บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 489 พลันถูกไล่ล่า
บทที่ 489 พลันถูกไล่ล่า
บทที่ 489 พลันถูกไล่ล่า
“เฉินซี เจ้าเอาชนะทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติได้จริงหรือ? หมายความว่าเจ้าก็มีโอกาสได้กลายตัวตนสูงส่งแล้วน่ะสิ? เจ้านี่มันน่ากลัวจริง ๆ อีกทั้งยังได้สมบัติมากมายมาจากผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายด้วย ทั้งยังมีพัดนกยูงเพลิง ผนึกก่อขุนเขา เกราะมังกรทอง และกระบี่โศกนภา ล้วนเป็นสมบัติกึ่งอมตะล้ำค่าทั้งสิ้น!”
เฉินซี หวงฝู่ฉิงอิง และนายน้อยโจวกำลังทะยานขึ้นสู่เหนือทะเลบรรพกาลอย่างเร่งรีบ เพราะเรือมังกรพันขนนกดูโดดเด่นเกินไปและดึงความสนใจของศัตรูได้ง่าย ทั้งสามจึงเลือกเหินร่างบินเพื่อความปลอดภัย
เดิมที เฉินซีคิดจะออกจากทะเลบรรพกาล ก่อนจะออกตามหาค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติที่นำไปสู่เมืองบรรพกาล จากนั้นเร่งเดินทางไปจนสุดกำลัง แต่นึกขึ้นได้ว่าหวงฝู่ฉิงอิงกับนายน้อยโจวยังไม่บรรลุขอบเขตจุติ จึงไม่สามารถเข้าเมืองบรรพกาลได้ ดังนั้นจึงต้องหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อทำการเดินทางต่อหลังจากทั้งสองคนทะลวงสู่ขอบเขตจุติแล้ว
“ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าสองคนได้รับประโยชน์จากดินแดนเร้นลับมามากมายเช่นกันหรือ?” เมื่อเห็นนายน้อยโจวมองมาทางตนด้วยสายตาริษยา เฉินซีก็เปลี่ยนเรื่องคุย
นายน้อยโจวดูตื่นเต้นขึ้นมาทันทีที่เอ่ยถึงดินแดนเร้นลับ จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “รู้หรือไม่ว่าพวกเราเจออะไรในดินแดนเร้นลับ?”
“เจออะไร?” เฉินซีถามอย่างให้ความร่วมมือ
“โครงกระดูกทวยเทพจากเมื่อโบราณกาลอย่างไรเล่า!” นายน้อยโจวว่าด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ดินแดนเร้นลับเดิมทีว่างเปล่า แต่เพราะมีโครงกระดูกนี้ ฟ้าดินภายในจึงเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ปราณวิญญาณหนาแน่นจนกลั่นเป็นหยดน้ำได้”
“เป็นเทพที่ทิ้งดินแดนเร้นลับไว้จริงหรือ?” เฉินซีถามด้วยความประหลาดใจ เขาพลันนึกถึงโครงกระดูกเซียนโบราณที่อยู่ใต้ธารกระดูกนั่น แต่ความศักดิ์สิทธิ์และมหาเต๋าภายในโครงกระดูกถูกหม้อต้มยาจิ๋วดูดกลืนไปจนไม่เหลือ ซึ่งทำให้เขารู้สึกเสียดายมาก
แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อทั้งสามออกจากเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น อีกาทองบนท้องฟ้าก็เห็นร่างลงมาจากฟ้าเหนือซากโบราณขนาดใหญ่ ทำให้หมอกสีเทากระจายไปทั่วฟ้าดิน ภายในยังมีวิญญาณโบราณล่องลอยอยู่ ฉะนั้น ไม่ว่าจะได้สมบัติเซียนมาหรือไม่ เหล่าคนที่อยู่ภายในซากปรักหักพังก็เลือกที่จะออกมาอย่างไม่ลังเล
ซากปรักหักพังบนเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นได้กลายเป็นเขตหวงห้ามอีกครั้ง เว้นเสียแต่ว่าจะรออีกร้อยปีให้อีกาทองคำเหินขึ้นฟ้าอีกรอบ ไม่เช่นนั้น หากเข้าไปก็มีแต่รนหาที่ตาย
“ต้องเป็นสิ่งที่ทวยเทพทิ้งไว้แน่ ข้ากับนายน้อยโจวได้ของมาบางส่วนซึ่งมีประสบการณ์และความเข้าใจในเต๋าแห่งสวรรค์อยู่ ทั้งยังมีกระบวนยุทธ์ระดับสูงด้วย แต่น่าเสียดายที่กระบวนยุทธ์เหล่านั้นได้รับการถ่ายทอดผ่านเครื่องหมาย พวกข้าจึงไม่สามารถส่งต่อให้เจ้าได้” หวงฝู่ฉิงอิงที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพย
สาเหตุที่นางกับนายน้อยโจวสามารถเข้าสู่ดินแดนเร้นลับไปได้อย่างปลอดภัยเป็นเพราะทัณฑ์สวรรค์ของเฉินซีนั่นเอง หรือก็คือหากไม่มีชายหนุ่ม ทั้งคู่ก็คงไม่อาจได้สมบัติมา เดิมทีพวกเขาก็คิดจะแบ่งปันของที่ได้มากับเฉินซี แต่ตอนนี้คงได้แต่ลืมมันไปเสีย
