บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 469 โอกาสรอดอันริบหรี่
บทที่ 469 โอกาสรอดอันริบหรี่
บทที่ 469 โอกาสรอดอันริบหรี่
ในตอนนี้ ทุกคนล้วนคิดว่าเฉินซีจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เนื่องจากอานุภาพของการโจมตีครั้งสุดท้ายของประกาศิตเซียนสวรรค์นั้น จะต้องน่ากลัวถึงขีดสุดอย่างแน่นอน และคงไม่มีผู้บ่มเพาะคนใดในโลกที่สามารถต้านทานมันได้
เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งในขณะนี้ และมันก็ช้าลง
เฉินซีเงยหน้าขึ้นและเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตัวอักษร ‘戮’ ที่ปกคลุมท้องฟ้านั้นเปียกโชกไปด้วยเลือดสีแดงสดกำลังฟาดลงมาที่เขา ในขณะที่เผยอวี่ ชุยซิวหงและคนอื่น ๆ ที่อยู่ไกล ดูจะคิดว่าตัวเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน จึงแสดงสีหน้าอำมหิตและยินดีออกมา
นอกจากนี้ ใบหน้าของฉินเซียว ปี้หลิงอวิ้นและคนอื่น ๆ ก็เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย เหยียดหยามและไม่แยแส… ราวกับว่าทุกคนกังวลและอยากให้เขาตายโดยเร็วที่สุด
เฉินซีเป็นเหมือนหมาป่าเดียวดายที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง จิตใจของเขาในขณะนี้สงบนิ่งเป็นพิเศษ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเผยรอยยิ้มที่เปื้อนคราบเลือดบาง ๆ และไม่ได้สนใจศัตรูที่น่ารังเกียจเหล่านี้อีกต่อไป
ดวงตาของเขาลุกโชนและจดจ้องไปที่ตัวอักษร ‘戮’ ซึ่งกำลังลงมาจากท้องฟ้าอย่างแน่วแน่ และใบหน้านั้นก็เต็มไปด้วยท่าทีที่ไม่ยอมใครและดื้อรั้น
ตู้ม!
ตัวอักษร ‘戮’ เปล่งแสงสุดท้ายออกมาและทำให้สภาพแวดล้อมทั้งหมดพร่ามัว ไม่มีใครสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน ทำให้พวกเขาสัมผัสได้เพียงพลังอันทรงอานุภาพที่แผ่กระจายออกไป
แม้ว่าชีวิตของตนจะตกอยู่ในอันตราย แต่เฉินซีก็ยังคงดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ เขาสะบัดแขนขึ้นไปบนท้องฟ้าและระเบิดออกด้วยพายุสายฟ้าแลบแปลบปลาบซึ่งพุ่งเข้าหาตัวอักษร ‘戮’ อย่างดุดัน
แต่โชคไม่ดีที่การโจมตีครั้งสุดท้ายของประกาศิตเซียนสวรรค์นี้ทรงอานุภาพเกินไป และสามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ในโลกได้ แม้ว่าพายุสายฟ้าของเฉินซีจะทรงพลัง แต่หลังจากปะทะกับตัวอักษร ‘戮’ มันก็ถูกบดขยี้และถูกทำลายลงอย่างง่ายดายเหมือนเศษกระดาษ และไม่อาจขัดขวางได้เลยสักนิด
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีก็พร้อมที่จะเสี่ยงทุกอย่าง เขาใช้กำลังทั้งหมดอย่างไม่เกรงกลัวเพื่อรีดเค้นปราณจ้าววิญญาณทั้งหมดในร่างกายออกมา และระเบิดพายุสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนออกไปอีกครั้ง!!
อย่างไรก็ตาม พลังของมันยังอ่อนแอเกินไป จึงไม่อาจทำให้ตัวอักษร ‘戮’ ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย จากนั้นตัวอักษร ‘戮’ ก็พุ่งทะลวงพายุสายฟ้าชั้นแล้วชั้นเล่าจนมาถึงตรงหน้าชายหนุ่มและโจมตีลงมาที่เขาโดยตรง!
