บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 467 ประกาศิตเซียนสวรรค์
บทที่ 467 ประกาศิตเซียนสวรรค์
บทที่ 467 ประกาศิตเซียนสวรรค์
โอม!
กฎแห่งฟ้าดินบิดเบี้ยวราวกับตกอยู่ในความโกลาหล เหลือเพียงแสงพร่างพราวเพียงเล็กน้อยที่ยังคงลอยอยู่ภายใต้ท้องฟ้า ซึ่งดูราวกับเทพกำลังอุบัติขึ้นมาบนโลก แสงเจิดจ้าที่เหมือนดวงอาทิตย์แผดเผาก็ระเบิดออกและเปล่งกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
เมื่อมองอย่างระมัดระวัง ก็จะสังเกตเห็นว่ามันไม่ใช่สมบัติวิเศษ แต่เป็นแผ่นกระดาษเก่า ๆ สีเหลืองที่มีแสงพร่างพราวและถูกเขียนด้วยอักษรเพียงตัวเดียวนั่นคือ ‘戮’*[1] !
ตัวอักษรที่อยู่บนแผ่นกระดาษใบนั้นถูกเขียนอย่างดุดันและเฉียบคม เส้นของมันกระชับเหมือนสายฟ้าแลบ อีกทั้งยังแผ่กลิ่นอายสังหารและคมกริบออกมา ขณะเปล่งแสงเจิดจ้าราวกับดวงดาวและนำพาแรงกดดันที่เหนือชั้นมาสู่ทุกคน
“เจตจำนงของเซียนสวรรค์!”
“นี่เป็นงานเขียนที่เซียนสวรรค์ที่แท้จริงทิ้งไว้ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยเจตจำนงของเซียนสวรรค์ ซึ่งเพียงพอที่จะสังหารทุกสรรพสิ่งในโลกได้!”
“โอ้สวรรค์! สิ่งนั้นมาปรากฏที่นี่ได้อย่างไร”
“สิ่งนี้ไม่ใช่เจตจำนงของเซียนสวรรค์ แต่เป็นประกาศิตเซียนสวรรค์! แต่กระนั้นมันก็แสดงถึงเจตจำนงสูงสุดของเซียนสวรรค์ และตัวอักษร ‘戮’ นั้นก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าจนถึงขั้นบิดเบือนกฎแห่งฟ้าดิน มันช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก”
ทุกคนที่อยู่ในตอนนี้ต่างรู้สึกใจสั่นด้วยความกลัว อีกทั้งวิญญาณของพวกเขายังสั่นสะท้าน แรงกดดันและกลิ่นอายเช่นนี้ ทำให้รู้สึกราวกับว่าร่างกายของพวกเขากำลังจะระเบิดและถูกสังเวยให้แก่เซียนสวรรค์ผู้นี้
ผู้คนที่ปิดล้อมเฉินซีอยู่ในขณะนี้ต่างหยุดชะงัก ก่อนจะล่าถอยทีละคน เนื่องจากสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอันตรายร้ายแรง และพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะต่อสู้กับเฉินซีอีกต่อไป
ทว่าเมื่อได้เห็นประกาศิตเซียนสวรรค์ ดวงตาของฉินเซียวและปี้หลิงอวิ้นก็หรี่ลง ก่อนที่สายตาของพวกเขาจะเผยแววหนักอึ้งขณะมองไปยังเผยอวี่ ราวกับพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเมื่อเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล เผยอวี่จะนำอาวุธที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มาด้วยจริง ๆ
“ทำลาย!” เผยอวี่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยจิตวิญญาณที่พวยพุ่งพร้อมกับตะโกนออกมาดังกึกก้อง เช่นเดียวกับกระบี่โศกนภาที่เป็นสมบัติกึ่งอมตะ ประกาศิตเซียนสวรรค์นี้ก็เป็นไพ่ตายของเขา และเห็นได้ชัดว่าเขาต้องการทำลายล้างเฉินซีในคราวเดียว เนื่องจากตอนนี้เขาได้ใช้มันอย่างเปิดเผย
ตู้ม!
