานเข้ามา และได้แผ่ขยายออกไปไกลเกินขอบเขตการมองเห็น ราวกับความมืดของราตรีกำลังกลืนกินแสงตะวัน
“ช่างเป็นมวลเมฆสีดำที่กว้างใหญ่เสียจริง ๆ!” นายน้อยโจวอุทานด้วยความตกใจ
“มันไม่ใช่มวลเมฆสีดำ” จิตสัมผัสเทพของเฉินซีแผ่ออกไปไกลถึงหมื่นลี้ และเมื่อมันปะทะกับมวลเมฆสีดำที่กำลังเคลื่อนเข้ามา เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้งว่า “มันคือวิหคมรณา ฝูงวิหคมรณา!”
นายน้อยโจวตกตะลึง จากนั้นสีหน้าของเขาก็หนักอึ้งเช่นกัน
วิหคมรณามีนิสัยดุร้ายและมีขนาดใหญ่กว่านกทั่วไปหลายสิบเท่า พวกมันเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายฟ้า ทั่วทั้งร่างกายของพวกมันแผ่พลังดาราจักรแห่งความตายออกมา ปีกคู่นั้นก็คมกริบเหมือนใบมีดและเทียบได้กับสมบัติวิเศษระดับปฐพี
แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ วิหคมรณาจะเคลื่อนตัวเป็นฝูง ซึ่งมีจำนวนนับหมื่นหรือแม้แต่หลายแสนตัว ทำให้พวกมันสามารถปกคลุมทุกสิ่งได้โดยสมบูรณ์
‘มวลเมฆดำ’ ในระยะไกลที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากฝูงวิหคมรณาที่กำลังบินเข้ามา
“หากเป็นเช่นนี้… เกาะสมบัติที่ร่วงหล่นคงอยู่อีกไม่ไกลแล้ว” เมื่อเห็นภาพนี้ หวงฝู่ฉิงอิงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว แต่กลับยินดีแทน สายตาคู่นั้นลึกล้ำและเต็มไปด้วยประกายหลากสีขณะที่นางกล่าวอย่างตื่นเต้น “ตามคำเล่าลือ วิหคมรณาถูกเรียกว่านกแห่งการร่วงหล่น และพวกมันมาจากเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น ทุกครั้งที่ฝูงวิหคมรณาปรากฏตัว ย่อมหมายความว่าเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว”
ในเวลาไม่นาน มวลสีดำที่ไม่มีจุดสิ้นสุดซึ่งคืบคลานเข้ามาราวกับม่านราตรี ได้มาถึงจุดที่ห่างจากพวกเขาเพียงหนึ่งร้อยลี้ และพวกมันก็รวดเร็วอย่างไม่ธรรมดา
“เผยอวี่และคนอื่น ๆ อาจจะฝ่าเข้าไปแล้ว ไปกันเถอะ พวกเราจะผ่านเข้าไปเช่นกัน” มือที่บอบบางของหวงฝู่ฉิงอิงสะบัดออกไป ทำให้เรือมังกรพันขนนกลอยขึ้น และไม่ได้มีทีท่าว่าจะถอยกลับ แต่พุ่งตรงไปยังมวลเมฆสีดำที่ไม่มีจุดสิ้นสุดนั้นแทน
โอม! โอม! โอม!
กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากได้พุ่งขึ้นและลงจนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดิน ในเวลาเพียงอึดใจ วิหคมรณาที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้าก็แผ่ขยายออกไป และพวกมันก็เป็นมวลเมฆสีดำที่บดบังท้องฟ้า
“ดัชนีสูญวิญญาณฟ้า!” นายน้อยโจวเป็นคนแรกที่เริ่มโจมตี นิ้วหนึ่งพุ่งผ่านท้องฟ้าทำให้วิหคมรณาจำนวนมากสลายเป็นผงก่อนจะเทลงมาจากท้องฟ้า
“ฝ่ามือปราณมหามังกร!” หวงฝู่ฉิงอิงโจมตีอย่างดุเดือด มือที่บอบบางของนางสะบัดไปในท้องฟ้าราวกับมังกรยักษ์ที่ปกคลุมด้วยลำแสงสีทองอยู่บนท้องฟ้าและเปล่งเสียงคำรามสนั่นหู กรงเล็บของมันเหมือนเสาที่ค้ำยันสวรรค์ ลำตัวของมันยาวถึงหกลี้ เปล่งพลังมหาศาลของมังกรที่ทำให้ทุกสิ่งในโลกตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย
นี่เป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่สมบูรณ์เช่นกัน มันเป็นเคล็ดวิชาขั้นสูงสุดของราชวงศ์ที่มีพลังอันไร้ขอบเขต และหวงฝู่ฉิงอิงก็สืบทอดมาจากจักรพรรดิซ่ง!
