บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 452 ผู้เยี่ยมยุทธ์มากมาย
บทที่ 452 ผู้เยี่ยมยุทธ์มากมาย
บทที่ 452 ผู้เยี่ยมยุทธ์มากมาย
พายุโหมกระหน่ำปกคลุมท้องฟ้า ขณะที่คลื่นในทะเลบรรพกาลสาดซัดอย่างรุนแรงอยู่ด่านล่าง
เฉินซีและคนอื่น ๆ กำลังบินอยู่กลางอากาศ ตั้งแต่ทะลวงแนวป้องกันของวิหคมรณามาได้ พวกเขาก็ยังได้พบกับสัตว์อสูรที่ดุร้ายมากมายอยู่ตลอดทาง แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับเดียวกับวานรวารีเพลิงคลั่งเองก็มี
อาทิ ปลาผีหนังเหล็ก เต่าหยกสามหัว ฉลามเขาอัคคีปีศาจ และอื่น ๆ แต่จำนวนของพวกมันก็ไม่ได้มากมายนัก เฉินซีและคนอื่น ๆ จึงไม่ได้ต่อสู้พัวพันนานเกินไป พวกเขารีบมุ่งตรงไปด้านหน้าและไล่สังหารโหดไปตลอดทาง ทิ้งเป็นเส้นทางที่นองเลือดเอาไว้
ถึงอย่างนั้น เฉินซีก็ยังได้รับประโยชน์มากมาย
ผิวหนัง ขน กระดูก และไข่มุกต้นกำเนิดภายในร่างของอสูรทะเลเหล่านี้เป็นวัตถุดิบที่มีค่าและล้ำค่าอย่างยิ่ง บางอย่างสามารถสกัดเป็นโอสถวิญญาณ บางอย่างก็สามารถแปรรูปเป็นอาวุธได้ หลากหลายประโยชน์ นอกเหนือจากนั้น เฉินซียังได้รวบรวมวัสดุที่สามารถปรับปรุงคุณภาพของยันต์ศัสตรามาได้อีกมากมาย ดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นการเก็บเกี่ยวที่ดี
อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณภาพของยันต์ศัสตราได้ยกระดับขึ้นอีกครั้ง พลังของมันก็เทียบได้กับสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ขั้นสูงหรือสมบัติกึ่งอมตะแล้ว และด้วยเหตุนี้ วัสดุต่าง ๆ ที่จำเป็นจึงมีข้อกำหนดที่เข้มงวดมาก ไม่เพียงแต่จำนวนวัสดุที่ต้องการจะมหาศาลเท่านั้น แม้แต่ความต้องการเชิงคุณภาพก็สูงมากเช่นกัน หลังจากที่รวบรวมมาตลอดทาง เฉินซีก็ยังรวบรวมได้เพียงหนึ่งในสิบจากบรรดาวัสดุที่จำเป็นทั้งหมดเท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน เฉินซีอาจถือได้ว่าเป็นผู้สัมผัสกับอันตรายของทะเลบรรพกาลอย่างแท้จริง อสูรทะเลหลากหลายประเภทนับไม่ถ้วนก่อตัวเป็นกลุ่มใหญ่ เข้าปกคลุมพื้นที่กว้างขวางราวกับกลุ่มเมฆหนาทึบ พวกมันมีทั้งกลุ่มที่มีจำนวนเป็นพัน หมื่น หรือแม้แต่แสน!
ยิ่งพวกเขาดำดิ่งเข้าไปในก้นทะเลมากเท่าไร ความแข็งแกร่งของอสูรทะเลที่ปรากฏกายขึ้นก็ยิ่งมากตาม เฉินซียังสังเกตเห็นอสูรทะเลระดับเจ้าอสูรที่น่าสะพรึงกลัวมากมาย ซึ่งมีกลิ่นอายเหมือนเหวที่ไร้ก้นบึ้ง ความแข็งแกร่งของมันเปรียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี!
