บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 511 ฝ่ามือทองคำทมิฬ
บทที่ 511 ฝ่ามือทองคำทมิฬ
บทที่ 511 ฝ่ามือทองคำทมิฬ
ตู้ม!
ทันทีที่เฉินซีหยุดเคลื่อนไหว หมัดที่ใหญ่ดุจขุนเขาได้พุ่งเข้าหาชายหนุ่มจากด้านข้าง อีกทั้งยังมีพลังมหาศาลและงดงาม ราวกับคลื่นยักษ์ที่โหมกระหน่ำใส่เขาอย่างรุนแรง
ผู้ที่โจมตีมานั้นคือซางเชวี่ย เขาในขณะนี้ได้กลายร่างเป็นยักษ์ที่มีความสูงกว่ายี่สิบสามจั้งเช่นกัน สายลมและเปลวเพลิงกำลังลุกโชนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของอีกฝ่าย ทำให้เจ้าตัวดูเหมือนกับว่ากำลังเหยียบเมฆเปลวเพลิงและเดินเข้ามาพร้อมกับหมัดที่ชกใส่เฉินซี
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ขัดเกลากายาเช่นกัน และฐานการบ่มเพาะของคนผู้นี้ก็อยู่ที่ขอบเขตจุติระดับที่ห้า!
ความก้าวหน้าของผู้ขัดเกลากายาจะพัฒนาจุดชีพจรเล็ก ๆ ในร่างกายของพวกเขา ซึ่งแตกต่างจากความก้าวหน้าของผู้บ่มเพาะปราณแท้ เพราะจุดชีพจรเหล่านี้ล้วนแสดงโลกของมันเอง และทุกครั้งที่สามารถเปิดจุดชีพจรทั้งสามพันจุดได้ มันก็แสดงถึงการเปิดโลกทั้งสามพันใบที่อยู่ร่างกายของพวกเขา
ในแง่ของการบ่มเพาะ ทุกครั้งที่จุดชีพจรเปิดขึ้นสามพันจุด นั่นหมายถึงผู้ขัดเกลากายาได้บรรลุไปอีกขั้น และพลังของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งสามารถอนุมานได้จากสิ่งนี้ว่า หากบรรลุขอบเขตจุติระดับที่เจ็ด ย่อมหมายถึงการเปิดจุดชีพจรทั้งสองหมื่นหนึ่งพันจุด!
มหาเต๋าสามพันชนิดกับโลกสามพันใบเป็นเพียงการกล่าวเชิงทั่วไป อันที่จริงแล้ว ทั้งหมดเป็นตัวแทนของจำนวนที่ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อผู้ขัดเกลากายาได้เปิดจุดชีพจรทั้งสามพันจุด มันแสดงถึงการกระตุ้นศักยภาพของร่างกายที่ไม่มีที่สิ้นสุดในทำนองเดียวกัน
ซางเชวี่ยได้บรรลุขอบเขตจุติระดับที่ห้า ดังนั้นจึงหมายความว่าเขาได้เปิดจุดชีพจรทั้งหนึ่งหมื่นห้าพันจุดในร่างกายแล้ว ทำให้พลังของเขาแข็งแกร่งกว่าขอบเขตจุติขั้นต้นถึงห้าเท่า!!
