บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 46 ตราคำสั่งใต้พิภพ
บทที่ 46 ตราคำสั่งใต้พิภพ
บทที่ 46 ตราคำสั่งใต้พิภพ
เมืองอาบโลหิตครอบครองพื้นที่กว่าหมื่นลี้ แนวแถวของบ้านเรือนซึ่งทำจากหินสามารถพบได้ทั่วเมือง
…แน่ชัดแล้วว่าที่นี่สามารถรองรับผู้คนได้หลายหมื่นคน
ปัจจุบันมีผู้บ่มเพาะไม่เกินหมื่นคนอยู่ในเมืองแห่งนี้ ประกอบกับบ้านเรือนเหล่านั้นที่ไร้เจ้าของ พวกเขาจึงสามารถจับจองเลือกบ้านที่จะอยู่ได้
อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงกลับไม่ง่ายนัก แม้ว่าพวกเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงฝูงสัตว์ร้ายที่อยู่นอกเมืองได้โดยซ่อนตัวอยู่ในเมือง ทว่าการต่อสู้ระหว่างผู้บ่มเพาะกันเองกลับหลีกเลี่ยงไม่ได้!
ปัญหานี้แก้ไขได้ยากยิ่ง เนื่องจากไข่มุกปีศาจมีราคาสูงเกินไป และความมั่งคั่งของผู้คนก็ได้กลายเป็นหายนะมาสู่พวกเขาเอง! ภายในหุบเขาอาบโลหิตที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกนี้ …อะไรก็เกิดขึ้นได้!
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของตนเอง คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะรวมตัวกันใกล้กับบ้านเรือนของปรมาจารย์ยอดฝีมือ ในอีกแง่หนึ่งแล้ว การรวมตัวเช่นนี้ทำให้พวกเขาช่วยเหลือกันได้ง่าย ยามที่คนใดคนหนึ่งเกิดปัญหา ทว่าเมื่อมองในแง่ลบแล้ว สิ่งนี้เองก็อันตรายเช่นกัน เพราะไม่อาจแน่ใจได้เลย ว่าจะไม่มีใครฉวยโอกาสนี้ชุบมือเปิบเป็นคนสุดท้าย!
ตลอดทางหลังจากเข้าสู่เมืองอาบโลหิต กลุ่มของเฉินซีได้เห็นฉากดังกล่าวมาไม่มากก็น้อย และพวกเขาก็คุ้นเคยกับมันดี
การทดสอบของดินแดนรกร้างใต้พิภพครั้งนี้แตกต่างออกไป และผู้บ่มเพาะที่ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนว่าเป็นปรมาจารย์ก็คือผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลอย่างไม่ต้องสงสัย!
ทว่าแม้ขอบเขตการบ่มเพาะของพวกเขาจะอยู่เพียงขอบเขตก่อกำเนิด ทว่าด้วยฝีมือและฝีปากของพวกเขาแล้ว ก็นับว่าได้อยู่ในอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว!
ขณะที่พวกเขาเดินผ่านบ้านเรือนที่มีผู้บ่มเพาะกว่าร้อยคนรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ ตู้ชิงซีก็อธิบายกับเฉินซีด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “ดูสิ มีผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลสี่คนอยู่ที่นี่ และพวกเขาน่าจะมาจากนิกายหงสาเมฆาชาดทางตอนใต้ โดยสังเกตได้จากรัศมีพลังที่น่าเกรงขามนั่น อาจจะแข็งแกร่งกว่าหลี่ไฮว่ด้วยซ้ำ”
เฉินซีเหลือบไปมอง เขาเห็นว่าในบ้านหินหลังนั้น มีผู้บ่มเพาะสี่คนที่อยู่ในชุดหรูหรากำลังพูดคุยกันอยู่ เป็นชายวัยกลางคนท่าทางแข็งแรง ชายชราร่างผอมแห้ง ชายหนุ่ม และหญิงสาว พวกเขาล้วนสวมเสื้อคลุมสีม่วงแดงที่มีลวดลายวิจิตรงดงามของนกเพลิงที่ร่ายรำอยู่บนนภาและรายล้อมด้วยหมู่เมฆ
