บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 472 ห้วงอันตราย
บทที่ 472 ห้วงอันตราย
บทที่ 472 ห้วงอันตราย
ในเวลาเพียงไม่นาน ผู้คนจึงพบว่าพละกำลังที่เพิ่มทวีคูณของฉินเซียวนั้นมาจากชุดเกราะทองคำที่เขาสวมใส่อยู่ ชุดเกราะเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าก่อรูปเป็นมังกรเก้าตัว ทำให้พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
“นี่มัน… สมบัติอะไรกัน?” ผู้คนต่างอุทานด้วยความชื่นชม ฉินเซียวคู่ควรกับการเป็นอัจฉริยะที่น่าภาคภูมิแห่งราชวงศ์ระดับสูง เพราะเขาไม่เพียงแต่ครอบครองสมบัติกึ่งอมตะอย่าง ผนึกก่อขุนเขาเท่านั้น แม้แต่ชุดเกราะทองคำที่เขาสวมอยู่ก็น่าเกรงขามอย่างยิ่ง ทรัพยากรที่เขาครอบครองเป็นสิ่งที่ราชวงศ์ธรรมดาไม่อาจหาใครเทียบได้
“สมบัติกึ่งอมตะ เกราะมังกรทอง! ในที่สุดองค์ชายก็ได้ใช้อาวุธสุดยอดชิ้นนี้แล้ว” ดวงตาของเหวยคงที่อยู่ใกล้เคียง ปะทุแสงเย็นออกมาพลางพึมพำ เขามาจากราชวงศ์ต้าฉินเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงทราบว่าพลังของเกราะมังกรทองนั้นน่าเกรงขามเพียงใด
ชุดเกราะชุดนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้พละกำลังของฉินเซียวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดราวกับว่ามีพละกำลังของมังกรเก้าตนเท่านั้น แต่ยังเป็นสมบัติวิเศษที่มีการป้องกันไม่ธรรมดาอีกด้วย ซ้ำยังเป็นสมบัติกึ่งอมตะ ทำให้มันน่าเกรงขามมากจนถึงจุดที่ใคร ๆ ก็ทำได้แค่ฝันที่จะใช้สมบัติวิเศษระดับธรรมดาเจาะทะลวงการป้องกันของมัน
เฉินซีเหลือบมองไปยังฉินเซียวอย่างเย็นชาและไม่แยแส ก่อนที่จะหันกลับมาอีกครั้ง เขาทราบดีว่าหากต่อสู้ติดพันกับฉินเซียว ตนเองก็อาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังได้ ในยามนั้น ต่อให้พวกเขาจะไม่ทำการสังหาร ทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังมาเยือนท้องนภาก็เพียงพอที่จะบดขยี้เขาเป็นผงธุลี!
“คิดจะหนีหรือ ฝันไปเถอะ!” ฉินเซียวปิดกั้นเส้นทางหนีของเฉินซี เขากำลังถือผนึกก่อขุนเขาไว้ในมือก่อนที่จะใช้มันทุบไปยังชายหนุ่ม
ในขณะเดียวกัน ปี้หลิงอวิ้นก็ใช้โอกาสนี้พุ่งจู่โจมเช่นกัน นางกลายร่างเป็นอสูรบินอันไร้เทียมทาน กระเรียนโลกันตร์ ขาหนึ่งข้างของนางปล่อยลำแสงที่ลุกโชนออกมาซึ่งมีอักขระยันต์วูบไหวไปมาและเปล่งความล้ำลึกของมหาเต๋าที่ผ่าท้องฟ้าลงมาหาอีกฝ่ายราวกับการจู่โจมจากเทพอสูรที่ตั้งใจจะฉีกเฉินซีเป็นชิ้น ๆ ภาพและพลังอำนาจซึ่งเกิดขึ้นจากพละกำลังของนางเพียงผู้เดียวนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุดไม่แพ้ฉินเซียว
“ไม่มีใครหยุดข้าได้! วันนี้ข้าจะฝ่าฟันทัณฑ์แห่งการจุติให้พวกเจ้าทุกคนได้เห็น!” เฉินซีกัดฟันในขณะที่เขาจู่โจม ส่งคลื่นเพลิงที่ลุกโชนจากพัดเข้าปะทะกับศัตรู!
