บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 501 ได้รับคำเชิญอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 501 ได้รับคำเชิญอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 501 ได้รับคำเชิญอย่างต่อเนื่อง
พื้นที่โดยรอบศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามตกอยู่ในความอื้ออึง ทุกสายตาเคลื่อนมารวมตัวกันอยู่ที่กลุ่มคนตรงหน้า สีหน้าของพวกเขาดูซับซ้อน
ทุกคนรู้ดีว่าไม่ใช่เพียงแค่เฉินซีและสหายเท่านั้น กระทั่งชื่อของราชวงศ์ซ่งก็ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองบรรพกาล สั่นสะท้านผู้คนในเมืองถึงทรวงใน
แม้จะเป็นในอดีตกาลนานนม พวกที่อยู่สามสิบอันดับแรกของศิลาจารึกล้วนแต่เป็นคนจากราชวงศ์ระดับสูงสุดกับตระกูลอันทรงเกียรติกันทั้งสิ้น เหมือนเป็นกฎเหล็กที่ไม่มีใครสั่นคลอนได้
แต่ในวันนี้ ทุกคนในกลุ่มของเฉินซีกลับรั้งอยู่ในยี่สิบอันดับแรกได้ ทั้งเฉินซียังดีดขึ้นสู่อันดับแรกเหนือใครอื่นอีกด้วย เหมือนกับได้ทำลายกฎเหล็กที่ว่าคนจากราชวงศ์ระดับกลางไม่สามารถเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้ลงไป จนสั่นสะท้านจิตใจของทุกคนได้ทีเดียว
“ทุกคน ข้าขอตัวสักครู่ พวกเจ้าอยู่กับพี่หลิงก่อนสิ เดี๋ยวอีกสักพักจะกลับมา ดีหรือไม่?” เฉินซีไม่สนใจสายตาแปลกประหลาดที่พุ่งมา แล้วหันไปคุยกับหวงฝู่ฉิงและคนอื่น ๆ แทน
หวงฝู่ฉิงอิงชะงักไปก่อนถาม “เจ้าจะไปไหน?”
“เรื่องมันยาว กลับมาแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง” เฉินซีครุ่นคิดเพียงครู่ก่อนเอ่ยออกมา จริง ๆ แล้วเขาตั้งใจจะไปดูอวี๋เซวียนเฉินสักหน่อย เพราะจังหวะที่เขาเห็นอีกฝ่ายกลับบังเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างขึ้นในใจ
พูดจบเขาก็หันหลังกลับไปโดยไม่ลังเล
“สหายผู้นี้ดูลึกลับอยู่ตลอดเชียว” นายน้อยโจวพึมพำพลางมองเงาร่างของเฉินซีหายไป
“สหายทั้งหลายจากราชวงศ์ซ่ง ข้าคือเซวียหรานเฉิน หากไม่ติดใจอะไรมาทำความรู้จักกันดีหรือไม่?” ในขณะที่เฉินซีจากไปแล้ว เซวียหรานเฉินที่ปกติไม่ค่อยสนใจอะไรก็อดเดินเข้ามาไม่ได้ จากนั้นป้องมือทักทายและเอ่ยคำกับหวงฝู่ฉิงอิง
หญิงสาวมองชายหนุ่มตรงหน้าที่เดิมทีรั้งอยู่อันดับที่ห้า แต่กลับถูกเฉินซีกับซูชิงเยียนเบียดจนตกไปอันดับที่เจ็ด นางรู้ว่าเขาเป็นคนตระกูลเซวียจากแคว้นไฮวอิน จึงมีฐานะไม่ธรรมดา
แต่นางก็ทำตัวสบาย ๆ และคลี่ยิ้มเป็นธรรมชาติด้วยท่วงท่าสง่างาม “ข้าหวงฝู่ฉิงอิง ส่วนนี่จ้าวชิงเหอ นายน้อยสี่แห่งตระกูลโจว และทางนี้คือศิษย์พี่หลิงเจ๋อจากราชวงศ์ต้าถัง”
“ข้ารู้จักดี ห้าอันดับแรกในสามสิบอันดับต้นบนศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามล้วนถูกพวกเจ้าครอบครอง อีกทั้งยังมาจากราชวงศ์เดียวกันเสียอีก ช่างน่าอิจฉาเสียจริง ข้าเชื่อว่าในการทดสอบครั้งสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลที่กำลังจะมาถึงนี้ พวกเจ้าทั้งหมดคงได้แสดงความสามารถอันยิ่งใหญ่ออกมาอย่างแน่นอน” เซวียหรานเฉินเอ่ยด้วยความจริงใจ สายตาเหลือบไปมองหลิงเจ๋อโดยไม่ทันตั้งใจ ก่อนจะเก็บสายตากลับมา