แต่วิหคมรณานั้นมีจำนวนมากเกินไป ทันทีที่ถูกบดขยี้ พวกมันจะแทนที่กันเข้ามาอย่างต่อเนื่องและแทบไม่เห็นจุดสิ้นสุด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทุ่มพลังออกไปทั้งหมด แต่ก็ทำได้เพียงแค่รับประกันความปลอดภัยของตัวเองได้ชั่วคราวเท่านั้น
“พายุสายฟ้าสวรรค์!!” เฉินซีในขณะนี้ก็ลงมือเช่นกัน และผลที่ตามมานั้นก็เหนือจินตนาการเป็นอย่างยิ่ง
ร่างของเขาสว่างวาบ กระแสวังวนจำนวนนับไม่ถ้วนประทุขึ้นรอบตัว จากนั้นก็มีพายุสายฟ้าที่ส่งเสียงดังกึกก้องปรากฏขึ้น มันกระจายออกไปเป็นรูปพัดโดยมีชายหนุ่มเป็นจุดศูนย์กลาง และในทันทีที่ฝูงวิหคมรณาปะทะกับพายุสายฟ้า พวกมันก็แตกสลายเป็นผุยผงทันที ก่อนที่แก่นโลหิตและปราณอสูรของพวกมันจะถูกเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำอุ่นที่ถูกกลืนเข้าไปในร่างกายของเฉินซี เพื่อเติมเต็มปราณจ้าววิญญาณที่เขาได้ใช้ไป
นี่คือหนึ่งในวิธีการกลืนกินของก่ออัสนีผสานดารา กระแสวังวนได้ปกคลุมไปทุกทิศทุกทางโดยยึดร่างกายเขาเป็นจุดศูนย์กลาง และมันก็เป็นกระบวนท่าสังหารที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเหมาะสมที่สุดสำหรับการโจมตีในวงกว้าง
ด้วยการเข้าร่วมของเฉินซี ทำให้หวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวรู้สึกสบายใจขึ้นมากในทันที
แต่สถานการณ์ก็ยังไม่คลี่คลายนัก เพราะพวกเขาถูกล้อมรอบด้วยมวลเมฆสีดำหนาทึบ ทำให้พวกเขาไม่สามารถแยกแยะทิศทางได้อย่างเต็มที่ หากเรือมังกรพันขนนกขยับไปทางด้านข้างเล็กน้อย มันจะทำให้พวกเขาจมหายไปในทะเลของวิหคมรณาที่ไม่มีที่สิ้นสุด
“หือ? มีคนอยู่ที่ด้านหน้า ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เผยอวี่และคนอื่น ๆ” ในขณะที่โจมตี เฉินซีก็สังเกตเห็นว่า มีแสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นและส่องประกายท่ามกลางฝูงวิหคมรณาที่อยู่ในระยะไกล เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนกำลังต่อสู้อยู่ที่นั่น แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เผยอวี่และคนอื่น ๆ เพราะกลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขามีกันห้าคน ในขณะที่กลุ่มของเผยอวี่มีเพียงสี่คนเท่านั้น
พวกเขาพุ่งเข้าใส่และลงมือสังหารมาตลอดทาง ในเวลาไม่นาน เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็มองเห็นกลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาได้อย่างชัดเจน ความแข็งแกร่งของคนทั้งห้านี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก รูปร่างหน้าตาของพวกเขายังดูอ่อนเยาว์ และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะที่เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลในครั้งนี้
ผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาคือชายหญิงคู่หนึ่ง ผู้ชายนั้นใช้หอกยาว การเคลื่อนไหวของเขาอหังการและตรงไปตรงมา ดูสง่าผ่าเผยในขณะที่ทะลวงออกไปด้วยประกายแสงของดวงดาวจำนวนมหาศาล พลังของเขาก็ไม่มีใครเทียบได้และต้านทานได้ยาก
ในทางกลับกัน ผู้หญิงนั้นใช้ดาบโค้งสีเขียวหยก คมดาบสาดเปลวไฟสีหยกใสที่ดุร้ายและคุกคาม และไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด แม้กระทั่งมิติก็ถูกเผาไหม้!
“คนทั้งสองคือหลีจวิ้นและเยี่ยนอวี๋เอ๋อร์ พวกเขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะของราชวงศ์เทียนหลาง” หวงฝู่ฉิงอิงเอ่ยขึ้นเมื่อตระหนักได้ถึงตัวตนของสองคนนี้ได้ เพราะราชวงศ์เทียนหลางกับราชวงศ์ซ่งนั้นมีความบาดหมางระหว่างกัน ดังนั้นนางย่อมจำตัวตนของหลีจวิ้นและเยี่ยนอวี๋เอ๋อร์ได้
“ด้วยเหตุนี้ ดูเหมือนว่าทั้งห้าคนนี้จะมาจากราชวงศ์เทียนหลาง” นายน้อยโจวกล่าวอย่างเย็นชา เขาเองก็รู้เช่นกันว่า เพราะความเกลียดชังระหว่างราชวงศ์ นับตั้งแต่พวกเขาย่างเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล ทั้งสองกลุ่มจึงกลายเป็นศัตรูกันโดยปริยาย
“การฝ่าออกจากวงล้อมนั้นสำคัญกว่า อย่าได้ไปยุ่งกับพวกเขาและบินข้ามไปก็พอ” เฉินซีตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ในขณะนี้ พวกเขาติดอยู่ภายในวงล้อมของกองทัพวิหคมรณา และหากมีการปะทะเกิดขึ้น มันอาจจะทำให้พวกเขาหลงทางได้
หวงฝู่ฉิงอิงรู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์เช่นกัน นางจึงควบคุมเรือมังกรพันขนนกให้พุ่งไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่หลีจวิ้น มีเรือเหาะสมบัติลำหนึ่งบินอยู่ตรงนั้น” สภาพของเยี่ยนอวี๋เอ๋อร์นั้นย่ำแย่มาก พวกเขาห้าคนติดอยู่ในวงล้อมมากว่าครึ่งวันแล้ว และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ พวกเขาไม่สามารถหาจุดที่จะทะลวงออกไปได้ หากยังเป็นเช่นนี้อีกต่อไป พวกเขาก็จะติดอยู่ในวงล้อมจนตาย
ทว่า ในขณะนี้ นางพลันสังเกตเห็นเรือมังกรพันขนนกโดยไม่ตั้งใจ และดวงตาของนางก็พลันสว่างขึ้น!