ตู้ม!
ศึกระหว่างพวกเขาทั้งสามคนสั่นสะเทือนโลกา ลำแสงพุ่งออกมาและเขย่าท้องนภาในขณะที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง มันทำลายผืนปฐพีและบดขยี้ห้วงมิติ ซึ่งเผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการต่อสู้ในครั้งนี้น่าสะพรึงกลัวและดุเดือดเพียงใด
“ในที่สุดก็มีผู้สามารถต่อกรกับเฉินซีได้…” ฝูงชนที่อยู่ห่างออกไปถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้
…เพราะหากปล่อยให้เฉินซีเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ พวกเขาคงจะกังวลจริง ๆ ว่าใจคงจะกลัวจนรับไม่ไหว
แต่ถึงกระนั้น พละกำลังที่เฉินซีแสดงออกมาก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตะลึงงัน ชายหนุ่มต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสองคนด้วยตัวคนเดียวในขณะที่อยู่ภายใต้การคุกคามของทัณฑ์ทั้งสอง ทว่ายังสามารถปกป้องตัวเองไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบในระหว่างการต่อสู้ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพละกำลังของเขานั้นน่าเกรงขามเพียงใด
ฟิ้ว!
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็แวบขึ้นบนท้องนภา ร่างนั้นยืนอยู่บนลำแสงสีทองที่ทะลุทะลวงเวหาพร้อมกับเปล่งแสงสีทองที่พร่างพราวราวกับทวยเทพลงมาสู่สนามรบอันดุเดือด มือของร่างนั้นกำลังวาดกระบี่ออกไป
“เผยอวี่่!”
“สมบัติกึ่งอมตะ กระบี่โศกนภา!”
“ไม่ใช่ว่าคนผู้นี้อ่อนแรงมากหลังจากที่ใช้แก่นโลหิตและอายุขัยเพื่อเป็นเครื่องสังเวยแก่ประกาศิตเซียนสวรรค์แล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงฟื้นกลับสู่สภาพเดิมได้? หรือว่าจะกินโอสถบางอย่างเข้าไป?”
ขณะที่พวกเขามองไปยังร่างที่คุโชนไปด้วยเจตจำนงกระบี่ของเผยอวี่่ ซ้ำยังคึกคะนองกว่าเก่าตั้งแต่ได้ถือกระบี่โศกนภาเข้าร่วมการต่อสู้ บรรดาฝูงชนต่างตกใจ และไม่อาจหยั่งได้ว่าเหตุใดเผยอวี่่ที่อ่อนแออย่างยิ่งจึงฟื้นกลับสู่สภาพสมบูรณ์ก่อนหน้านี้ได้ในทันใด
การผงาดอันยิ่งใหญ่ของเผยอวี่่ทำให้สถานการณ์ของเฉินซีพลันอันตรายขึ้นมาทันที
มันช่วยไม่ได้ เพราะพวกเขาทั้งสามเป็นอัจฉริยะที่น่าเกรงขามที่สุดในบรรดาผู้เข้ามาในเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น คนหนึ่งถือผนึกก่อขุนเขาขณะสวมชุดเกราะมังกรทอง ทำให้เขาทรงพลังและน่ายำเกรง อีกคนหนึ่งแปลงเป็นร่างแท้ กระเรียนโลกันตร์ ขาของนางเป็นเหมือนมือของเทพอสูรที่ฉีกโลกาเป็นชิ้น ๆ ส่วนคนสุดท้ายก็ฟื้นพลังชีวิตกลับสู่สภาวะสูงสุด และยังถือกระบี่โศกนภาไว้ในมือพร้อมกับปลดปล่อยเจตจำนงสังหารพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา
พลังอำนาจของพวกเขาในขณะนี้นั้น เมื่อรวมพลังกันก็เพียงพอที่จะทำลายผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติได้อย่างง่ายดาย หากอยู่ในสภาวะปกติ เฉินซีก็ยังพอมีพละกำลังต่อกรกับคนทั้งสามได้ ทว่าเฉินซีในขณะนี้ถูกห้อมล้อมด้วยทัณฑ์สวรรค์ ทำให้เขาต้องทนทุกข์กับปัญหาทั้งภายในและภายนอก ซึ่งเรียกได้ว่าหนุ่มตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวงในช่วงเวลาพริบตา!