เมื่อเฉินซีสัมผัสได้ถึงพลังหมัดของซางเชวี่ย เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องละทิ้งการเข่นฆ่าเหล่าศิษย์ตระกูลซางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นการชั่วคราว และร่างของชายหนุ่มก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดุจมังกร จากนั้นจึงบิดตัวเพื่อหลีกเลี่ยงพลังหมัดนี้
“เฉินซี ไสหัวออกจากไปที่นี่เดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกนาง!” ซางเชวี่ยตะโกนออกมาด้วยเสียงที่เฉียบคมและเย็นเยียบซึ่งแฝงไปด้วยเจตนาฆ่า
ก่อนหน้านี้ เฉินซีสามารถบดขยี้ขบวนทัพที่เกิดจากศิษย์ตระกูลซางทั้งสี่สิบกว่าคนเพียงลำพัง ซึ่งทำให้ซางเชวี่ยตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า หากพวกเขาต้องการสังหารเฉินซี พวกเขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนก้อนโต และผลที่ตามมานี้ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถรับได้อย่างแน่นอน
เนื่องจากการทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลกำลังจะมาถึง หากพวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนักในตอนนี้ สถานการณ์ที่เหล่าศิษย์ตระกูลซางจะต้องเผชิญ ก็จะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าคำตอบของเฉินซีกลับเป็นหมัดที่ระเบิดขึ้นมาพร้อมกับพายุสายฟ้าที่ส่งเสียงดังกึกก้อง จากนั้นมันก็โหมกระหน่ำไปทั่วทั้งฟ้าดินและปกคลุมบริเวณโดยรอบทั้งหมด
ในขณะนี้ ไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาใด ๆ อีก เนื่องจากเฉินซีใช้การกระทำเพื่อบอกแก่ซางเชวี่ยว่า เขามุ่งมั่นที่จะช่วยชิงซิ่วอี้กับเจิ้นหลิวชิงเพียงใด
“ตกลง! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทิ้งชีวิตไว้ซะ!” ซางเชวี่ยคำรามอย่างเกรี้ยวกราดราวกับเสียงฟ้าร้องแลบแปลบปลาบไปทั่วทั้งสวรรค์เก้าชั้น แสงสีทองปะทุออกจากร่างกายของเขาราวกับพายุฝน และแยงตาของผู้คนที่เฝ้าดูจนรู้สึกเจ็บปวด
เขาเหยียดฝ่ามือขนาดมหึมาที่ปกคลุมท้องฟ้าและมีแสงสีทองสว่างไสวอยู่ภายใน ทันใดนั้น แสงสีทองเจิดจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็สาดส่องลงมาดุจกริชสีทองอันคมกริบ มันแฝงไปด้วยกลิ่นอายที่เยือกเย็นและพลังสังหารอันเฉียบคม อีกทั้งยังให้ความรู้สึกที่ไม่อาจทำลายได้ ทำให้ท้องฟ้าถูกทิ่มแทงจนเหมือนกับรังแตน เนื่องจากปรากฏรูนับไม่ถ้วนอยู่บนฟ้า
ทุกคนตกตะลึง เนื่องจากปราณทองคำทมิฬที่พวยพุ่งและปกคลุมอยู่ที่ใจกลางฝ่ามือดูรุนแรงยิ่ง จึงส่งผลให้หัวใจของผู้คนล้วนสั่นสะท้าน
“นี่มันพลังอิทธิฤทธิ์… ฝ่ามือทองคำทมิฬ!” เมื่อเห็นพลังฝ่ามือนี้ มีบางคนอุทานออกมาด้วยความตกใจจนอ้าปากค้าง!!
ขณะนั้น แสงสีทองที่ใจกลางฝ่ามือได้ก่อตัวขึ้นจากปราณทองคำทมิฬ และสาดส่องลงมาราวกับกระบี่นับหมื่นที่โปรยปรายลงมาอย่างน่าสะพรึงกลัว อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ผู้ขัดเกลากายาทั่วไปไม่สามารถบรรลุได้ เนื่องจากพลังอิทธิฤทธิ์นี้ต้องการระดับการบ่มเพาะที่สูงลิ่ว
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ปราณกระบี่ทองคำสายแล้วสายเล่าได้โปรยปรายลงมาดั่งกระบี่คมกริบ มันแทงทะลุพื้นดิน หลังคา และก้อนหินขนาดมหึมาจนปรากฏเป็นรูจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังส่งเสียงร้องหวีดหวิวที่สั่นคลอนไปยังหัวใจของผู้คน ทำให้ผู้คนที่เฝ้าดูรู้สึกหวาดกลัวและหมดสิ้นหนทาง
ฟิ่ว!
แสงสีทองทะลุผ่านพายุสายฟ้าโดยตรง จากนั้นก็ฉีกกระชากเนื้อหนังของเฉินซีและทิ้งรอยแผลที่อาบไปด้วยเลือดไว้บนไหล่ซ้ายของเขา หากไม่ใช่เพราะชายหนุ่มหลีกเลี่ยงได้ทันเวลา แขนของเฉินซีก็อาจถูกฟันขาดไปแล้ว
ทว่าสีหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง และในช่วงเวลาต่อมา เขาก็ยกมือขึ้นและส่งปราณฝ่ามือขนาดมหึมาให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า คล้ายหมายจะทำลายฟ้าดินให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ!
ตู้ม!!