ประกาศิตเซียนสวรรค์ส่งเสียงดังก้องและเปล่งแสงเจิดจ้า จากนั้นมันก็ยิงลำแสงสีทองนับไม่ถ้วนออกมา ซึ่งเหมือนกับลูกศรสีทองที่ยิงออกไปอย่างรุนแรงและปกคลุมเฉินซีโดยตรง
“ไม่ได้การ!” เฉินซีในขณะนี้รู้สึกได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวเมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรงจนถึงจุดที่เส้นผมของเขาตั้งขึ้น จากนั้นชายหนุ่มก็เร่งหันหลังกลับและตั้งใจหลบหนีไปอย่างแน่วแน่ ปีกนภาดารกะปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของเขา ทำให้ความเร็วของเขาพุ่งสูงขึ้น
เขาเป็นเหมือนลำแสงที่ล่องลอยและเหมือนภูตผีที่พุ่งผ่านท้องฟ้า พุ่งทะยานอย่างรวดเร็วด้วยพลังทั้งหมด และในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็โบกพัดนกยูงเพลิงไปทางด้านหลังซ้ำ ๆ เพื่อขัดขวางลำแสงสีทองที่พุ่งเข้ามาอย่างหนาแน่น
เคร้ง!
ซ่า!
เคร้ง! เคร้ง!
ไม่ว่าเฉินซีจะเร็วแค่ไหน แต่ก็ยังมีลำแสงสีทองบางส่วนที่พุ่งเข้ามาใกล้ ซึ่งดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่อาจทำลายได้และทำให้ฟ้าดินต้องสั่นสะเทือน อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ลำแสงปะทะเข้ากับพัดนกยูงเพลิง เสียงพลันดังกึกก้อง อีกทั้งยังทำให้แขนของเฉินซีชาและเจ็บปวด เนื่องจากอานุภาพของมันนั้นทรงพลังอย่างน่าสะพรึงกลัว!
ฟุ่บ!
ในช่วงเวลาเดียวกัน ลำแสงสีทองก็พุ่งมาถึงตรงหน้าเขาและเจาะเข้าที่แขนขวาของเฉินซีโดยตรง ทำให้เลือดพุ่งออกมาทันที
ลำแสงสีทองที่เปล่งออกมาจากประกาศิตเซียนสวรรค์นี้รวดเร็วและน่าสะพรึงกลัวเกินไป มันปกคลุมฟ้าดินและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้ ทำให้เฉินซีไม่สามารถหลบหนีการปิดล้อมของมันได้
“ข้าคงต้องสู้กับมันเท่านั้น!” เฉินซีตระหนักได้ทันทีว่าการหลบหนีมีแต่จะทำให้ตายเร็วขึ้น เขาจึงหันหลังกลับทันทีและโจมตีลำแสงสีทองที่ปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน
เคร้ง!
เคร้ง!
แม้ว่าพัดนกยูงเพลิงจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรกับลำแสงสีทองเหล่านี้ได้ เฉินซีจึงดึงยันต์ศัสตราออกมาและฟันออกไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงากระบี่หลายชั้นซ้อนทับกัน ก่อนจะเหวี่ยงมันออกไป ทำให้เกิดประกายกระบี่ที่ถาโถมดั่งคลื่นยักษ์ออกไปต้านทานประกาศิตเซียนสวรรค์
“ไม่ว่าจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน เจ้าก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเจตจำนงแห่งเซียนสวรรค์ ในเมื่อเจ้ากล้าต่อกรกับข้าในวันนี้ ข้าก็จะทะยานขึ้นไปยังมิติเซียนและทำลายร่างที่แท้จริงของเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน!” เฉินซีถูกกดดันจนระเบิดพลังทั้งหมดออกมา จากนั้นเขาก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวที่สั่นสะเทือนโลก
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็ไม่ได้ล่าถอย แต่กลับพุ่งไปข้างหน้าแทน และเปิดฉากโจมตีเข้าใส่ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะตกอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่งอย่างสมบูรณ์ ทำให้ปราณแท้ในร่างเดือดพล่านและรุนแรงอย่างมาก
ยันต์ศัสตราในมือของเฉินซียิ่งส่องประกายมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนยันต์เทวะทั้งห้าที่อยู่ภายในกระบี่ก็เริ่มโคจรอย่างช้า ๆ ทำให้อักขระยันต์พวยพุ่งและเปล่งแสงเจิดจ้าขนาดใหญ่ จากนั้นเขาก็ฟันไปยังประกาศิตเซียนสวรรค์ที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้เกิดเสียงดัง ‘เคร้งคร้าง’ ขณะที่เข้าโจมตีไม่หยุด
ทุกคนตกตะลึงและรู้สึกว่าการกระทำนี้ไร้สาระเกินไป เฉินซีคนนี้ต้องการต่อต้านประกาศิตเซียนสวรรค์จริงหรือ? นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกหรือ? อีกทั้งยังต้องการมุ่งหน้าไปยังภพเซียนเพื่อทำลายร่างที่แท้จริงของเซียนสวรรค์… นี่มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรอกหรือ!