“ในที่สุดช่วงเวลานี้ก็มาถึงแล้วเหรอ…” เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองไปยังตัวอักษร ‘戮’ ที่ลงมาจากท้องฟ้าและอยู่ตรงหน้าใกล้แค่เอื้อม ดวงตาของเขายังคงดื้อรั้นและไม่ยอมแพ้ อีกทั้งยังไม่ได้ดับความตั้งใจอันแน่วแน่ที่มี
แม้ว่าสุดท้ายจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่เขาจะไม่ประนีประนอมหรือแสดงความอ่อนแอออกมาเด็ดขาด เพราะนั่นคือการยอมแพ้ต่อชีวิตของเขาเอง ตราบใดที่หลังของเขายังคงตรงตระหง่านค้ำฟ้าอยู่ สวรรค์และโลกก็ไม่อาจทำให้เขายอมจำนนได้!
ในช่วงเวลาวิกฤตอย่างยิ่งยวดนี้ จู่ ๆ เฉินซีก็รู้สึกว่าหน้าอกของตนกำลังลุกไหม้อย่างรุนแรง และกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวก็แผ่ซ่านออกมา จากนั้นกระแสแสงศักดิ์สิทธิ์ก็พวยพุ่งและคว้าจับไปที่ตัวอักษร ‘戮’
ราวกับว่ามีหลุมดำอยู่บนหน้าอกของเขา และมันก็กลืนกินอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เฉินซีรู้สึกราวกับว่าเขากำลังถูกเผาไหม้อยู่ในเตากลั่น ในขณะที่ทั้งหน้าอกของเขากำลังปล่อยหินหลอมเหลวออกมา พลังงานที่แผดเผาและลุกโชนมากเกินไปนี้ทำให้ชายหนุ่มไม่อาจอดกลั้นจนต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และรู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังจะระเบิด
“อ๊ากกก!” ภายในประกายแวววาวอันไร้ขอบเขต เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเฉินซีก็ดังก้องออกมา
ทุกคนที่ชมการต่อสู้จากระยะไกลต่างก็ถอนหายใจ “ช่างน่าเสียดาย! คนที่มีพรสวรรค์และเก่งกาจเช่นนี้กลับเสียชีวิตลงแล้ว!” พวกเขาไม่มีความจำเป็นที่ต้องจะคิดอีกต่อไป เพราะเฉินซีจะต้องถูกประกาศิตเซียนสวรรค์ทำลายลงอย่างแน่นอน
เผยอวี่ ชุยซิวหง และเว่ยมู่อวิ๋นล้วนหัวเราะอย่างเย็นชา… แม้แต่คนทั้งสามกลุ่มและผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะจากราชวงศ์เทียนหลาง ราชวงศ์เสวี่ยหง ราชวงศ์ตงเซี่ย ราชวงศ์ต้าเฉียน และราชวงศ์ต้าเสวียนที่เป็นศัตรูกับเฉินซีก็กำลังหัวเราะเช่นกัน
“ต่อให้เจ้ามีศักยภาพที่น่าภาคภูมิใจของอัจฉริยะแล้วอย่างไร? ไม่ว่าใครก็ตามที่กล้าฝ่าฝืนเจตจำนงของประกาศิตเซียนสวรรค์จะต้องตายอย่างแน่นอน”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเฉินซียังคงดังก้องอยู่ในหูของเผยอวี่และคนอื่น ๆ ซึ่งดูเหมือนกับการฟังเสียงอันไพเราะของธรรมชาติ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจและยินดีปรีดา
น่าเสียดายที่แสงนั้นเจิดจ้าเกินไป ทำให้ไม่มีใครสามารถเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงคาดเดาตามตรรกะว่า การโจมตีครั้งสุดท้ายของประกาศิตเซียนสวรรค์กำลังค่อย ๆ ฆ่าเฉินซีทีละนิด
“ช่างน่าเสียดาย! มิฉะนั้น เขาจะเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นอย่างแน่นอน และถ้ามีชีวิตรอด เขาจะสามารถผ่านการทดสอบขั้นสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาล เข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ เพื่อฟาดฟันกับตัวตนที่โดดเด่นได้อย่างแน่นอน!”
“ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะประกาศิตเซียนสวรรค์นี้ คงไม่มีใครในบรรดาผู้บ่มเพาะที่จะสามารถฆ่าเขาได้… นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงบอกว่าสวรรค์มักจะอิจฉาอัจฉริยะ?”