ปราณฝ่ามือนี้ได้ทลายท้องฟ้าและบดบังพระอาทิตย์ ในขณะที่เส้นลายมือก็มีดวงดาวมากมายเคลื่อนคล้อยอยู่รอบ ๆ พระอาทิตย์กับพระจันทร์ต่างผลัดกันขึ้นลง มันให้ความรู้สึกที่ลึกลับเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังแผ่กลิ่นอายโบราณที่กว้างใหญ่ไพศาลออกมา ซึ่งทำให้ใจของผู้รับชมสั่นสะท้าน
“ปราณฝ่ามือนี้แฝงไปด้วยดวงดาวแห่งจักรวาล อีกทั้งยังมีธาตุทั้งห้าโคจรไปมา แม้แต่พระอาทิตย์และพระจันทร์ก็ยังผลัดกันขึ้นลง ช่างให้ความรู้สึกดุจโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล พลังอิทธิฤทธิ์นี้คือวิชาอะไรกัน?”
“ข้าเคยได้ยินมาว่า แดนสวรรค์อันลึกลับของผู้บ่มเพาะชาวพุทธ มีพลังอิทธิฤทธิ์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ฝ่ามือพุทธสุขาวดี เพียงฝ่ามือเดียวก็แฝงด้วยพลังทำลายของพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกนับไม่ถ้วน ว่ากันว่าอานุภาพของมันสามารถบดขยี้ดวงดาวให้เป็นจุณได้! แม้ว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของเฉินซีจะไม่ใช่ฝ่ามือพุทธสุขาวดี แต่พลังของมันก็แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงสามารถสร้างประหลาดใจและคู่ควรแก่การชื่นชมอย่างแท้จริง”
“ฝ่ามือที่มีพลังของดวงดาวนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก บางทีมันอาจจะติดหนึ่งในร้อยอันดับของทำเนียบพลังอิทธิฤทธิ์ของทั้งสามภพก็ได้!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือนี้ แม้ว่าผู้ชมที่อยู่ห่างไกลจะไม่รู้จักชื่อของพลังอิทธิฤทธิ์นี้ แต่ในใจของพวกเขาต่างก็มีพายุที่โหมกระหน่ำก่อตัวขึ้นและรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ในขณะนี้ เหล่าศิษย์ตระกูลซางและซางเชวี่ยรู้สึกว่าหนังศีรษะชาด้าน ใบหน้าซีดเผือด เนื่องจากความแข็งแกร่งที่เฉินซีเผยออกมานั้น ทรงพลังเกินไปและไม่เหมือนกับสิ่งที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติขั้นต้นควรมี!
ครืนนนน!
ในทันทีที่ฝ่ามือมหาดาราปรากฏขึ้น มันก็ปกคลุมแสงสีทองจำนวนมหาศาลและแผ่กระจายออกไปโดยรอบด้วยความตั้งใจที่จะปกคลุมซางเชวี่ยเอาไว้ ซึ่งภายในฝ่ามือมหาดารานั้น ก็มีธารดาราเคลื่อนคล้อยราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ มันช่างกว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขตและน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
ฟิ้ว!
เมื่อซางเชวี่ยเห็นฝ่ามือทองคำทมิฬของตนถูกขัดขวาง สีหน้าของเขาก็กลายเป็นน่ากลัว จากนั้นก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในขณะที่แสงสีทองเข้าปกคลุมอยู่รอบตัว ทำให้เขาดูเหมือนเทพเจ้าสงครามทองคำที่ต้องการจะผ่าฟ้าดินให้แยกออกจากกันและหลบเลี่ยงจากการถูกฝ่ามือแห่งดวงดาวปิดล้อม
ทว่าเฉินซีจะยอมให้เขาได้บรรลุความปรารถนาได้อย่างไร? ร่างของชายหนุ่มยังคงยืนตระหง่านอยู่กับที่ แต่ฝ่ามือมหาดาราก็พุ่งออกไปและติดตามซางเชวี่ยดุจเงา
ยิ่งไปกว่านั้น นิ้วทั้งห้าบนฝ่ามือมหาดาราก็เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ออกมา มีทั้งสีทอง สีเขียว สีน้ำเงิน สีแดงเข้ม และสีเหลือง จากนั้นข้อต่อของนิ้วก็ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้นิ้วดูเหมือนเสาหลักห้าต้นที่ค้ำยันสวรรค์ขณะที่ปกคลุมท้องฟ้า
ควบคู่ไปกับการบ่มเพาะของชายหนุ่มที่ลึกล้ำมากขึ้นทุกวัน ความเข้าใจที่มีต่อฝ่ามือมหาดาราของเฉินซีก็ยิ่งลึกล้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเขาก็ตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า พลังอิทธิฤทธิ์นี้ถูกทิ้งไว้โดยปรมาจารย์แห่งเคหาบ่มเพาะ จึงย่อมมีพลังที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ และพลังฝ่ามือที่เขาใช้อยู่ตอนนี้ มันก็ไม่หนึ่งในหมื่นของพลังที่แท้จริงด้วยซ้ำ!
ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้ว่า พลังทำลายที่แท้จริงของฝ่ามือมหาดาราจะรุนแรงขนาดไหน หากเขาสามารถใช้พลังที่แท้จริงของมันได้
ตู้ม!
ฝ่ามือปกคลุมท้องฟ้าและห่อหุ้มซางเชวี่ยไว้ภายใต้เงาของมันโดยตรง
ซางเชวี่ยหวาดกลัวสุดขีดกับภาพตรงหน้า จำต้องหลบหนีครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่ว่าจะหลบอย่างไร เขาก็ยังไม่สามารถหลบหนีการติดตามของฝ่ามือมหาดาราได้ และเมื่อมองจากระยะไกล เขาก็เป็นดั่งตัวหมัดที่อยู่ในฝ่ามือของเฉินซี …นั่นคือไม่มีประโยชน์ไม่ว่าเขาจะกระโดดไปมาอย่างไรก็ตาม!
แต่สิ่งที่น่าตกใจที่สุดสำหรับซางเชวี่ยก็คือ มีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งเบญจธาตุอยู่ตรงกลางฝ่ามือ ในขณะที่เหล่าดวงดาวขนาดใหญ่กำลังโคจรไปมา จากนั้นจึงกลายเป็นพายุสายฟ้าและคลื่นพลังดวงดาว ซึ่งพุ่งลงมาหาเขาจากทุกทิศทุกทาง
ภาพที่น่าสะพรึงกลัวนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนที่อยู่ไกลออกไปไม่เคยเห็นมาก่อน และเพียงแค่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือก็ทำให้พวกเขาต้องตกใจจนร่างกายรู้สึกหนาวเย็นและจิตใจสั่นสะท้าน
ครืน! ครืน! ครืน!
ซางเชวี่ยรับรู้ว่าตนกำลังตกอยู่ในอันตราย ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่ใช้ฝ่ามือทองคำทมิฬอย่างบ้าคลั่ง ส่งปราณทองคำทมิฬนับไม่ถ้วนที่เป็นเหมือนกระบี่คมกริบให้ระเบิดออกไปทางฝ่ามือนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างดุเดือด ราวกับต้องการจะแทงมันให้ทะลุและเปิดโอกาสให้หลบหนี
ทว่าเขายังคงประเมินความน่ากลัวของฝ่ามือมหาดาราต่ำเกินไป สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งเบญจธาตุและคลื่นพลังดวงดาวที่ปั่นป่วนวุ่นวาย ต่างถาโถมเข้ามาดั่งกระแสน้ำที่ซัดสาดโดยไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย ทำให้เจ้าตัวถูกขังอยู่ในฝ่ามือที่ต้องการจะทำลายล้างนี้!
ทุกคนรู้สึกหนาวสั่นเมื่อได้เห็นฉากนี้ พวกเขามั่นใจว่าถ้าถูกขังอยู่ในฝ่ามือแห่งดวงดาวนั้น พวกเขาจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตอย่างแน่นอน และคงทำได้เพียงยอมจำนนต่อชะตากรรมการถูกบดขยี้เป็นผุยผงและสลายหายไปจนไม่เหลือร่องรอยอีกต่อไป
“ไม่จริง! เป็นไปได้อย่างไร!? จะมีพลังอิทธิฤทธิ์ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้อยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างไร!?” เมื่อใกล้จะถึงแก่ความตาย ความกลัวได้กระตุ้นซางเชวี่ยจนถึงจุดที่เขาดูเหมือนจะเสียสติไปแล้ว และเจ้าตัวก็เอาแต่คำรามซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่ใช้พลังทั้งหมดเพื่อต้านทานการโจมตีที่พุ่งเข้าใส่จากทุกทิศทุกทาง
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้กลับเป็นความพยายามที่เปล่าประโยชน์
“ตายซะ!” เฉินซีตะโกนขณะที่ฝ่ามือมหาดารากำแน่น ด้วยความตั้งใจที่จะบดขยี้ซางเชวี่ยในฝ่ามือเดียว!
ครืนน!