“พวกเขาก็หมายตาหอเซียนกระบี่ด้วยหรือ?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ในช่วงเวลานี้เอง ที่เขาเข้าใจในพลัน ว่านอกเหนือจากกลุ่มของหลี่ไฮว่และซูเจียวแล้ว ยังมีผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลจำนวนมากที่มาที่นี่ จนสามารถบอกได้เลยว่าหอเซียนกระบี่นี้น่าดึงดูดเพียงใด
“แน่นอน ทว่าสำนักหงสาเมฆาชาดไม่มีอะไรน่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย เพราะเมื่อเทียบกับแปดนิกายที่ยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร สำนักทั้งสาม และหกตระกูลใหญ่ของเรา นิกายหงสาเมฆาชาดก็เป็นเพียงกลุ่มเล็กกระจ้อยร่อยเท่านั้น”
ต้วนมู่เจ๋อพูดอย่างมั่นใจยิ่ง …ลักษณะที่เย่อหยิ่งของนายน้อยผู้นี้ได้รับการหล่อหลอมมาตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นจึงยากยิ่งนักที่จะเปลี่ยนแปลง
กลุ่มผู้บ่มเพาะของนิกายหงสาเมฆาชาดที่อยู่ห่างออกไปหยุดการสนทนาทันที ก่อนจะหันมาจ้องกลุ่มของเฉินซีอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนพวกเขาจะจำตัวตนของต้วนมู่เจ๋อและคนอื่น ๆ ได้ ดังนั้นแม้จะโมโหโกรธา แต่พวกเขาก็ไม่มีเจตนาที่จะต่อสู้
“เรารีบไปกันเถอะ” ตู้ชิงซีจ้องมองไปยังต้วนมู่เจ๋อ จากนั้นหันหลังกลับเพื่อเดินไปที่ใจกลางเมือง
ที่ใจกลางเมืองอาบโลหิตมีหอคอยหินห้าแห่งที่ตั้งตรงชี้ขึ้นฟ้า เมื่อเทียบกับบ้านเรือนที่อยู่รายรอบแล้ว พวกมันเปรียบเสมือนยักษ์ใหญ่ท่ามกลางคนแคระ ซึ่งดูโดดเด่นเป็นพิเศษ!
สิ่งที่ทำให้เฉินซีประหลาดใจก็คือหอคอยทั้งห้าแห่งกำลังเปล่งรัศมีมากมายออกมาจากภายใน รัศมีเหล่านี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อ และซ่งหลินเลย บางสายยังดูเหนือกว่าของพวกเขาเสียอีก!
ในขณะนี้ มีผู้บ่มเพาะกว่าสามพันคนรวมกันอยู่ใกล้หอคอยหิน ภาพที่เห็นเบื้องหน้าจึงราวกับทะเลมนุษย์อันวุ่นวาย!
กลุ่มของเฉินซีเดินไปรอบ ๆ เมือง ก่อนที่จะพบบ้านหินขนาดมหึมาซึ่งอยู่ใกล้ใจกลางเมือง และแม้ว่าสภาพของมันจะเก่าโทรม หากแต่มันก็มีพื้นที่ขนาดใหญ่มาก จึงเพียงพอที่จะรองรับพวกเขาทั้งสี่ได้
หลังจากที่พวกเขานั่งอยู่ในบ้านหลังนั้นและพักผ่อนได้ชั่วครู่ ตู้ชิงซีก็พลันสั่ง “ทุกคน แม้ว่าเราจะไม่ต้องกังวลว่าจะถูกฝูงสัตว์ร้ายคุกคามในคืนนี้ แต่เราก็ยังต้องระวังเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉินซี วันนี้เจ้าทำให้ซูเจียวขุ่นเคืองยิ่ง ดังนั้นมันคงเป็นการดีที่สุดถ้าเจ้าจะไม่ปลีกตัวไกลจากพวกเรามากเกินไป”
เฉินซีขณะนั้นกำลังอยู่ในระหว่างการทำอาหาร และเขาก็พยักหน้าเมื่อได้ยินเรื่องนี้
แม้ว่าเขาจะเอาชนะหลี่ไฮว่ในการต่อสู้ในวันนี้ได้ แต่พลังกายและปราณแท้ก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน หากยังไม่ฟื้นคืน ชายหนุ่มย่อมไม่กล้าเคลื่อนไหวตามอำเภอใจ และด้วยกลุ่มสามคนของตู้ชิงซีที่อยู่ที่นี่ อย่างน้อยเขาก็จะปลอดภัยอยู่บ้าง!