ผู้เก่งกล้าจากตระกูลเซวียผู้นี้มักมีท่าทีเย่อหยิ่งเยือกเย็นอยู่ตลอด แต่ด้วยอยากเข้ามาพูดคุยกับหวงฝู่ฉิงและคนอื่น ๆ จึงมีทีท่าเป็นมิตรนัก ทำให้หวงฝู่ฉิงอิงกับสหายล้วนประหลาดใจ
ทุกคนย่อมรู้ดีว่าท่าทีที่เปลี่ยนไปของเซวียหรานเฉินต้องเกี่ยวข้องกับการประเมินกำลังก่อนหน้านี้แน่
“พี่เซวียกล่าวเกินไปแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเพราะโชคดีเท่านั้น” เฉินซีไม่อยู่ หวงฝู่ฉิงอิงจึงรับบทเป็น ‘ผู้นำ’ ให้แทน นางยิ้มให้ก่อนเอ่ยคำด้วยท่าทางสง่างามและไร้ที่ติ เผยให้เห็นความสามารถทางสังคมที่องค์หญิงแห่งราชวงศ์พึงมี
เซวียหรานเฉินส่ายหน้าพลางยิ้ม เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อเฉินซีจากไปแล้ว ก็จะสามารถใช้ฐานะตนเองข่มให้คนจากราชวงศ์ระดับกลางเหล่านี้มีความเคารพเขาสักนิด จากนั้นก็จะฉวยโอกาสเชิญชวนพวกเขาเข้ากลุ่ม และไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครคัดค้าน อีกทั้งยังอาจจะรู้สึกซาบซึ้งใจอีกด้วย
แต่ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว เห็นได้ชัดว่าความปรารถนานั้นคงไม่เป็นจริง สตรีงามสง่าผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาที่จะถูกหลอกได้ง่ายเช่นนั้น
“ทุกคน ข้าเดาว่าทุกคนคงจะเพิ่งเดินทางถึงเมืองบรรพกาล ยังไม่มีที่พักกันใช่หรือไม่? ข้ามีเรือนพักว่างอยู่ในจวน หากพวกเจ้าไม่ติดใจอะไร จะพักที่นั่นสักระยะก็ได้ ข้าจะต้อนรับด้วยความยินดี ทั้งยังจะจัดงานเลี้ยงให้อีกด้วย” เซวียหรานเฉินไม่คิดอ้อมค้อมอีก จึงเอ่ยชวนไปตามตรง
หวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ ชะงักไป เหมือนไม่คาดคิดว่าเซวียหรานเฉินจะต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่นเช่นนี้
“จวนของพี่เซวียอยู่ติดกับตระกูลซาง คงไม่เหมาะกระมัง?” ก่อนหวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ จะทันตอบ ซูชิงเยียนคนงามก็เดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ตอนนี้นางเดินเข้ามาเท้าเปล่า สวมชุดสีขาว พร้อมกับมีรอยยิ้มบนใบหน้า ผมดำยาวสลวยดั่งน้ำตก ท่วงท่าของนางให้ความรู้สึกดั่งนางฟ้านางสวรรค์ ดูอบอุ่นเป็นพิเศษ ไม่ว่าใครก็ชังนางไม่ลง
“ในความคิดของข้า เหตุใดพี่หญิงหวงฝู่และทุกคนไม่มาพักที่เขตราชวงศ์ต้าฮั่นเป็นการชั่วคราวเล่า? เท่าที่ข้ารู้ ตระกูลซางจับตัวสหายจากราชวงศ์ซ่งของพวกเจ้าไปสองคน อีกทั้งยังวางแผนจะจับมือเป็นพันธมิตรกับตระกูลเฟิงและตระกูลเซวียด้วย หากพวกเจ้าพักอาศัยอยู่ในเขตของพี่เซวียคงไม่ปลอดภัยเท่าไรนัก” ซูชิงเยียนยิ้มหวานและเผยความลับออกมา ส่งผลให้หวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ มีสีหน้าเคร่งขรึมทันที
ทุกคนย่อมรู้ว่าสหายสองคนที่ซูชิงเยียนกล่าวถึงเป็นใคร แต่ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างที่เฉินซีคาดเดาเอาไว้ เจิ้นหลิวชิงกับชิงซิ่วอี้ถูกตระกูลซางจับตัวไปจริงด้วย!