ตู้ม!
หลังจากการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เฉินซีและฉินเซียวต่างถูกระเบิดจนปลิวกระเด็น การต่อสู้ที่นองเลือดเช่นนี้เป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งนัก เนื่องจากกระบวนยุทธ์และสมบัติวิเศษโหมกระหน่ำราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก ขณะที่แสงเจิดจ้าปกคลุมสวรรค์และปฐพี เป็นฉากที่สุดแสนจะดุดัน
เสียงแหลมดังทะลุเวหา ปี้หลิงอวิ้นกระโจนเข้ามาทันทีที่เห็นเฉินซีถูกระเบิดกระเด็นออกไป
กระเรียนโลกันตร์เป็นสัตว์ปีกในสมัยโบราณ เป็นการดำรงอยู่ที่ครั้งหนึ่งเคยฉีกทวยเทพออกเป็นชิ้น ๆ ตามข่าวลือ ในฐานะที่เป็นทายาทของสัตว์อสูรที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ พละกำลังของปี้หลิงอวิ้นจึงน่าเกรงขามโดยไม่ต้องสงสัย เกล็ดขาของนางเปล่งประกาย ปกคลุมด้วยเต๋ารู้แจ้ง ทำให้มันดูสวยงามระยิบระยับ แม้แต่ภูผาก็สามารถถูกฉีกให้กลายเป็นเศษฝุ่นได้อย่างง่ายดายด้วยกรงเล็บของนาง หากเฉินซีถูกกรงเล็บเข้า เขาจะต้องถูกฉีกจนเหลือแต่ชิ้นเนื้ออย่างแน่นอน
ตู้ม!
ในสถานการณ์ที่วิกฤตเช่นนี้ เฉินซีโต้กลับด้วยมือซ้ายและใช้หมัดปะทะกับกรงเล็บที่แหลมคมและใหญ่โตของกระเรียนโลกันตร์ การปะทะของทั้งสองคนก่อให้เกิดแสงจ้าอันไร้ขอบเขตในทันที
ยิ่งกว่านั้น เฉินซียังถูกโจมตีจนกระอักเลือดออกมาและได้รับบาดเจ็บสาหัส
ฟิ้ว!
ดวงตาของกระเรียนโลกันตร์เป็นสีทองใสกระจ่าง ปีกสีเขียวสดของมันกระพือไปมาก่อนที่มันจะบินโฉบลงมาอีกครั้ง ทำให้เกิดพายุโหมกระหน่ำจนสั่นสะท้านโลกา
โอม!
อักขระยันต์แพรวพราวมากมายปรากฏขึ้นบนร่างกายของมัน อักขระยันต์เหล่านี้เป็นตรามหาเต๋าซึ่งติดตัวอสูรมาแต่กำเนิด มันบรรจุอภิมหาความล้ำลึกที่เปล่งแสงเจิดจ้าทันทีที่ถูกเปิดใช้
เสียงของเต๋าที่ฟังเหมือนบทสวดมนต์ของทวยเทพแว่วมาทำให้โลกาสั่นสะเทือน หลังจากนั้น เสียงจึงเริ่มดังมากขึ้นจนเหมือนกับระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวและพุ่งเข้าหาเฉินซี
นี่คือกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าโดยกำเนิดของกระเรียนโลกันตร์ ซึ่งเป็นการโจมตีด้วยคลื่นเสียง มันสามารถทำให้จิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บหรือถึงขั้นกำจัดดวงวิญญาณโดยตรงก็ย่อมได้ ในขณะนี้ คลื่นเสียงนี้เปลี่ยนเป็นระลอกคลื่นที่ทำให้ชิ้นส่วนห้วงมิติระเบิดทันทีที่เสียงกระจายออกไป ส่งผลให้หุบเขามหาศาลกลายเป็นผุยผงตาม ๆ กัน เพียงระลอกคลื่นอ่อน ๆ ก็ทำให้สวรรค์และปฐพีตกอยู่ในความโกลาหล!