“มดปลวกเยี่ยงเจ้าจะต่อต้านประกาศิตเซียนสวรรค์ได้อย่างไร? เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” เผยอวี่ก็ตกตะลึงเช่นกัน จากนั้นเขาก็ตะโกนเย้ยหยันออกมาดัง ๆ
“ฮึ่ม!” เฉินซีตะคอกอย่างเย็นชาซึ่งเผยให้เห็นความดูถูกเหยียดหยามอย่างสุดซึ้ง และเขาต่อสู้อย่างสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม เพราะตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าเมื่อใดที่ผ่อนการโจมตี เขาจะต้องตายแน่นอน
เมื่อหลายปีก่อน เขาเคยมีประสบการณ์เผชิญกับเจตจำนงเซียนประเภทนี้ครั้งหนึ่งและรู้ดีว่ามันน่าสะพรึงเพียงใด ในเวลานั้น เขาอยู่ภายในห้วงทะเลทรายมรณะ และเจตจำนงของเจ้าของระเบียนแดนมรณะ ซึ่งก็คือจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามได้รับรู้ว่าหกวิถีสังสารวัฏได้ไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สามารถยึดสมบัติวิเศษของหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ด้วยพลังมหาศาล
และในวันนั้นเอง เฉินซีก็ได้รู้ว่าเจตจำนงเซียนสวรรค์คือสิ่งใด เพราะมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่รอดพ้นจากระลอกคลื่นแห่งทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าและกลายเป็นเซียนสวรรค์แล้วเท่านั้น จึงจะสามารถใช้ ‘ตราประทับเจตจำนง’ ซึ่งคล้ายกับร่างจำแลงของตนที่ท่องไปในจักรวาลอันไร้ขอบเขตเพื่อสังเกตการทำงานของสวรรค์
ทุกร่างจำแลงของ ‘ตราประทับเจตจำนง’ จะมีความคิด สติปัญญา ความแข็งแกร่ง และความเข้าใจในกฎแห่งเต๋าสวรรค์ที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ครอบครอง ซึ่งผู้บ่มเพาะที่ไม่เคยมีประสบการณ์กับทัณฑ์สวรรค์จะไม่ใช่คู่มือของมัน แม้ว่าจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็ตาม เว้นแต่จะไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ มิฉะนั้น พวกเขาจะไม่กล้าล่วงเกินเจตจำนงเซียนสวรรค์อย่างแน่นอน
ส่วนสาเหตุนั้นก็เพราะเมื่อพวกเขาลงมือทำลายเจตจำนงเซียนสวรรค์ ก็ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่า เจ้าของเจตจำนงนั้นจะไม่ทะลุมิติในจักรวาลอันไร้ขอบเขตเข้ามาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา หากเป็นเช่นนั้นละก็ มันจะต้องเป็นหายนะอย่างแน่นอน
ส่วนตัวอักษร ‘戮’ ในประกาศิตเซียนสวรรค์ที่เผยอวี่ใช้นั้น ไม่ใช่ ‘ตราประทับเจตจำนง’ ของเซียนสวรรค์ และเป็นเพียงลายลักษณ์ที่เซียนสวรรค์ทิ้งไว้ แต่ถึงอย่างนั้น คำคำนี้ก็ยังมีกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ของเซียนสวรรค์ และมันไม่อาจล่วงเกินได้ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถต่อต้านได้
ดังนั้นเฉินซีจึงเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า เป็นไปไม่ได้ที่แผ่นกระดาษเก่า ๆ ที่เซียนสวรรค์ทิ้งไว้จะเป็นสิ่งที่ท้าทายสวรรค์เช่นเดียวกับ ‘ตราประทับเจตจำนง’ และมีเพียงการต่อต้านที่รุนแรงเท่านั้นที่อาจทำให้เขาหลีกเลี่ยงหายนะครั้งใหญ่นี้ได้
“ฆ่า!” การรุกของเฉินซีเป็นดั่งการระเบิดที่รุนแรง เมื่อใจและกระบี่หลอมรวมเป็นหนึ่ง ทำให้ยันต์ศัสตราที่ฟาดฟันออกไปแฝงไปด้วยพลังของเต๋ารู้แจ้งชนิดต่าง ๆ อย่างเต็มที่ เขาปล่อยศักยภาพที่ไร้ขอบเขตออกมา ในขณะที่เจตจำนงกระบี่อันท่วมท้นได้ฟันไปยังประกาศิตเซียนสวรรค์อย่างไม่หยุดยั้ง จนทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน
ผู้คนต่างรู้สึกตกตะลึงมากขึ้น “ชายคนนี้ช่างดุร้ายและไม่เกรงกลัวแม้แต่ประกาศิตเซียนสวรรค์ หรือว่าเขาไม่กลัวการแก้แค้นของเซียนสวรรค์? หรือบางทีเขาอาจคิดว่าตนเองสามารถต่อต้านพลังของประกาศิตเซียนสวรรค์ได้?”