ในตอนนี้ หวงฝู่ฉิงอิงอารมณ์ไม่ดียิ่ง นางอยากไล่ตามเฉินซีที่เพิ่งเดินออกไป แล้วเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเพื่อดูว่าอีกฝ่ายจะคิดเห็นเช่นไร
“หึ! ใครว่าตระกูลเซวียของข้าจะเป็นพันธมิตรกับตระกูลซางกัน? นั่นมันความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของตระกูลซางต่างหาก! ตระกูลเซวียของข้าไม่ได้เห็นดีด้วย!” เซวียหรานเฉินมีสีหน้าเครียดขึงขึ้นทันใดเมื่อเห็นซูชิงเยียนออกมาขัดจังหวะ
“อ้อ?” ซูชิงเยียนตาเป็นประกายเมื่อได้ยินคำตอบ นางยกมือขึ้นสางผมดำขึ้นทัดหูพลางคลี่ยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี ว่ากันตามตรง หากสามตระกูลอันทรงเกียรติผู้ยิ่งใหญ่จับมือกันแล้ว เช่นนั้นก็คงไม่มีกองกำลังใดในเมืองบรรพกาลสามารถต่อกรพวกเจ้าได้เลย”
“แม่นางซู อย่าคิดนะว่าราชวงศ์ต้าฮั่นของเจ้าเองก็กำลังติดต่อกับราชวงศ์ต้าโจวและราชวงศ์ต้าถังอยู่ หมายจับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อต่อกรกับเรา!” เซวียหรานเฉินไม่คิดยั้งคำ ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
หวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ จึงเข้าใจในพลัน สาเหตุที่จู่ ๆ ทุกคนยินดีต้อนรับพวกนาง ถึงขนาดนี้ตัวตนอย่างเซวียหรานเฉินและซูชิงเยียนยังเข้ามาเอ่ยคำก่อน เป็นเพราะอันดับในศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามของพวกนางนั่นเอง
อันดับเหล่านี้คงเป็นสิ่งที่สามราชวงศ์ระดับสูงสุดและสามตระกูลอันทรงเกียรติไม่กล้ามองข้าม เพราะอย่างไรหากสามารถดึงหวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ เข้ามาอยู่ฝั่งตนได้ ก็จะยิ่งเสริมกำลังได้มากขึ้น เซวียหรานเฉินกับซูชิงเยียนคงหมายจะทำเช่นนั้น
“ขออภัยด้วย ตอนเฉินซีจากไป เขาได้เอ่ยชัดเจนแล้วว่าองค์หญิงน้อยหวงฝู่และคนอื่น ๆ จะรับฟังข้า ดังนั้นทั้งสองคนไม่ต้องห่วงเรื่องที่พักของทุกคนหรอก” จังหวะนั้นเอง หลิงเจ๋อที่อยู่ไม่ไกลก็เดินเข้ามาคลี่ยิ้มให้แล้วเอ่ยตามตรง
เซวียหรานเฉินและซูชิงเยียนที่กำลังปะทะคารมกันอยู่พลันชะงักไป หยุดการถกเถียงเมื่อเข้าใจเรื่องราว ก่อนจะมองไปทางหลิงเจ๋อพร้อมกัน จากนั้นก็มุ่นคิ้ว “หลิงเจ๋อแห่งราชวงศ์ต้าถัง?”