ฝ่ามือมหาดาราในขณะนี้ระเบิดพร้อมกับแสงที่เจิดจ้ามากมายที่เขย่าท้องฟ้าจนสั่นสะเทือนและคร่ำครวญออกมา มันทำให้ผู้คนที่อยู่ไกลออกไปตกใจจนใบหน้าเหล่านั้นซีดเซียวและแทบเสียสติ
ขณะเดียวกัน ดวงตาของซางเชวี่ยได้แสดงออกถึงความสิ้นหวัง เนื่องจากไม่เคยคิดเลยว่า การขัดเกลากายาของเขาที่อยู่ในขอบเขตจุติระดับที่ห้า จะไม่สามารถทำอะไรเฉินซีได้เลยสักนิด…
“จงเปิดซะ!” ทว่า… ในจังหวะที่ซางเชวี่ยกำลังจะสิ้นใจ เสียงกู่ร้องก็ดังก้องไปทั่วทั้งฟ้าดิน หลังจากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นขึ้น พร้อมกับแสงที่ส่องประกายระยิบระยับแยงตาทุกคน ในช่วงเวลาถัดมา ซางเชวี่ยก็ปลิวกระเด็นออกไป
“นี่ข้า… ยังไม่ตายหรือ?” เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาพลันค้นพบว่าตนเองยืนอยู่ข้าง ๆ ซางผิงโดยไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย และรอดพ้นจากฝ่ามือแห่งดวงดาวที่น่าสะพรึงกลัวนั่นมาได้สำเร็จ!
ทันใดนั้นเขาพลันเห็นร่างที่ทรงพลังปรากฏขึ้นบนอากาศ และมันก็เปล่งแสงเจิดจ้าที่สว่างไสวไปทั่วทั้งฟ้าดิน ชนิดที่ว่าทำให้โลกตกอยู่ในเงามืด!
ร่างนั้นพร่ามัวราวกับถูกควบแน่นจากมวลแสง ทำให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของมันได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นดูเหมือนกลิ่นอายของเทพเจ้า ซึ่งส่งผลให้ผู้คนรู้สึกไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากคุกเข่าลงและหมอบกราบบูชา
“ยันต์หยกเซียนปฐพี! บัดซบ! เหตุใดเจ้าถึงนำสมบัติล้ำค่าออกมา?! เจ้าจะอธิบายกับนายน้อยอย่างไรเมื่อเขารู้เรื่องนี้!” สีหน้าของซางเชวี่ยดูน่ากลัวในขณะที่เขาคำรามใส่ซางผิงที่อยู่เคียงข้างตน
“ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ แล้วเจ้าจะมีชีวิตรอดหรือ?” ซางผิงถอนหายใจ “ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเจ้าตายแล้วละก็ เราจะไม่อาจหยุดเฉินซีได้อย่างแน่นอน เนื่องจากนายน้อยกำลังบ่มเพาะเคล็ดวิชาเทพธิดาประทานพรอยู่ ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ศิษย์ตระกูลซางในเมืองบรรพกาลทั้งหมดจะต้องถูกทำลายล้างอย่างแน่นอน”
สีหน้าของซางเชวี่ยเปลี่ยนไปมาเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“อย่าได้กังวล แม้ว่านายน้อยจะรู้เรื่องนี้ แต่เขาจะไม่โกรธเราอย่างแน่นอน” ซางผิงตบลงบนไหล่ของซางเชวี่ย ก่อนที่จะหันมองไปยังที่ห่างไกล และมุมปากของเขาก็ปรากฏแววน่ากลัวอันเลือดเย็น “จากนี้ไปเราจะดูการแสดงเท่านั้น”
“ยันต์หยกเซียนปฐพี!”
“สวรรค์! ยันต์หยกแผ่นนี้ประกอบด้วยเจตจำนงของเซียนสวรรค์ แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็ยังไม่กล้าจะต่อต้านมัน ตระกูลซางกลับใช้สมบัติล้ำค่านี้จริง ๆ…”
“นั่นคือเจตจำนงที่แท้จริงของเซียนสวรรค์ จะมีใครในเมืองบรรพกาลที่สามารถต่อต้านมันได้บ้าง?”
ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็สังเกตเห็นว่าที่ซางเชวี่ยหนีไปได้อย่างปลอดภัยนั้น ก็เพราะยันต์หยกเซียนปฐพีที่มีเจตจำนงของเซียนสวรรค์ได้ช่วยเขาไว้อย่างน่าตกตะลึงนั่นเอง!
ขณะที่มองไปยังร่างอันทรงพลังที่ยืนอย่างภาคภูมิอยู่กลางเวหา ความรู้สึกเคารพก็ปรากฏขึ้นในหัวใจของทุกคน
ขณะนี้ ทั่วทั้งเมืองบรรพกาลพลันเงียบสนิทจนแม้แต่เสียงเข็มตกก็ยังได้ยิน…