ต้วนมู่เจ๋อนั่งลงและมองไปที่เฉินซีขณะที่ถามว่า “ถูกต้องแล้ว ทว่าข้ามีคำถาม… เจ้าครอบครองตราคำสั่งใต้พิภพได้อย่างไร”
“ข้าได้มันมาจากอสูรแรดอินทนิลสองหัว…” เฉินซีอธิบายอย่างละเอียดว่าเขาได้พบกับผู้ดูแลอู๋อย่างไร ตนเองได้ช่วยชีวิตผู้คนที่ถูกมองว่าเป็น ‘บรรณาการ’ ได้อย่างไร จนถึงจุดที่เขาฆ่าอสูรแรดอินทนิลสองหัวในที่สุด
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เฉินซีจะไม่พูดมากความกับต้วนมู่เจ๋อ แต่ตลอดทางต้วนมู่เจ๋อได้แสดงความปรารถนาดีต่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และวิธีที่ต้วนมู่เจ๋อพูดในตอนนี้ก็ไม่ได้แสดงถึงความเหยียดหยามหรือการดูหมิ่นอย่างที่ผู้มีตำแหน่งสูงกว่ามักทำ
ซึ่งนอกจากความรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งนี้แล้ว…
เขายังรู้สึกภูมิใจอย่างช่วยไม่ได้ การที่เขาสามารถเปลี่ยนแปลงนายน้อยที่เย่อหยิ่ง ผู้ถือกำเนิดจากชนชั้นสูงเช่นต้วนมู่เจ๋อ จนสามารถทำให้อีกฝ่ายก้มศีรษะและแสดงความปรารถนาดีออกมาได้ ทำให้เฉินซีรู้สึกมีความสุขเหลือเกิน!
แท้ที่จริง ตัวเฉินซีเองก็เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นอย่างดี ว่ามันน่าจะมาจากการที่เขาเอาชนะหลี่ไฮว่ก่อนหน้านี้ และพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเองออกมา!
สิบปากพูด ย่อมไม่อาจเท่าสองมือลงแรง มีแต่ต้องแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกำปั้นเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้!
“ไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลหลี่จะนำสิ่งที่เรียกว่า ‘บรรณาการ’ มาผูกมิตรกับอสูรยักษ์แรดอินทนิล แน่นอนว่าพวกเขาหมายตา ‘ตราคำสั่งใต้พิภพ’ นี้อย่างแน่นอน!” ต้วนมู่เจ๋อคล้ายจะเข้าใจทุกอย่างแล้ว จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา “แต่น่าเสียดายนัก ตราคำสั่งใต้พิภพนี้กลับตกมาอยู่ในมือของเจ้าโดยไม่คาดคิด นับว่าตระกูลหลี่เสียเวลาเปล่าโดยแท้!”
“เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมีความลับเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนอยู่ภายในตราคำสั่งใต้พิภพนี้?” เฉินซีถาม
คราวนี้เป็นตู้ชิงซีที่ตอบกลับ นางเหลือบมองเฉินซีด้วยท่าทีประหลาดใจเล็กน้อยแล้วจึงอธิบาย
“ข้าคิดว่าเจ้ารู้แล้วเสียอีก ว่าเหตุที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลจำนวนมากเข้ามาในดินแดนใต้พิภพนี้ ล้วนแล้วแต่มีมากมายหลายจุดประสงค์ หากแต่ข้ากล้าพูดเลยว่า หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พวกเขามา มันก็เพราะหอเซียนกระบี่! และตราคำสั่งใต้พิภพก็เป็นกุญแจสำคัญในการเปิดหอเซียนกระบี่นี้! …หากไม่มีมัน ไม่ว่าการฝึกฝนของเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด เจ้าก็ย่อมไม่สามารถเข้าใกล้หอเซียนกระบี่ได้แม้แต่ก้าวเดียว”
“อย่างนั้นมันก็หมายความว่าหอเซียนกระบี่มีอยู่จริง ๆ หรือ?” เฉินซีถามด้วยความประหลาดใจ ก่อนนี้เขาเชื่อมาตลอดว่าหอเซียนกระบี่เป็นแค่ข่าวลือ ทว่าเมื่อรู้ว่ามันมีจริง รวมถึงตราคำสั่งใต้พิภพอันเป็นกุญแจในการเปิดหอยังอยู่ในมือตน มันก็ยิ่งทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น!
เซียนกระบี่!