โครม!
เฉินซีรู้สึกวิตกเมื่อเนตรเทวะแห่งความจริงของเขาสังเกตเห็นอันตราย ชายหนุ่มใช้มือซ้ายฟาดออกไปหลายครั้งเพื่อควบแน่นวังวนอัสนีจำนวนนับไม่ถ้วนที่พวยพุ่งออกมา ก่อนจะปะทะกับระลอกคลื่นเสียงของกระเรียนโลกันตร์และพังทลายลงพร้อมกับมัน
หัวใจของทุกคนไปอยู่ที่ตาตุ่ม การต่อสู้ระดับนี้ทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวัง เนื่องจากแม้จะถึงขีดจำกัดของขอบเขตแกนทองคำแล้ว แต่ผู้ใดจะเทียบพละกำลังเยี่ยงนี้ได้? เพียงแค่ต่อกรกับมันก็เท่ากับตาย!
เฉินซีกับปี้หลิงอวิ้นกำลังต่อสู้ติดพัน ทั้งคู่พุ่งเข้าใส่กันอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะถูกระเบิดกระเด็นออกไปพร้อมกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเซียวและเผยอวี่่ในขณะนี้ยังทำการจู่โจมอีกครั้ง การปะทะอย่างต่อเนื่องทำให้อาการบาดเจ็บของเฉินซีสาหัสยิ่งขึ้น ซ้ำยังมีรอยแผลสิบที่ซึ่งเห็นเลือดไหลออกมาได้ชัดอยู่ทั่วร่างกายของเขา หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ชายหนุ่มอาจถูกตัดเป็นสองท่อนได้!!
สถานการณ์เลวร้ายยิ่ง เฉินซีกำลังอาบเลือดในขณะที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย ไม่ว่าจะน่าเกรงขามเพียงใด เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บหนักจนร่างกายเกือบทรุด มีความเป็นไปได้สูงที่ชายหนุ่มจะล้มตายที่นี่หลังจากถูกสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสามคนปิดล้อม
สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคือการที่เพลิงลงทัณฑ์ในร่างกายของเขาที่ลุกไหม้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้แกนทองคำของชายหนุ่มหลอมละลายเป็นก้อนของเหลวที่เคยลอยอยู่ในตำแหน่งที่ควรอยู่ และหากมันเผาไหม้ไปมากกว่านี้ ก็อาจถูกเพลิงลงทัณฑ์แผดเผาจนไม่เหลือชิ้นดี!
เมื่อแกนทองคำถูกทำลาย มันก็ไม่ต่างจากการที่รากฐานแห่งเต๋าสูญสลาย ในเวลานั้น ไม่ต้องพูดถึงการบ่มเพาะเลย แม้แต่จะเอาชีวิตรอดก็ยังยาก
สายฟ้าลงทัณฑ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในท้องนภาเริ่มควบแน่นขึ้น ส่งเส้นสายอัสนีในรูปลักษณ์ของเจดีย์ ระฆัง หม้อน้ำ เตาหลอม ตราผนึก และอาวุธอื่น ๆ ที่ใช้บดขยี้ศัตรูให้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพลังทำลายล้างที่ปลดปล่อยออกมาจะน่ากลัวยิ่ง มันก็ไม่ได้ส่งสายฟ้าลงทัณฑ์ลงมาจนถึงตอนนี้ ดูคล้ายกำลังสะสมพละกำลังซึ่งทุกครั้งที่คิดถึงก็รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมา
‘เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดสายฟ้าลงทัณฑ์จึงไม่ลงมาเสียที แล้วข้าจะเอาชนะมันได้อย่างไร?’ เฉินซีครุ่นคิดในจังหวะที่กำลังต่อสู้กับศัตรูที่น่าเกรงขามของเขา เลือดไหลออกมาจากมุมปากขณะที่ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อกระตุ้นพลังในร่างกายด้วยความตั้งใจที่จะทำให้สายฟ้าลงทัณฑ์ลงมา
ตู้ม!