เมื่อพวกเขาสัมผัสได้ถึงตัวตนที่อันตรายยิ่งเหล่านี้ เฉินซีกับคนอื่น ๆ ก็จะหลีกเลี่ยงพวกมันไปโดยเร็วที่สุด และใช้เส้นทางอ้อมแทน โชคดีที่อสูรทะเลระดับเจ้าอสูรเหล่านี้ดูจะบ่มเพาะอย่างสันโดษ และไม่สนใจปลาซิวปลาสร้อยตัวเล็ก ๆ อย่างพวกตน ดังนั้นพวกเขาจึงแค่ตกใจ แต่ไม่ได้รับอันตรายหรือการโจมตีถึงตายตลอดทาง
ขณะที่ทั้งคณะดำดิ่งลงไปมากขึ้น สมบัติแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นบนมือของเผยอวี่ ผู้เป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าจิ้น มันมีขนาดเท่าฝ่ามือและดูเหมือนกระดองเต่า พื้นผิวของมันมีอักขระยันต์แปลกประหลาดมากมายสลักไว้ ทำให้ดูเหมือนเข็มทิศ เผยอวี่ใช้สมบัติชิ้นนี้ในการค้นหาและนำพาทุกคนไปสู่เกาะสมบัติที่ร่วงหล่นท่ามกลางทะเลอันไร้ขอบเขตนี้
“ในที่สุดเราก็มาถึงเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นแล้ว!” ทันใดนั้น เผยอวี่ก็หยุดเคลื่อนไหวและเงยหน้าขึ้นมองไปยังไกล ๆ น้ำเสียงของเขาเผยให้เห็นร่องรอยของความตื่นเต้นและความสุขที่หาได้ยาก
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น คนอื่น ๆ ก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้น จากนั้นพวกเขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปยังจุดเดียวกัน
ปู๊น!
ทันทีที่เฉินซีแผ่จิตสัมผัสเทพออกไป เขาก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาของแตรสงครามแว่วมาจากพื้นผิวทะเลที่อยู่ไกล ๆ กลิ่นอายของการต่อสู้และเลือด ราวกับว่าเทพเจ้าสมัยโบราณกำลังต่อสู้กัน ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว
ในที่สุดก็ถึงเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นแล้ว!
กลุ่มของพวกเขาเดินทางข้ามทะเลบรรพกาลมาเป็นเวลาหลายวันหลายคืน หลังจากผ่านอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน จนมาถึงเกาะแห่งขุมทรัพย์ที่ล่มสลายอันลึกลับแห่งนี้ในที่สุด
เพียงมองแค่แวบเดียว ก็จะเห็นเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาลอยอยู่ในบริเวณโดยรอบ แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะสลายไปเลย ทำให้พวกเขาไม่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเกาะนั้นมีอยู่จริงหรือไม่
ว่ากันว่าถึงมันจะถูกเรียกว่าเกาะ แต่จริง ๆ แล้วกลับไม่ต่างอะไรจากทวีปที่ลอยอยู่บนผิวน้ำทะเลเลย เพราะเพียงแค่มองก็ไม่มีใครมองเห็นจุดสิ้นสุดของเกาะได้ หรืออย่างน้อย ๆ มันก็กินพื้นที่ไกลออกไปหลายแสนลี้
ลมพายุและคลื่นรุนแรงพัดผ่าน ทำให้หมอกที่อยู่เหนือเกาะล่องลอยไปมา แต่ก็ไม่เคยจางหายไป ราวกับว่ามันถูกปกคลุมด้วยหมอกตลอดเวลา ดูลึกลับอย่างยิ่ง
เสียงแตรสงครามที่โดดเดียว เสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดของทวยเทพที่สั่นสะเทือนสวรรค์ และเสียงคำรามอันน่ากลัวที่ทำให้หนังศีรษะด้านชา ดังออกมาจากเกาะที่ปกคลุมไปด้วยม่านหมอกอย่างแผ่วเบา
“ตามข่าวลือแล้ว ที่เกาะแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงแต่มีสมบัติมากมาย หรือชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่เหล่าเทพเจ้าผู้ล่วงลับทิ้งไว้เท่านั้น มันยังมีปีศาจที่น่าเกรงขามอย่างยิ่งจำนวนมากที่ซ่อนอยู่ มีแม้กระทั่งวิญญาณโบราณที่ล่องลอยอยู่ในเกาะ ทำให้มันอันตรายและน่ากลัวมาก เมื่อเราเข้าไปในเกาะแล้ว ทุกคนต้องระวังตัวให้ดี” ใบหน้าของเผยอวี่เต็มไปด้วยความจริงจัง ขณะที่แสงดาบสีทองที่เฉียบคมและบริสุทธิ์ลอยขึ้น ปกป้องรอบกายของเขาเอาไว้