นอกจากเผยอวี่และคนอื่น ๆ ยังมีคนมากมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และพวกเขาก็ไม่ได้เป็นศัตรูกับเฉินซี ซึ่งพวกเขาทั้งหมดในขณะนี้ล้วนรู้สึกเห็นใจกับสิ่งที่เฉินซีเผชิญอยู่
อัจฉริยะที่ร้ายกาจและไร้เทียมทานกลับล้มลงเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน มิฉะนั้น อีกฝ่ายคงจะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกและกลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่น่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง!
น่าเสียดายที่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว
“ไอ้สารเลวนี่น่าจะตายไปนานแล้ว ผู้เป็นเซียนนั้นสูงส่งเหนือพวกเราทุกคน และมดเช่นมันจะต่อกรกับเซียนได้อย่างไร ผนึกยันต์นั้นช่างสูญเปล่ายิ่งนัก แม้ว่าไอ้สารเลวตัวนี้จะตายไปแล้ว แต่เราก็ไม่สามารถกู้คืนมันกลับมาได้” ชุยซิวหงหัวเราะอย่างเย็นชา และเขาก็ดีใจอย่างสุดจะบรรยายที่ได้เห็นเฉินซีตายด้วยสองตาของตนเอง
คนอื่น ๆ เห็นด้วยอย่างมากเช่นกัน หากไม่มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เฉินซีจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยและถูกบดขยี้เป็นเศษเนื้อก่อนจะสลายหายไป เพราะนี่คือประกาศิตเซียนสวรรค์ ซึ่งรวมเจตจำนงของเซียนผู้สูงส่งเอาไว้และมันจะไม่ทนต่อการดูหมิ่นใด ๆ และถ้าใครต่อต้านมัน คนผู้นั้นจะต้องพบกับจุดจบจนถูกทำลายไม่เหลือซากอย่างแน่นอน
แต่มีเพียงเผยอวี่เท่านั้นที่รู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก แม้ว่าเขาจะหัวเราะอย่างเย็นชาก็ตาม เพราะเดิมทีชายหนุ่มคิดว่าการทำลายเฉินซีจะเป็นเรื่องง่ายมาก แต่ไม่เคยคิดมาก่อนจนกระทั่งตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะต้องยอมใช้แก่นโลหิตจำนวนมหาศาลและอายุขัยเป็นเครื่องสังเวยเท่านั้น แต่เขายังใช้ไพ่ตายที่สำคัญที่สุดจนหมดสิ้น ทำให้เขารู้สึกว่าทั้งหมดนี้ไม่คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปเลยสักนิด!
…
ท่ามกลางแสงที่ส่องประกายระยิบระยับ ร่างกายของเฉินซีเปล่งประกายวาวราวกับหยก โดยเฉพาะที่หน้าอกของเขา ซึ่งเหมือนกับชิ้นส่วนของหินหยกที่เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์สีขาวน้ำนมอันพร่างพราวและเจิดจ้าออกมา อีกทั้งยังเปล่งรัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่น่าตกตะลึงเช่นเดียวกัน
มันเป็นหม้อกลั่นที่มีขนาดเล็กเท่านิ้วก้อย เป็นผลึกสมบูรณ์และโปร่งแสงราวกับว่าถูกสร้างขึ้นจากหินหยกที่ไร้ตำหนิที่สุดในโลก และมันก็คือสมบัติของทวยเทพที่เฉินซีได้รับมา!
ที่ด้านล่างของแม่น้ำกระดูกก่อนหน้านี้ หม้อกลั่นใบนี้ได้ดูดซับความเป็นเทพ เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ และตราเต๋ารู้แจ้งทั้งหมดจากศพของทวยเทพ จากนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบ ทำให้มันดูลึกลับและน่าสะพรึงกลัว
เนื่องจากเฉินซีไม่สามารถเก็บหม้อกลั่นไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ได้ เขาจึงทำได้เพียงแขวนมันไว้บนหน้าอกของเขา แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจู่ ๆ มันจะตื่นขึ้นในขณะนี้และช่วยเขาต้านทานการโจมตีที่ร้ายแรงนี้
ชี่! ชี่!