“แต่ละคนมีโชคแตกต่างกันไป ไม่จำเป็นต้องบังคับกันหรอก” เฉินซียิ้มไม่ติดใจอะไร “พวกเจ้าทั้งคู่แข็งแกร่งขึ้นก็พอแล้ว ยิ่งพละกำลังของข้าในตอนนี้ ข้าก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว”
ชายหนุ่มพูดถูก ทั้งพลังบ่มเพาะ การขัดเกลากายาและการบ่มเพาะปราณแท้ของเขาเพิ่งจะบรรลุสู่ขอบเขตจุติ ทำให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ทำเพียงบ่มเพาะพลังต่อไปอย่างตั้งใจก็พอแล้ว
อีกทั้งเขายังไม่ขาดสมบัติใด ชายหนุ่มได้สังหารผู้เยี่ยมยุทธ์บนเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นไปมากมาย ซึ่งล้วนเป็นผู้มีฝีมือเก่งกาจในหลากหลายราชวงศ์ ดังนั้นจึงย่อมมีสมบัติมากมายในครอบครอง และตอนนี้พวกมันทั้งหมดก็ตกเป็นของเฉินซี
ยกตัวอย่างเช่น โอสถวิญญาณทั้งหลายที่กองเป็นภูเขาขนาดย่อมอยู่ภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ อย่างน้อยก็เป็นสิบล้านเม็ด ส่วนวัตถุวิญญาณและสมบัติวิเศษก็มีอยู่มากมายเช่นกัน
เฉินซีเคยนับอยู่ครั้งหนึ่งว่าสมบัติที่เขาปล้นชิงมาได้ในครั้งนี้มากพอจะใช้เสริมความแข็งแกร่งของยันต์ศัสตราได้ถึงหนึ่งระดับเต็ม และอดรู้สึกตกใจไม่ได้
เพราะตามแผนแล้ว หากต้องเก็บสะสมวัตถุวิญญาณมาใช้ขัดเกลายันต์ศัสตราด้วยตัวเอง ใช้เวลาปีหนึ่งก็คงยังไม่สำเร็จ แต่หลังจากการต่อสู้ในครั้งนี้ เขากลับสามารถรวบรวมของทั้งหมดมาได้ จึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่น่ายินดีไม่น้อย
นอกจากนั้น แม้ว่าสมบัติวิเศษที่ชิงมาจะเป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีและระดับสวรรค์ แต่ก็เป็นของชั้นยอดในระดับนั้น ๆ หากนำไปขายในตลาดก็จะมีราคาสูงทีเดียว
แต่ก็มีสมบัติวิเศษอยู่ไม่กี่ชิ้นที่เขาไม่คิดจะขาย เช่น พัดนกยูงเพลิง ผนึกก่อขุนเขา เกราะมังกรทอง และกระบี่โศกนภา ซึ่งเป็นสมบัติกึ่งอมตะที่กระทั่งตัวตนขอบเขตเซียนปฐพียังอยากได้อยากมี หากคิดจะขายแล้ว คนอื่นคงมองว่าเขาเป็นคนโง่
ทั้งสามพูดคุยกันระหว่างรุดหน้าไปด้วยความเร็วสูง เวลาผ่านไปหลายชั่วยามก่อนที่คนทั้งสามจะหยุดอยู่ตรงหน้าเกาะขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
เกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างไกลและมีหมอกปกคลุมทั่ว ทำให้ดูซ่อนเร้น หากไม่ใช่เพราะจิตสัมผัสเทพของเฉินซีแข็งแกร่งมากพอ เขาก็คงไม่รู้ว่าท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่แห่งนี้ยังมีเกาะโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งอยู่
“เกาะแห่งนี้ไม่เลวเลย ไร้อสูรทะเลในรัศมีหมื่นลี้ สถานที่ก็ปกปิดซ่อนเร้นดี พวกเจ้าสองคนเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ที่นี่ก่อน ข้าจะเฝ้าให้เอง” เฉินซีมองคนทั้งคู่ ด้วยรู้ว่าพลังชีวิตของทั้งสองมาถึงจุดที่ต้องทะลวงให้สูงขึ้นแล้ว กำลังจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจุติและกลั่นกงล้อสังสารวัฏได้ทุกชั่วอึดใจ
หวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวมีสีหน้าเคร่งขรึมพลางพยักหน้า ต่างรู้ดีว่าหากต้องการเข้าสู่เมืองบรรพกาล เช่นนั้นก็ต้องทะลวงสู่ขอบเขตจุติให้ได้ก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว อีกทั้งยังมีเฉินซีคอยเฝ้ายามให้ จึงมีเรื่องน่าหนักใจน้อยลงอีก
ทั้งสองจึงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเกาะแห่งนั้น ควบคุมลมหายใจตนเองขณะหนึ่ง ก่อนจะเริ่มทะลวงสู่ขอบเขตจุติ
ครืน!