เมื่อคนอื่นได้ยินคำพูดนั้น หัวใจของพวกเขาก็สั่นสะท้าน ความตื่นเต้นและความยินดีบนใบหน้าจางหายไป ขณะที่เริ่มระวังตัวกันเต็มที่
“ไปกันเถอะ ผู้เยี่ยมยุทธ์ของราชวงศ์อื่นอาจเข้ามาถึงเกาะนี้นานแล้ว เมื่อเราเข้าไปก็คงจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องสามัคคีกันและอย่าให้ผู้อื่นเอาเปรียบได้เด็ดขาด” ดวงตาของเผยอวี่กวาดมองทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉินซีที่เขาเบนสายตาไปหาถึงสองครั้ง ก่อนที่จะหันกลับมาและพุ่งตรงไปยังเกาะที่ห่างไกล
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจที่จะรั้งอยู่กับกลุ่มของเผยอวี่เป็นการชั่วคราว ท้ายที่สุดสหายคนนี้ดูจะรู้จักเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นค่อนข้างดี ดังนั้นคงไม่สายที่จะแยกตัวออกมาหลังจากที่เข้าไปพร้อมกับอีกฝ่าย และทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ในเกาะเสียก่อน
ในไม่ช้า พวกเขาก็ผ่านหมอกหนาทึบและถึงเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น
ที่นี่ไม่มีพืชพรรณ ขาดชีวิตชีวา พื้นเป็นสีแดงราวกับถูกย้อมด้วยเลือด ประหนึ่งดินแดนแห่งซากปรักหักพังหลังสงครามครั้งใหญ่
อย่างไรก็ตาม สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เงียบสงบเลย ภายในหมอกที่ม้วนปรากฏแสงวิบวับและแสงศักดิ์สิทธิ์จากสมบัติล้นออกมา ราวกับว่ามีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่นับไม่ถ้วน ทำให้เกาะดูเหมือนเป็นสถานที่อันเต็มไปด้วยสมบัติที่ถูกทิ้งร้าง
นี่คือประตูที่เกิดจากภูเขาตระหง่านสองลูก พื้นที่ภายในนั้นกว้างขวางและปกคลุมไปด้วยชั้นหมอกที่ปกคลุมซากปรักหักพังส่วนใหญ่ แต่แสงระยิบระยับจากสมบัติจำนวนมาก ลอดผ่านชั้นอากาศและพุ่งออกมาบ่อยครั้ง
เห็นได้ชัดว่าสมบัติที่ส่องแสงระยิบระยับเหล่านั้น ดูเหมือนจะมาจากสมบัติที่เทพเจ้าโบราณทิ้งไว้ในระหว่างการต่อสู้ พวกมันเปล่งประกายอยู่ทั่วดุจละอองฝนที่ปกคลุมท้องฟ้า ดึงดูดตาราวกับว่ามีจิตวิญญาณดึงดูดใจผู้คน
ในขณะนี้ กลุ่มผู้คนก็ได้มารวมตัวกันที่ด้านนอกประตู
คนจำนวนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสองสามคนหรือกลุ่มสี่ห้าคน ต่างก็กระจายอยู่รอบ ๆ ประตูขุนเขา พวกเขาทั้งหมดดูเด็กมากและเห็นได้ชัดว่าเป็นอัจฉริยะจากราชวงศ์ต่าง ๆ
เมื่อเฉินซีกับคนอื่น ๆ มาถึง พวกเขาก็ได้ภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้ ภายในประตูขุนเขาถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาที่แสงของสมบัติส่องประกายผ่านเป็นครั้งคราว ในขณะที่ด้านนอกประตูมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์จำนวนมากเดินไปมา และดูจะไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเข้าไปดีหรือไม่
“ราชวงศ์เสวี่ยหง ราชวงศ์ต้าอิง ราชวงศ์ไป่เจ๋อ ราชวงศ์ต้าฉิน… มีอัจฉริยะจากกองกำลังมากมายยิ่งนัก!” เมื่อมาถึงที่นี่ ดวงตาของนายน้อยโจวเหม่อลอยเล็กน้อย ในขณะเดียวกันเขาก็เก็บความหยิ่งยโสไปและไม่กล้าทำอะไรเกินขอบเขต เนื่องจากอัจฉริยะมากมายในที่แห่งนี้ล้วนมีพลังมหาศาล และกลิ่นอายที่เปล่งออกมาเหล่านั้นก็ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวยิ่ง