เฉินซีถูกผนึกก่อขุนเขาของฉินเซียวทุบลงกลางหลัง ทำให้ร่างของชายหนุ่มปลิวว่อนและกระแทกเข้ากับหินก้อนใหญ่จนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ระหว่างทางก่อนที่จะจมไปกับดิน คราบเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วพื้น
กระเรียนโลกันตร์พุ่งลงมาด้วยความตั้งใจที่จะใช้กรงเล็บจัดการเฉินซีอีกครั้งก่อนที่จะทำการยึดพัดนกยูงเพลิง
เฉินซีโกรธมากในขณะนี้ เดิมทีเขาหวังจะผ่านบทลงทัณฑ์ในขณะที่อยู่เบื้องหน้าโถงโบราณ ก่อนที่จะบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนที่ปิดล้อม ทว่าเขาไม่เคยคาดคิดว่ามีเพียงเพลิงลงทัณฑ์เท่านั้นที่กำลังเผาไหม้ร่างกายของเขา ทว่าสายฟ้าลงทัณฑ์กลับยังไม่ฟาดลงมาเสียที มันทำให้แผนการของเขาไม่อาจดำเนินต่อไปได้ และตอนนี้เขาก็กำลังถูกบีบบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง และต้องเผชิญหน้ากับความตายที่คืบคลานเข้ามา ดังนั้นจะไม่โกรธได้เยี่ยงไร?
ในขณะนี้ เขารู้สึกราวกับว่าแม้แต่สวรรค์ก็ยังเล่นงานเขา!
เฉินซีโมโหมาก โมโหจนถึงขั้นที่จิตวิญญาณ ปราณ และแก่นแท้ของเขายังเผยให้เห็นร่องรอยของความบ้าดีเดือด แผ่นหลังของชายหนุ่มเกือบแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากการถูกผนึกก่อขุนเขาของฉินเซียวทุบเข้าไป ทำให้เลือดไหลออกมา ซ้ำยังมากเกินกว่าที่จะใช้ปราณจ้าววิญญาณซ่อมแซม ทำให้เขาสูญเสียพลังต่อสู้โดยสิ้นเชิง
“บ้าเอ๊ย! ในเมื่อสวรรค์ไม่เข้าข้าง เช่นนั้นข้าก็จะใช้พลังที่มีบุกฝ่าเข้าไปนี่แหละ!” เฉินซีกัดฟัน ความบ้าคลั่งฉายวาบในดวงตาของเขา สายตาแฝงความอำมหิตและความมุ่งมั่น
วูบ!
ในขณะเดียวกัน กรงเล็บของกระเรียนโลกันตร์ได้ฉีกทะลุท้องนภาและมาถึงตรงหน้าเขาแล้ว ซึ่งทำให้เกิดลมแรงพัดกระหน่ำในบริเวณโดยรอบ เพียงแค่พละกำลังที่แผ่ออกมาจากกรงเล็บก็มากพอที่จะทำให้เกิดหลุมขนาดมหึมาบนพื้นดิน
ตู้ม!