ตัวตนที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘เซียน’ จะต้องผ่านการบ่มเพาะอย่างยากลำบาก จนกระทั่งบรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพี และหากอยากก้าวไปสูงกว่านั้น ก็จะต้องเผชิญกับทัณฑ์แห่งสวรรค์ เพื่อทะลวงสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์!
แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเซียนปฐพีหรือเซียนสวรรค์ พวกเขาต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวที่เฉินซีทำได้เพียงมองขึ้นไป และตอนนี้ เมื่อมีกุญแจของหอเซียนกระบี่อยู่ในครอบครอง มีหรือที่หัวใจของเฉินซีจะไม่หวั่นไหวกับโชคลาภมหาศาลที่อาจรออยู่เบื้องหน้า!
“มันมีอยู่จริง! ทว่าต่อรอเวลาเสียหน่อย… อีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้ ค่ายกลลัดฟ้าจะปรากฏขึ้นที่ส่วนท้ายของดินแดนรกร้างใต้พิภพ และเราสามารถใช้มันเพื่อเดินทางไปยังหอเซียนกระบี่ได้!”
ตู้ชิงซีตอบอย่างแน่วแน่ จากนั้นนางก็หันไปอีกด้านแล้วพูดว่า “แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ตราคำสั่งใต้พิภพมีมากกว่าหนึ่ง นอกเหนือจากที่เจ้าครอบครองอยู่ ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลบางส่วนที่มายังดินแดนรกร้างใต้พิภพนี้ พวกเขาก็น่าจะมีตราคำสั่งใต้พิภพเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ตราหนึ่งอันสามารถให้ผู้บ่มเพาะสามคนเข้าไปในหอเซียนกระบี่พร้อมกัน ดังนั้นตราบใดที่เจ้าไม่คิดหักหลังพวกเรา ก็จะไม่มีใครหน้าไหนกล้ามายึดตราคำสั่งใต้พิภพของเจ้าไป”
เฉินซีแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้จริง ๆ แต่เมื่อตู้ชิงซีอธิบายเช่นนี้แล้ว มันก็ทำให้เขาเอะใจถึงบางอย่างขึ้นมา “หากหอเซียนกระบี่มีค่ายิ่ง เช่นนั้นเหตุใดถึงมีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้นที่เข้ามาในนี้? แล้วผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ หรือขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเล่า?”
“พวกเขาก็ถูกล่อลวงเช่นกัน แต่ทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากดินแดนรกร้างใต้พิภพไม่อาจต้านทานความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะเหนือขอบเขตตำหนักอินทนิลได้ ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะใช้ยาผนึกแก่นแท้เพื่อลดระดับการย่มเพาะของพวกเขาให้เหลือแค่ขอบเขตก่อกำเนิด แต่ตราบใดที่พวกเขาโจมตี สุดท้ายผลลัพธ์ของมันก็คือการพังทลายของพื้นที่นี้อย่างแน่นอน!” ตู้ชิงซีอธิบายด้วยเสียงที่เยือกเย็นและไพเราะน่าฟัง
มันเป็นเช่นนั้นเอง!
คำอธิบายเช่นนี้ยืนยันทุกสิ่ง ทว่าเฉินซีก็ยังคงมีคำถามอื่น “เนื่องจากหอเซียนกระบี่ตั้งอยู่ในดินแดนรกร้างใต้พิภพ ดังนั้นเหตุใดมันจึงไม่เคยถูกพบเจอมาก่อน?”
ตามที่เฉินซีจำได้ ประวัติของดินแดนรกร้างใต้พิภพสามารถสืบย้อนไปถึงเมื่อกว่าหมื่นปีที่แล้ว แต่ในช่วงเวลาที่ยาวนานนี้ มันกลับไม่เคยมีข่าวลือเกี่ยวกับหอเซียนกระบี่เล็ดลอดออกมาสักครั้ง
“เพราะว่าหอเซียนกระบี่นี้ จะปรากฏขึ้นทุก ๆ หมื่นปีเท่านั้น และปีนี้ก็เพิ่งจะครบหมื่นปีพอดิบพอดี!” ตู้ชิงซีตอบช้า ๆ
ปรากฏทุก ๆ หมื่นปี?
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง ระยะห่างของมันแต่ละรอบช่างยาวนานเหลือเกิน!