เฉินซีเองก็ประหลาดใจกับมันเช่นกัน ภาพที่มีผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะจำนวนมากมายรวมกันเช่นนี้ นับว่างดงามและชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกประทับใจได้ดีจริง ๆ
“ดูนั่นสิ! กลุ่มคนเหล่านั้นเป็นผู้บ่มเพาะอสูรที่มีเลือดบริสุทธิ์และกลิ่นอายที่แข็งแกร่งมาก เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาจะเป็นลูกหลานของสัตว์อสูรในยุคบรรพกาล?” นายน้อยโจวพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นคนหนุ่มสาวสี่หรือห้าคนซึ่งปกคลุมไปด้วยปราณอสูรที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกลุ่มนั้น ปราณอสูรของพวกเขาลอยม้วนอยู่ในอากาศ ทำให้เกิดรูปลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังต่าง ๆ ตัวหนึ่งเป็นนกยักษ์สีทอง ตัวหนึ่งเป็นเสือโคร่งสีขาว อีกหนึ่งเป็นมดเทพสีทองแดง และอื่น ๆ ซึ่งเป็นรูปลักษณ์ของสัตว์อสูรที่หาได้ยากยิ่งในยุคบรรพกาล
“ผู้บ่มเพาะอสูรเหล่านี้สมควรเป็นอัจฉริยะจากราชวงศ์ไป่เจ๋อ เพราะราชวงศ์ไป่เจ๋อนั้นถือเป็นอาณาจักรของผู้บ่มเพาะอสูร ที่นั่นมีภูเขา แม่น้ำ และทะเลสาบมากมาย ทำให้มีสัตว์อสูรจำนวนมากอาศัยอยู่ที่นั่น ทว่าการที่ผู้บ่มเพาะอสูรเหล่านี้สามารถเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลได้ หมายความว่าพวกเขามีสายเลือดสัตว์อสูรที่สูงส่งอย่างยิ่ง และความแข็งแกร่งของพวกเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่” เฉินซีแอบประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
การปรากฏตัวของเฉินซีและกลุ่มของเขาเองก็ดึงดูดความสนใจจากราชวงศ์ต่าง ๆ ที่อยู่ที่นี่เช่นกัน
“นั่นมันองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าจิ้น เผยอวี่!”
“ราชวงศ์ต้าจิ้น? สวรรค์! ถัดจากราชวงศ์ต้าฉิน ผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะอีกคนจากราชวงศ์ระดับสูงได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ข้าเกรงว่าการแข่งขันนี้จะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ”
“เดี๋ยวก่อน ดูสิ! สามคนที่อยู่ด้านหลังกลุ่มของเผยอวี่น่าจะเป็นคนของราชวงศ์ซ่ง หากข้าจำไม่ผิด หญิงสาวที่เป็นผู้นำน่าจะเป็นธิดาขององค์จักรพรรดิซ่ง หวงฝู่ฉิงอิงอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ราชวงศ์ซ่ง? ฮ่า ๆ น่าสนใจ น่าสนใจ! สมาชิกของราชวงศ์เสวี่ยหงกับราชวงศ์ตงเซี่ยที่มีความบาดหมางกับราชวงศ์ซ่งเองก็อยู่ที่นี่แล้ว หากคนเหล่านี้ปะทะกัน มันจะต้องน่าสนใจอย่างแน่นอน”
“แต่คนทั้งสามจากราชวงศ์ซ่งก็ฉลาดไม่น้อย พวกเขาตามติดคนจากราชวงศ์ต้าจิ้นเพื่อรับการคุ้มครอง ใครก็ตามที่ต้องการเคลื่อนไหวต่อต้านพวกเขา อาจจะต้องชั่งน้ำหนักความสามารถของตนเองก่อน”
เมื่อผู้คนในบริเวณใกล้เคียงเห็นเฉินซีและกลุ่มของเขาปรากฏตัวขึ้น ทุกคนก็เริ่มพูดคุยกัน บางคนก็ดูเกรงกลัวกลุ่มของเผยอวี่ ส่วนบางคนยินดีในความโชคร้ายของกลุ่มของเฉินซี
การแสดงออกของเฉินซียังคงเรียบเฉย แต่จนถึงตอนนี้ในใจของเขานั้นรู้สึกประหลาดใจมาก ที่ราชวงศ์ซ่งผู้เป็นเพียงราชวงศ์ธรรมดาได้ยั่วยุศัตรูไว้มากมายถึงเพียงนี้?