เฉินซีพลันเงยหน้าขึ้นก่อนจะยื่นมือออกไปจับกรงเล็บที่มีขนาดมหึมาของกระเรียนโลกันตร์โดยตรง ในจังหวะเดียวกันนั้น เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องขึ้นรอบตัวเขา วังวนอัสนีจำนวนมหาศาลปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง วังวนเหล่านี้หมุนวนอย่างบ้าคลั่งขณะที่เริ่มกลืนกินแก่นแท้ภายในร่างของกระเรียนโลกันตร์
“เจ้ามันเป็นแค่มดปลวดจากราชวงศ์ระดับกลาง ไม่ว่าการบ่มเพาะของเจ้าจะน่ากลัวเพียงใด! ในเมื่อเจ้ากล้าล่วงเกินศักดิ์ศรีขององค์รัชทายาทเช่นข้า มันก็จะไม่มีใครบนโลกนี้สามารถช่วยเจ้าได้! ตายซะ!” ฉินเซียวพุ่งเข้าโจมตีราวกับเป็นเจ้าเหนือหัวที่ลงมายังโลก เขาจู่โจมใส่เฉินซีโดยตรง
เปรี้ยง!
เฉินซีรับการโจมตีนี้ด้วยมืออีกข้างของเขาก่อนจะคว้ามือของฉินเซียว จากนั้นชายหนุ่มก็พลันใช้วังวนอัสนีเพื่อดูดซับแก่นแท้ภายในร่างกายของฉินเซียวอย่างบ้าคลั่ง!
ก่ออัสนีผสานดาราเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ขัดเกลาขึ้นจากภายในกระดูกของคุนเผิง มันมีพลังอำนาจที่ไร้ขีดจำกัด ซึ่งโอบล้อมมหาเต๋าแห่งอัสนี วารี และการกลืนกิน ทั้งยังสามารถดูดซับทุกสิ่งบนโลกใบนี้ได้แม้กระทั่งการโจมตีของศัตรู ก่อนจะแปรสภาพปราณที่กลืนกินไปจนกลายเป็นแก่นแท้ ปราณจ้าววิญญาณ พลังชีวิต และพลังอื่น ๆ ที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ ทำให้พลังอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ล้ำลึกเกินคำบรรยาย
อย่างไรก็ตาม พลังอิทธิฤทธิ์นี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เช่นกัน ดังที่ศิษย์พี่สามกล่าวไว้ หากศัตรูแข็งแกร่งเพียงพอ การกลืนกินและแปรสภาพพละกำลังของคนเหล่านั้นจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะมันจะส่งผลให้ร่างกายพังทลายลงอย่างง่ายดายจนล้มตาย
“เจ้ากำลังร้องหาความตาย!” ทั้งปี้หลิงอวิ้นและฉินเซียวแสยะยิ้มพร้อมกัน ทั้งสองคนมีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นพวกเขาจะไม่ทราบเกี่ยวกับความล้ำลึกของพลังอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ได้อย่างไร? แม้ว่าจะแอบตกใจที่เฉินซีช่ำชองในเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกินอันหายาก ทว่าก็ไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย เนื่องจากพละกำลังของชายหนุ่มเหลือน้อยมากแล้ว ชายหนุ่มจึงเป็นผู้กำลังจะดับสูญ พวกเขาเพียงแค่ระดมกำลังของตนและทำให้การดูดซับพละกำลังของอีกฝ่ายล้มเหลว ผลร้ายจะได้วนกลับมาทำลายอีกฝ่าย!
เผยอวี่่ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งหยุดการโจมตีของเขาเพราะรับรู้แล้วว่าเฉินซีจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย และเขาไม่อยากเสี่ยงอะไรทั้งนั้น เพราะหากฝืนบังคับให้เฉินซีระเบิดแกนทองคำ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีนัก
แต่โชคร้ายที่เขาไม่ทราบว่าแกนทองคำของเฉินซีได้ถูกเพลิงลงทัณฑ์แปรสภาพเป็นของเหลวเสียแล้ว ซ้ำยังกำลังจะถูกเผาไหม้และระเหยไปสู่ความว่างเปล่าอีกต่างหาก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่แกนนั้นจะระเบิดอีกต่อไป!