เผยอวี่ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ประกาศิตเซียนสวรรค์ไม่ได้ทำให้เฉินซีเกรงกลัว แต่กลับกระตุ้นความดื้อรั้นและการต่อต้านของอีกฝ่าย ทำให้จากที่ควรเกรงกลัวกลายเป็นความต้องการที่จะท้าทาย
“ช่างน่าหัวเราะเสียจริง! ในเมื่อเจ้าดิ้นรนที่จะแสวงหาความตาย ข้าจะส่งเจ้าไปตามทางเอง!” เผยอวี่หัวเราะด้วยความดูถูกก่อนจะยกมือขึ้นและชี้ไปที่ท้องฟ้า
ตู้ม!
ตัวอักษร ‘戮’ บนแผ่นกระดาษเก่า ๆ พลันเรืองแสงและลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า มันเป็นหมึกที่ผู้เป็นเซียนสวรรค์วาดขึ้นด้วยตัวเอง ซึ่งอัดแน่นไปด้วยศักดิ์ศรีและเจตจำนงของเซียนสวรรค์เอาไว้ ในขณะนี้ จู่ ๆ มันก็เริ่มส่งเสียงคำรามดังก้อง ก่อนที่แสงอันเจิดจรัสที่สั่นคลอนหัวใจของทุกคนจะสาดส่องออกมา!
ทันใดนั้น กระดาษอันเก่าแก่แผ่นนั้นก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาและเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีที่ไม่อาจล่วงละเมิดได้ หลังจากนั้นลำแสงสีทองก็สาดส่องออกมาจนปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน
ทุกคนต่างตกตะลึง ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางจะต้านทานพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้อย่างไร?
“เจ้าเหลือแค่กระดาษเน่า ๆ แผ่นเดียว ยังกล้าสร้างปัญหาให้แก่โลกอีกหรือ? หากข้าไม่เคารพเซียนสวรรค์แล้วจะทำไม? วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน!” เฉินซียิ่งคลุ้มคลั่งมากขึ้น เช่นเดียวกับกระบี่ที่พลุ่งพล่านอยู่ในมือของเขา ก่อนที่ทั้งร่างของชายหนุ่มจะสั่นสะท้านจากภายในสู่ภายนอก ในขณะที่เขาโจมตีด้วยพลังทั้งหมดโดยไม่ยั้งแรงแม้แต่น้อย
“อันใดกัน!? พลังของชายคนนี้กลับแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง!”
“ช่างเป็นอัจฉริยะที่ไม่ธรรมดา! คนเช่นนี้สามารถปรากฏกายขึ้นในราชวงศ์ระดับกลางได้ ความสามารถของเขาก็คู่ควรที่จะถูกเรียกว่าราชสีห์ในหมู่มนุษย์!”
“คงมีเพียงศิษย์ของราชวงศ์ระดับสูงสุดทั้งสามและตระกูลอันทรงเกียรติของอาณาจักรโบราณเท่านั้นที่จะสามารถต่อสู้กับเขาได้ ผู้บ่มเพาะธรรมดาคงไม่อาจพึ่งพาความสามารถของตนเองเพื่อบดขยี้เขาได้”
เมื่อมองไปยังร่างสูงใหญ่ที่กำลังต่อสู้อย่างห้าวหาญ สีหน้าของทุกคนเผยให้เห็นความตกตะลึง ทำให้หัวใจของพวกเขาอดไม่ได้ที่จะสั่นไหว เนื่องจากพวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีนั้นจะทรงพลังถึงขนาดนี้!
อย่างไรก็ตาม ประกาศิตเซียนสวรรค์ก็ไม่ใช่สมบัติธรรมดาทั่วไป แต่เป็นงานเขียนล้ำค่าที่เซียนสวรรค์เขียนขึ้นด้วยตัวเอง ซึ่งเต็มไปด้วยจิตวิญญาณและเจตจำนงของเซียนสวรรค์เอาไว้ ทำให้มันเหนือกว่าสมบัติกึ่งอมตะทั่วไป ทว่ามันกลับถูกเฉินซีต้านทานได้ จึงเห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีนั้นทรงพลังเพียงใด
ปุ้! ปุ้! ปุ้!