หลังจากนั้นไม่นาน หมู่เมฆทัณฑ์สวรรค์ก็เริ่มก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้า
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก พวกเจ้าอยู่กับข้าที่นี่ จดจ่อกับการเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ก็พอ เรื่องอื่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า” เฉินซีเหลือบมองสายฟ้าลงทัณฑ์บนฟากฟ้า ก่อนจะเอ่ยบอก เพราะเห็นแล้วว่าสายฟ้าลงทัณฑ์ที่ทั้งสองเรียกมาอ่อนแอกว่าของตนมาก คนทั้งสองย่อมสามารถเอาชนะมันได้ด้วยฝีมือและพลังบ่มเพาะปัจจุบันแน่
หวงฝู่ฉิงอิงกับนายน้อยโจวจึงวางใจ ก่อนจะมีสีหน้าตึงเครียด สายตาจ้องหมู่เมฆทัณฑ์สวรรค์บนฟ้าเขม็ง เตรียมตัวพร้อมสู้อย่างสุดกำลัง
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป หมู่เมฆทัณฑ์สวรรค์ก็เริ่มควบแน่น ปลดปล่อยสายฟ้าเส้นหนาลงมา มีบางส่วนที่กลายเป็นอาวุธสายฟ้า กระทั่งมี ‘ปราสาทสายฟ้า ’ ผ่าลงมาด้วย!
ทัณฑ์สวรรค์ที่มาเยือนยามคนสองคนพยายามเอาชนะทัณฑ์สวรรค์พร้อมกันนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถรับมือได้ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งสองคนได้รับประโยชน์มากมายจากดินแดนเร้นลับ ทำให้พลังเพิ่มขึ้นสูงมาก ไม่เช่นนั้นสายฟ้าลงทัณฑ์ก็คงไม่เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ เฉินซีมีความรู้สึกแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเมื่อมองดูหวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวที่กำลังต่อกรกับทัณฑ์สวรรค์บนฟากฟ้า ตอนนั้นเขาถูกฟ้าผ่า ตอนนี้มานั่งดูคนอื่นถูกผ่าบ้างแล้ว
หลังจากมองอยู่นาน เฉินซีก็ลากสายตาออกมา เขาเห็นแล้วว่าแม้มันจะน่าสะพรึงกลัว แต่ก็ทำอะไรคนทั้งสองไม่ได้ ลองประเมินดูแล้วพวกเขาน่าจะสามารถเอาชนะสายฟ้าลงทัณฑ์ได้อย่างปลอดภัย และทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจุติได้อย่างราบรื่นภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม
แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด กงล้อสังสารวัฏลอยขึ้นมาเหนือศีรษะคนทั้งสองหลังจากเวลาผ่านไปชั่วยามจริง ๆ มันปลดปล่อยแสงเรืองสีแดงเข้มออกมาราวกับวงแหวนเพลิง
ตอนนี้อาจเทียบได้ว่ากงล้อสังสารวัฏของเฉินซีเปรียบเสมือนดวงตะวันเรืองแสงสีแดงกระจายไปทั่วท้องฟ้า แม้กงล้อสังสารวัฏของทั้งสองจะดูร้อนแรง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าด้อยกว่า
แต่แม้จะเทียบของเฉินซีไม่ได้ ทว่าหากเทียบกับผู้บ่มเพาะธรรมดาทั่วไป กงล้อสังสารวัฏที่กลั่นแน่นของทั้งสองก็นับว่าน่าตกใจมากแล้ว
อึดใจต่อมา ทัณฑ์สวรรค์ก็ค่อย ๆ สลายหายไป ทั้งสองสามารถเอาชนะทัณฑ์สวรรค์แห่งการจุติได้อย่างราบรื่น และกลายเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติในที่สุด
เนื่องจากเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ พละกำลังจึงถูกดูดกลืนไปมาก ทำให้ทั้งสองอ่อนแอลง และต้องใช้เวลาฟื้นพลังอยู่อีกหนึ่งวันบนเกาะ จึงจะสามารถทำให้พลังมั่นคง กลับมามีกำลังวังชาอีกครั้ง