“ข้าล่ะสงสัยนัก ว่าเซียนกระบี่ผู้นั้นคือใคร? และเหตุใดเขาถึงตั้งหอเซียนกระบี่ในดินแดนใต้พิภพ?
หลังจากทานอาหารที่เฉินซีปรุงแล้ว กลุ่มสามคนของตู้ชิงซีก็เริ่มนั่งสมาธิและพักผ่อน ในขณะที่เฉินซีเพียงนั่งที่ด้านข้างของพวกเขาอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับคิดเกี่ยวกับทุกสิ่งอย่างที่เขาเห็นในวันนี้
“ตราคำสั่งใต้พิภพ… หอเซียนกระบี่… ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีกุญแจที่สามารถเปิดมันได้ แต่ถ้าข้าต้องการจะได้รับผลประโยชน์จากที่นั่น ข้าจะต้องขัดแย้งกับผู้บ่มเพาะในขอบเขตตำหนักอินทนิลอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าในช่วงเดือนนี้ ข้าจำต้องพัฒนาการบ่มเพาะให้สูงยิ่งกว่านี้!” ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นเขาก็หันไปหยิบผลึกวิญญาณสองสามอันออกจากแหวนมิติ ก่อนจะเริ่มทำสมาธิ
วิ้ง!
ปราณแท้ที่พลุ่งพล่านไหลเข้าสู่เส้นลมปราณ จากนั้นหมุนเวียนไปสิบแปดรอบ ก่อนที่จะกลายเป็นลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลเข้าสู่ตันเถียนของเขา
การเดินทางตลอดวันและต่อสู้กับหลี่ไฮว่ทำให้ร่างกายและจิตใจของเฉินซีเหนื่อยล้าถึงขีดสุดแล้ว ในเวลานี้ ทันทีที่เขาเริ่มฝึกฝน ร่างกายของชายหนุ่มก็พลันอบอุ่นและสบายตัวราวกับกำลังแช่ตัวในบ่อน้ำพุ เช่นเดียวกัน ทั้งพลังกายและปราณแท้ของเขาเองก็กำลังฟื้นตัวด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
ซ่า! ซ่า!
ผลึกวิญญาณสองอันกลายเป็นผง และแม้ว่าแก่นแท้ภายในตันเถียนของเขาจะอิ่มตัวแล้ว แต่เฉินซีกลับยังคงรู้สึกไม่พอใจ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนำผลึกวิญญาณอีกสองอันออกมาอีก
ในอดีต ชายหนุ่มได้รับศิลาวิญญาณเพียงไม่กี่สิบก้อนจากการสร้างยันต์ทุกวัน แต่เขาต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของทั้งครอบครัว และช่วยจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับเฉินฮ่าว ดังนั้นการใช้ศิลาวิญญาณแม้เพียงก้อนเดียวในการฝึกฝนจึงเป็นสิ่งที่เขารู้สึกว่าฟุ่มเฟือย และเขามักจะกังวลเกี่ยวกับพลังปราณวิญญาณที่จำเป็นในการฝึกฝน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่การฝึกฝนของเขาจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันแตกต่างออกไป ในช่วงเวลาที่เขาฝึกฝนศิลปะการทำอาหาร ณ ร้านอาหารนทีกระจ่าง ไม่เพียงแต่ชายหนุ่มจะได้รับศิลาวิญญาณจำนวนมากเท่านั้น เขายังได้กินอาหารที่มีปราณวิญญาณมากมายในแต่ละวัน และการฝึกฝนของเขาก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เฉินซียังได้รับผลึกวิญญาณสามพันชิ้นจากอสูรแรดอินทนิลสองหัว และนอกเหนือจากศิลาวิญญาณที่ใช้ในการซื้อวิชาต่อสู้ และกระบี่อัสนีครามแล้ว ผนึกวิญญาณเกือบสี่ร้อยชิ้นก็ยังคงอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาที่มาพร้อมกับการบ่มเพาะอีกต่อไป
ซ่า! ซ่า!
ผลึกวิญญาณก้อนแล้วก้อนเล่าแตกเป็นผง หากตัวเฉินซีในอดีตรู้เข้า เขาคงจะต้องเจ็บปวดใจอย่างแน่นอน แต่เขาไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับมันในตอนนี้ เนื่องจากชายหนุ่มรู้สึกว่าการฝึกฝนของตนเองนั้น กำลังจะทะลวงผ่านคอขวด และก้าวขึ้นไปสู่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นเก้า!