แต่ในช่วงเวลาต่อมา แผลจำนวนมากได้ปรากฏขึ้นบนร่างของเฉินซี และร่างกายของเขาก็อาบไปด้วยเลือด ยิ่งไปกว่านั้น ประกอบกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของเขา ทำให้ชายหนุ่มตกอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้หัวใจของทุกคนที่ตกตะลึงจนแทบจุกคอก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เพราะนี่คือสิ่งที่ควรเป็นประกาศิตเซียนสวรรค์จะถูกต้านทานอย่างง่ายดายได้อย่างไร?
ถึงกระนั้น จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเฉินซีก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาสว่างวาบขึ้นและส่องประกายแวววาว พร้อมกับร่างกายของชายหนุ่มที่เปล่งประกาย ยันต์ศัสตราในมือของเขาปะทุขึ้นพร้อมกับปราณกระบี่จำนวนมาก ซึ่งฟันอย่างต่อเนื่องไปยังประกาศิตเซียนสวรรค์ที่สาดส่องดั่งดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้า พลังทำลายของปราณกระบี่แต่ละเล่มล้วนสามารถบดขยี้ขุนเขาและผ่าสมุทรแยกแม่น้ำออกจากกันได้
โอม!
ภายใต้การโจมตีซ้ำ ๆ ของฝนปราณกระบี่ที่โหมกระหน่ำดั่งพายุ ประกาศิตเซียนสวรรค์ก็ปะทุขึ้นด้วยประกายแสงเจิดจ้าและมันก็สว่างไสวขึ้นเรื่อย ๆ ตัวอักษร ‘戮’ บนนั้นก็รุนแรงและเย็นยะเยือกยิ่งขึ้น จากนั้นก็เปล่งราศีของเซียนออกมาและสั่นสะเทือนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ตู้ม!
ลำแสงสีทองนับไม่ถ้วนปะทุขึ้นจากประกาศิตเซียนสวรรค์ พวกมันส่งเสียงดังก้องและเขย่าท้องฟ้าจนสั่นไหว แล้วระเบิดใส่ยันต์ศัสตราพร้อมกับส่งเสียงดังเคร้งคร้าง แม้ว่าร่างกายของเฉินซีจะแข็งแกร่งและมีพลังป้องกันที่น่าตกตะลึง แต่เขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงจากอาการบาดเจ็บได้อย่างสมบูรณ์
ปุ้!
รูเลือดขนาดเท่าชามได้ทะลวงเปิดบนหน้าอกของเขา และอยู่ห่างจากหัวใจเพียงนิดเดียว!
เฉินซีเม้มริมฝีปากแน่นและยังคงไม่แยแส จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของชายหนุ่มพวยพุ่งดั่งคลื่นยักษ์และรุนแรงยิ่งขึ้น จากนั้นเขาฟาดฟันด้วยยันต์ศัสตราในมืออย่างต่อเนื่อง ทำให้มันสั่นสะเทือนเป็นอย่างมากในขณะที่ฟันออกไปนับครั้งไม่ถ้วน
กระบี่ส่งเสียงคำรามราวกับคลื่นยักษ์ที่ถาโถมออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้แม้แต่ฟ้าดินยังสั่นสะเทือนอย่างไม่มีสิ้นสุด
เคร้ง!
ประกาศิตเซียนสวรรค์สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และเห็นได้ชัดว่าการโจมตีของเฉินซีนั้นดุร้ายเพียงใด เพราะแม้แต่ประกาศิตเซียนสวรรค์ก็ไม่อาจทนได้และไม่สามารถลอยอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างมั่นคงเช่นเดิม
ทุกคนประหลาดใจและอ้าปากค้าง ปราณกระบี่เล่มนี้น่าสะพรึงกลัวเพียงใด? เหตุใดจึงจะสามารถต้านทานประกาศิตเซียนสวรรค์และทำให้มันสั่นสะเทือนได้? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คือ เฉินซีสามารถต้านทานประกาศิตเซียนสวรรค์ได้จนถึงตอนนี้ อีกทั้งยังไม่แสดงสัญญาณของการถูกสยบเลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนว่าเขากำลังโต้กลับเสียด้วย!!
ทว่ายันต์ศัสตราที่เฉินซีถืออยู่ในขณะนี้ก็เลือนรางลง และความเป็นจริงที่โหดร้ายก็ปรากฏขึ้น …ปราณแท้ในร่างกายของเขาเหือดแห้งไปหมดสิ้นแล้ว!
[1] 戮 แปลว่า ฆ่า