“ถูกต้องแล้ว” หลิงเจ๋อยิ้มให้
ขณะเดียวกันนั้น ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ที่ล้อมรอบศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามก็เห็นภาพนี้ด้วยเช่นกัน และก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วรู้สึกอิจฉาอยู่ภายในใจ
พวกเขาเป็นแค่คนจากราชวงศ์ระดับกลาง แต่กลับได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากสองราชวงศ์ระดับสูงสุดและตระกูลอันทรงเกียรติแห่งอาณาจักรโบราณ นับเป็นเกียรติที่มีแค่ไม่กี่คนที่จะได้รับ
เมื่อเห็นว่าราชวงศ์ต้าถังลงมือเร็วกว่า ซูชิงเยียนกับเซวียหรานเฉินจึงมุ่นคิ้ว แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ทั้งคู่มองหวงฝู่ฉิงและคนอื่น ๆ อีกครั้ง อยากรู้ว่าพวกเขามีความเห็นอย่างไร
หวงฝู่ฉิงอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพย “เฉินซีสั่งไว้เช่นนี้จริง ๆ ข้าขอขอบคุณการต้อนรับของทั้งสองคนมาก ไว้คราวอื่นจะไปเยี่ยมพวกเจ้าทีหลัง”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอตัวก่อน พี่หญิงหวงฝู่ หากท่านว่างก็อย่าลืมมาเล่นกับข้าด้วยเล่า” ซูชิงเยียนขยิบตาให้แล้วหยุดในจังหวะพอดี ไม่ได้ทำทีว่าอบอุ่นเกินไป พูดจบก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างสง่างาม
หวงฝู่ฉิงอิงหัวเราะอยู่ในใจพลางมองซูชิงเยียนเดินออกไปด้วยท่าทางเช่นนั้น สตรีผู้นี้ไม่เพียงแต่จะงดงาม แต่ยังชาญฉลาดอีกด้วย
พร้อมกันนั้น เซวียหรานเฉินอยู่คุยด้วยอีกเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินจากไป ดูจะยอมแพ้กับการพยายามชวนหวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ เข้าฝั่งตนเองแล้ว
“ไม่คิดเลยว่าโชคจะเข้าข้าง กลับกลายเป็นที่ต้อนรับของผู้คนได้” นายน้อยโจวหัวเราะคิกคัก
หวงฝู่ฉิงอิงไม่สนใจเขา ก่อนจะหันไปทางหลิงเจ๋อและเอ่ยคำทิ้งความหมายอันลึกล้ำไว้ “พี่หลิง ท่านจะเชิญเราไปยังเขตราชวงศ์ต้าถังจริงหรือ?”
เท่าที่นางรู้มา พื้นที่ทั้งแปดเขตของเมืองบรรพกาลมีกองกำลังทั้งหลายครอบครองไว้แล้ว ยกตัวอย่างเช่น ตระกูลซางที่คุมตะวันตกเฉียงเหนือ หากคนจากราชวงศ์ระดับกลางคิดจะย่างกรายเข้าไป ก็จำเป็นจะต้องขึ้นอยู่กับอำนาจของฝั่งนั้น
ที่นางไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเป็นเพราะมีเฉินซีอยู่ด้วย นางรอฟังแต่คำเขาเท่านั้น แต่เมื่อครู่ชายหนุ่มจากไปทั้งอย่างนั้น ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด นางจึงได้แต่ตัดสินใจแทนทุกคนชั่วคราว
“แน่นอน” หลิงเจ๋อตอบโดยไม่ลังเล “สหายข้าจากราชวงศ์ต้าถังจะต้องยินดีต้อนรับพวกเจ้าเป็นแน่ ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรหรอก ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้เอง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลิงเจ๋อก็เอ่ยเสียงหยอกล้ออยู่เล็กน้อยขึ้นมาว่า “ถึงข้าจะอยากหลอกพวกเจ้า ก็ต้องขออนุญาตน้องชายเสียก่อน”
“ถูกต้องแล้ว” หลิงอวี๋ที่อยู่ไม่ไกลเกาท้ายทอยพร้อมกับคลี่ยิ้ม
“เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องขอรบกวนพี่หลิงเจ๋อด้วย” หวงฝู่ฉิงอิงเอ่ยเสียงจริงจัง นางรู้ว่าในเมื่อเขากล้ายืนยันคำเช่นนี้ อีกฝ่ายคงได้คิดมาดีแล้ว
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เพราะโชคดีเท่านั้น แต่พวกเขาก็ไร้ทางเลือก จึงต้องยอมจ่ายเช่นกัน ซึ่งราคาที่ต้องจ่ายก็คือต้องร่วมเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ต้าถังในทุกการกระทำในอนาคตนั่นเอง
“ฮ่า ๆ ไม่มีปัญหา! หากองค์หญิงน้อยหวงฝู่ยังสุภาพเช่นนั้น ก็นับว่ามองข้าเป็นคนนอกไปแล้ว” หลิงเจ๋อหัวเราะลั่น สามารถเชิญพวกหวงฝู่ฉิงอิงเข้าฝั่งได้เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน
เขาถึงกับนึกภาพได้เลยว่า เมื่อสหายจากราชวงศ์ต้าถังรู้เรื่องนี้เมื่อไร คงจะต้องตื่นเต้นมากเป็นแน่ เพราะคนกลุ่มนี้มีอันดับศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามทั้งหมดอยู่ในยี่สิบอันดับแรก ทั้งยังมีคนหนึ่งที่ได้อันดับแรกอีกด้วย!