หม้อกลั่นเรืองแสงออกมา และลำแสงเหล่านี้เป็นเหมือนเส้นใยที่พันรอบตัวอักษร ‘戮’ เอาไว้ มันกำลังดูดซับแก่นแท้และเจตจำนงเก็บเอาไว้ และในระหว่างขั้นตอนนี้ เนื่องจากหน้าอกของเขากับหม้อกลั่นสัมผัสกัน จึงมีส่วนหนึ่งของกระแสน้ำอุ่นแปลกประหลาดที่เปลี่ยนเป็นพลังงานไหลหลั่งเข้าสู่ร่างกายของเฉินซีอย่างมหาศาล
ทันใดนั้นก็มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น ร่างกายที่ถูกปกคลุมด้วยรูเลือดนับไม่ถ้วนของเฉินซีกำลังเริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับพลังงานมหาศาลที่ถาโถมเข้ามา
อาการบาดเจ็บและรอยเลือดค่อย ๆ หายไปทีละนิด
แม้แต่กระดูกที่หัก เส้นลมปราณที่ฉีกขาด และท้องทะเลแห่งลมปราณที่แห้งเหือดของเขาก็ดูเหมือนกับว่ามันได้รับน้ำฝนหลังจากผ่านภัยแล้งมาอย่างนานนาน และกำลังฟื้นตัวให้กลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ อีกทั้งยังเติมเต็มอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
ครืนนน!
ปราณแท้ที่เหือดแห้งของเขากลับปรากฏขึ้นอีกครั้งราวกับแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลเวียนด้วยพลังงานอันยิ่งใหญ่ที่ผ่านไปตามเส้นลมปราณในร่างกาย ในขณะที่แกนทองคำที่สลัวมากของเขากลับเปล่งแสงสีทองอันไร้ขอบเขตออกมา!
ในเวลาเดียวกัน กระแสปราณจ้าววิญญาณอันทรงพลังก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง โดยปราณจ้าววิญญาณที่กำลังพลุ่งพล่านได้ส่งเสียงหวีดหวิวขณะที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มถูกเติมเต็มและเปล่งประกายพลังชีวิตที่ไร้ขอบเขตออกมา
คราบเลือดที่อยู่ตามร่างกายของเขาก็ระเหยไปจนหมด ผิวกลายเป็นผลึกเหมือนแก้วและไม่มีคราบแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาลึกล้ำและพร่างพราวราวกับดวงดาว นอกจากเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งเล็กน้อยในขณะนี้แล้ว เขาแทบไม่แตกต่างจากตอนที่อยู่ในสภาพพร้อมสูงสุดเลย!
‘ช่างเป็นพลังงานที่น่าเกรงขามนัก ดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยของความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมันสามารถทำให้ข้าฟื้นตัวได้ในทันที ต้นกำเนิดของหม้อกลั่นใบนี้จะต้องทรงพลังถึงขีดสุดอย่างแน่นอน และมันอาจเป็นสมบัติล้ำค่าที่เหล่าทวยเทพครอบครอง!’ เฉินซีสัมผัสได้ถึงพลังงานที่พลุ่งพล่านและมหาศาลภายในร่างกายของเขา ความกล้าหาญและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ไร้ขอบเขตได้จุดประกายขึ้นในหัวใจของชายหนุ่มอีกครั้ง!
ตู้ม!
ตัวอักษร ‘戮’ ในขณะนี้แตกเป็นเสี่ยง ๆ และหายไปตลอดกาล ในขณะที่หม้อกลั่นดูจะกลืนกินจนเต็มเปี่ยม ทำให้แสงศักดิ์สิทธิ์ของมันถูกยับยั้งก่อนจะตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
การหายไปของแสงเจิดจ้าทำให้สถานที่แห่งนี้กลับสู่ความสงบ มีเพียงร่างสูงและโดดเดี่ยวของเฉินซีเท่านั้นที่ยังคงเหมือนหอกขนาดใหญ่ที่แทงทะลุท้องฟ้า
“อะไรกัน!? เขารอดแล้วจริง ๆ! แม้แต่การโจมตีครั้งสุดท้ายของประกาศิตเซียนสวรรค์ก็ไม่สามารถฆ่าเขาได้?!” ผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนล้วนประหลาดใจและไม่กล้าเชื่อสายตาของพวกเขา เนื่องจากผลลัพธ์นี้เกินความคาดหมายของทุกคน เนื่องจากทุกคนคิดว่าชายหนุ่มจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นพวกเขาจะคิดได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายจะยังคงมีชีวิตรอด!
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บทั่วร่างกายจะได้ฟื้นตัวและหายเป็นปกติแล้ว ทำให้กลิ่นอายของเฉินซีทรงพลังมากยิ่งขึ้น!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!? นั่นเป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งแสดงถึงเจตจำนงของผู้เป็นเซียน! มดปลวกเช่นเขาจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร!!” ชุยซิวหงตกตะลึงราวกับว่าเห็นภูตผีอันน่ากลัว และอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา
รอยยิ้มอันเย็นชาบนใบหน้าของเผยอวี่แข็งตัวทันทีและรูม่านตาของเขาก็ขยายออก “ประกาศิตเซียนสวรรค์นั่นเป็นไพ่ตายของข้า ดังนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรที่เฉินซียังรอดมาได้?”
ในขณะนี้ หัวใจของฉินเซียว ปี้หลิงอวิ้น และผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ที่เป็นศัตรูกับเฉินซีพลันกระตุกขึ้นมา และสีหน้าของพวกเขาก็หนักอึ้งเป็นอย่างมาก
“นี่มันน่าสะพรึงเกินไปแล้ว!”
“คนผู้นี้ไม่เพียงแต่รอดชีวิตจากประกาศิตเซียนสวรรค์เท่านั้น ดูเหมือนเขาจะฟื้นพลังทั้งหมดและบรรลุสถานะสูงสุดที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่…เ ขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?”
“สวรรค์ไม่ยุติธรรม! สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม!” ทัศนวิสัยของเผยอวี่มืดลง เขารู้สึกโกรธจนร่างกายสั่นสะท้าน จากนั้นจึงกระอักเลือดออกมาเต็มปาก เนื่องจากได้ใช้แก่นโลหิตและอายุขัยไปเป็นจำนวนมากก่อนหน้านี้ ดังนั้นในขณะนี้ ความโกรธจึงพุ่งเข้าใส่หัวใจ จนเกือบทำให้พลังชีวิตปรวนแปรและลมปราณแตกซ่าน
ผู้ชมที่อยู่ห่างไกลอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเมื่อเห็นฉากนี้ ในฐานะองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าจิ้นซึ่งเป็นราชวงศ์ระดับสูง เผยอวี่จึงมีสถานะสูงส่งและความแข็งแกร่งอันน่าเกรงขาม ทว่า…เขากลับไม่อาจทำสิ่งใดกับชายหนุ่มจากราชวงศ์ระดับกลาง และแม้แต่การใช้ประกาศิตเซียนสวรรค์ก็ยังไร้ประโยชน์ ถ้าหากเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็คงจะโกรธเหมือนเผยอวี่และตกอยู่ในสถานะนี้เช่นกันใช่หรือไม่?
“คนผู้นี้ไม่อาจมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ทุกคนมาลงมือไปด้วยกันเถิด เราต้องทำลายล้างมันในวันนี้ มิฉะนั้น หากปล่อยให้มันเติบโตต่อไป มันจะเป็นหายนะสำหรับพวกเราทุกคน!” ชุยซิวหงคำรามเสียงดัง
“ใช่แล้ว เราปล่อยมันไปไม่ได้! แม้แต่ประกาศิตเซียนสวรรค์ก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้ ดังนั้น หากมันมีโอกาสที่จะแข็งแกร่งขึ้น มันจะกลายเป็นฝันร้ายของพวกเราทุกคนอย่างแน่นอน!”
ฉินเซียว ปี้หลิงอวิ้นและคนอื่น ๆ ในขณะนี้ไม่สามารถยับยั้งเจตนาฆ่าในใจได้อีกต่อไป พวกเขาทุกคนตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า พวกตนได้ทำให้เฉินซีขุ่นเคืองใจไปแล้วในวันนี้ และถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ต่อไป พวกเขาอาจจะกินไม่ได้และนอนไม่หลับ!
เพราะความแข็งแกร่งที่เฉินซีแสดงออกมานั้นดูทรงพลังและไม่ธรรมดาจริง ๆ หากคนเช่นนี้เติบโตขึ้น จะต้องกลายเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามอย่างไม่มีใครเทียบได้ แล้วพวกเขาจะปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?