“เฉินซี ขอบคุณที่ช่วยเฝ้ายามให้นะ” ดวงตากระจ่างของหวงฝู่ฉิงอิงส่องประกายเจิดจ้า ขณะเอ่ยขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ก็แค่ช่วยเล็กน้อย” เฉินซีโบกมือ ว่ากันตามจริง เขาค่อนข้างอิจฉาคนทั้งสองที่สามารถเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างสงบสุข โดยไม่จำเป็นต้องเอาชนะมันในระหว่างต่อสู้กับศัตรูนับไม่ถ้วน จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเหมือนอย่างตน เมื่อนึกย้อนกลับไปก็เหมือนกลายเป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้วเสียอย่างนั้น
“ไอหยา ติดหนี้เจ้าอีกแล้ว ทำไมเวลาอยู่กับเจ้าแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ต้องได้รับการดูแลเลยเล่า?” นายน้อยโจวถอนหายใจ แต่ก็มีรอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้าเช่นกัน
หวงฝู่ฉิงอิงชะงักไป อดรู้สึกเห็นด้วยไม่ได้ เมื่อใดที่อยู่กับเฉินซี นางจะรู้สึกมั่นคงและวางใจได้เสมอ คล้ายว่าหากต้องพบเจออะไร นางยังไม่ทันต้องเอ่ยปาก เฉินซีก็คอยกางแขนกั้นลมฝนให้อยู่แล้ว
ความรู้สึกที่ได้รับการช่วยเหลือและได้รับการปกป้องอย่าเงียบเชียบเช่นนี้เป็นสิ่งที่นางรู้สึกกับเฉินซีเท่านั้น และในใจของหญิงสาวก็รู้สึกซาบซึ้งเช่นกัน
“ไปกันเถอะ เราออกจากทะเลบรรพกาลกันก่อน ที่อยู่ของค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติอยู่ในแผ่นหยกที่หลิงเจ๋อมอบให้ข้าแล้ว แค่ต้องหาให้พบก่อนก็จะสามารถไปยังเมืองบรรพกาลได้ทันที” เฉินซีคลี่ยิ้มขณะเหลือบมองคนทั้งสอง จากนั้นจึงหันหลังเดินไป
…
หนึ่งวันให้หลัง ทั้งสามคนก็ออกจากทะเลบรรพกาล และกลับไปยังสมรภูมิบรรพกาล
กลายเป็นว่าทะเลบรรพกาลตั้งอยู่ที่พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสมรภูมิบรรพกาล ซึ่งมีค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติขนาดใหญ่ที่พาไปเมืองบรรพกาลตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่… เฉินซีศึกษาแผนที่ในแผ่นหยกระหว่างทะยานไปด้วย
แผ่นหยกนี้เขาได้มาจากหลิงเจ๋อ มันไม่เพียงแค่จะบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับชิงซิ่วอี้และเจิ้นหลิวชิงไว้ แต่ยังเป็นแผนที่สมรภูมิบรรพกาลโดยคร่าวอีกด้วย แม้จะไม่ละเอียดนัก แต่ก็ทำเครื่องหมายไว้ยังจุดสำคัญทั้งหลาย ตัวอย่างเช่น ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติทางตะวันตกเฉียงเหนือก็มีทำเครื่องหมายไว้ หากเดินทางตามไปก็จะเจอโดยง่าย
“พี่เฉิน ดูสิ มีคนแวบมาทางเราจากตรงนั้นด้วย!”
“เห ดูเหมือนกำลังหนีอะไรนะ…”
จังหวะที่เฉินซีกำลังตรวจดูแผนที่ เสียงของหวงฝู่ฉิงอิงกับนายน้อยโจวก็ดังขึ้นพร้อมกัน ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะแผ่จิตสัมผัสเทพออกไปทันที
หลังจากนั้นเขาก็มีสีหน้าเคร่งเครียดทันใด “บัดซบ! เป็นอวี๋เซวียนเฉินกับจ้าวชิงเหอ สองคนนั้นถูกคนกลุ่มหนึ่งไล่ล่ามาอยู่! ไปกันเถอะ!”
“บ้าอ๊ย! พวกนั้นกล้าไล่ล่าคนของเราหรือ? รนหาที่ตาย!” นายน้อยโจวชะงักไป สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น แววสังหารปรากฏขึ้นบนใบหน้า
แม้หวงฝู่ฉิงอิงจะไม่ได้กล่าวอะไร แต่นัยน์ตากระจ่างกลับปลดปล่อยจิตสังหารออกมาแล้ว!
ทั้งสามไม่ลังเลแม้สักนิด หันร่างและพุ่งเข้าไปยังทิศทางเดียวกัน