ตามข้อมูลที่ได้รับมาจากมหาเสนาบดีนั้น มีราชวงศ์ระดับสูงสองราชวงศ์ที่เป็นศัตรูกับราชวงศ์ซ่ง นั่นคือราชวงศ์ต้าเฉียนและราชวงศ์ต้าเสวียน นอกจากสองราชวงศ์นี้แล้ว ก็ยังมีราชวงศ์ธรรมดาอื่นอีกนับไม่ถ้วน เช่น ราชวงศ์เทียนหลาง ราชวงศ์เสวี่ยหง ราชวงศ์ตงเซี่ย เป็นต้น
เฉินซีไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า จักรพรรดิซ่งจะรุกรานกองกำลังที่ทรงพลังมากมายเหล่านี้ด้วยวิธีใด จึงได้สร้างศัตรูจำนวนมากเอาไว้ให้คนรุ่นเยาว์ที่เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลในครั้งนี้คอยระแวดระวังกัน
ท่ามกลางฝูงชน เฉินซียังเห็นกลุ่มของคลั่งกระบี่น้อย ไท่ชูฮวาหรงจากราชวงศ์เสวี่ยหง และกลุ่มของตี๋ว่านโหลวจากราชวงศ์เทียนหลางที่จับจ้องมาทางพวกเขาด้วยสายตาเย็นชาดั่งอริ ทันทีที่เห็นเฉินซีและคนอื่น ๆ ปรากฏตัวขึ้น
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะคิดในใจ ‘หลีจวิ้นกับเยี่ยนอวี๋เอ๋อร์ต่างก็มาจากราชวงศ์เทียนหลางเช่นกัน หากพวกเขามาถึงเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นและเข้าร่วมกับกลุ่มของตี๋ว่านโหลว พวกเขาย่อมจะกลายเป็นกองกำลังที่ไม่อาจมองข้ามได้อีก’
“ฮึ่ม! ข้าไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบกับพี่เผยที่นี่ เจตจำนงแห่งสวรรค์เล่นตลกกับพวกเราทุกคนจริง ๆ!” ทันใดนั้น เสียงคำรามที่เยือกเย็นพลันดังก้องขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ฝูงชนทั้งหมดพลันตกอยู่ในความโกลาหลทันที ราวกับว่ารู้ว่าใครคือเจ้าของเสียงนั้น คนทั้งหมดจึงพากันหลีกทาง และถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นร่างของชายหนุ่มสามคนก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเฉินซีและคนอื่น ๆ
ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ มีใบหน้าที่เด็ดเดี่ยวมั่นคงและสง่างาม กลิ่นอายที่สูงส่งไม่แยแสต่อสิ่งใด ท่าทางของเขาเต็มไปความถือตัว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนที่อัจฉริยะทั่วไปจะสามารถเอาตัวไปเปรียบเทียบได้
“นั่นคือองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าฉิน ฉินเซียว ส่วนชายหนุ่มสองคนที่อยู่เคียงข้างเขาคือเหวยคงและเฉิงเฟิง” หวงฝู่ฉิงอิงรีบส่งเสียงผ่านกระแสปราณบอกเขาอย่างรวดเร็ว
“ราชวงศ์ต้าฉินเองก็เป็นราชวงศ์ระดับสูงเช่นเดียวกับราชวงศ์ต้าจิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะองค์ชายรัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าฉิน ฉินเซียวผู้นี้นับว่ามีชื่อเสียงในด้านความกล้าหาญและทักษะการรบอย่างมาก พละกำลังของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งเช่นกัน”
“ฉินเซียว เหวยคง เฉิงเฟิง…” เฉินซีให้ความสนใจกับฉินเซียวเพียงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะจับจ้องไปยังอีกสองคนที่อยู่ด้านหลังฉินเซียว ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็จำได้ทันทีว่าสองคนนี้เป็นใคร มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มเสแสร้งเล็ก ๆ