บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 513 เมฆฝนทรงกระบี่
บทที่ 513 เมฆฝนทรงกระบี่
บทที่ 513 เมฆฝนทรงกระบี่
การปล่อยศรออกมาเพียงดอกเดียวกลับสังหารเจตจำนงแห่งเซียนสวรรค์ได้!
ศรคันนี้คือสมบัติจ้าววิญญาณ
ส่วนลูกศรคือแสงสีขาวเส้นน้อย
ผู้ถือคันศรและยิงมันออกมาคือศิษย์จากราชวงศ์ระดับกลางผู้มีพลังบ่มเพาะ…เพิ่งจะอยู่ขอบเขตจุติขั้นต้นเท่านั้น!
ทว่าเมื่อควบรวมกันแล้วกลับสามารถทำลายเจตจำนงแห่งเซียนสวรรค์ได้ในคราวเดียว ก่อนที่มันจะมีโอกาสได้สำแดงอำนาจ สลายหายไปจนสิ้น ไม่ต้องกล่าวถึงคนอื่นที่เห็นภาพ กระทั่งผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาหากไม่ได้เห็นภาพน่าเกรงขามเช่นนี้
นั่นคือเจตจำนงแห่งเซียนสวรรค์ของแท้เชียวนะ!
ตัวตนอันน่าเกรงขามที่กระทั่งขอบเขตเซียนปฐพียังไม่กล้าต่อกร แต่กลับถูกขอบเขตจุติขั้นต้นสลายพลังได้เช่นนั้น ภาพนี้ส่งผลให้ทุกคนตกตะลึงจนหนังศีรษะชาและพูดอะไรไม่ออก
บางคนมีสายตาเฉียบคม สังเกตเห็นรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่าง จึงเข้าใจว่าไม่ใช่เฉินซีที่เป็นคนทำลายเจตจำนงแห่งเซียนสวรรค์ แต่เป็นก้อนแสงสีขาวที่ยิงออกมาต่างหาก
แม้จะไม่รู้ว่าก้อนแสงสีขาวนั้นคืออะไรกันแน่ แต่ก็มั่นใจนักว่าจะต้องเป็นสมบัติที่มีอำนาจไม่ธรรมดา ซึ่งแข็งแกร่งกว่าสมบัติกึ่งอมตะเสียด้วย!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?! นั่นมันเจตจำนงแห่งเซียนสวรรค์นะ! จะถูกผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติทำลายไปได้อย่างไรกัน!?”
“เราหมดหวังแล้ว! กระทั่งยันต์หยกเซียนสวรรค์ยังจัดการไม่ได้ แล้วจะมีใครในเมืองบรรพกาลสามารถสยบเขาได้อีก?”
“เขาจะแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไรกัน…?”
สำหรับศิษย์ตระกูลซางแล้ว ศรของเฉินซีก็เหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ รุนแรงถึงขนาดเกิดคลื่นโกลาหลซัดกระแทกจิตใจ ซึ่งไม่อาจยับยั้งได้เป็นเวลานาน
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
แต่ยังไม่ทันได้หายตกใจ ชายหนุ่มก็ลงมืออีกครั้ง เขาดึงศรเสียเต็มวง สายคันศรตึงจนสั่นไม่หยุด เรียกศรไร้รูปร่างจำนวนมากให้ปรากฏขึ้น ราวกับลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่กรีดผ่านฟ้า
เต๋าแห่งคันศรมีความเร็วเหนือชั้น มีพลังทะลวงเหนือใคร เมื่อเฉินซีง้างคันศรและปลดปล่อยศรที่ควบแน่นขึ้นมาจากปราณจ้าววิญญาณ พลังทำลายล้างก็ระเบิดออกมา ซัดเข้าใส่ร่างทั้งหกของคนตระกูลซางจนร่างแยก แก่นวิญญาณยังหลบไม่พ้น จึงถูกทำลายสิ้น
การฆ่าสังหารได้บังเกิดขึ้น ศิษย์ตระกูลซางพลันสะดุ้งและได้สติ ดวงหน้าซีดขาว ไม่เคยคิดเลยว่าในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่กำลังตกใจ สหายทั้งหกคนจะถูกสังหารอย่างรวดเร็วเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นการตายที่น่าผวา ร่างถูกระเบิดออกเป็นชิ้นกองอยู่กับพื้น ไม่สามารถฟื้นคืนร่างเกิดใหม่ได้อีก
เลือดสาดกระเซ็นไปบนฟ้า ส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้รับชมที่อยู่ไกลจนรู้สึกกลัวสุดขีด หรือว่าเฉินซีผู้นี้จะถอนรากถอนโคนตระกูลซางด้วยตัวคนเดียวในวันนี้ได้สำเร็จ?
“ข้าจะถามเป็นครั้งสุดท้าย ซางคุนอยู่ที่ใด?” เฉินซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ ทว่าสั่นสะเทือนถึงฟ้าดิน ทุกคนได้ยินเต็มสองหู
ในขณะที่หลายคนเพิ่งหายตกใจเรื่องสาเหตุที่ว่าทำไมเฉินซีถึงเกรี้ยวโกรธและกระหายเลือดเช่นนี้ได้ …นั่นก็เพราะสตรีของเขานั่นเอง!
คนส่วนมากได้เห็นภาพเฉินซีสังหารลวี่เทียนเจ๋อกับตาตนเอง ดังนั้นจึงรู้จากลวี่เทียนเจ๋อว่าซางคุนจับสตรีสองนางจากราชวงศ์ซ่งไป เพื่อหมายจะเอาไว้ใช้ฝึกวิชามาร
เมื่อเป็นเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงตอบกลับไปเพียงประโยคเดียว หากพวกนางตาย เขาก็จะฝังทั้งตระกูลซางไปกับพวกนางด้วย ตอนนั้นทุกคนไม่กล้าเชื่อคำ คิดว่าอีกฝ่ายคงเสียสติไปแล้ว
แต่ตอนนี้พวกเขาเชื่อแล้ว!
กระทั่งเจตจำนงแห่งเซียนสวรรค์ยังไม่สามารถขวางทางเฉินซีได้ ตระกูลซางจะเอาอะไรไปสู้ได้กัน?
“เจ้าโง่ คิดว่าข้าจะบอกหรือ?” ซางเชวี่ยที่ถูกข่มขู่พยายามใจเย็นลง กัดฟันตอบว่า “ถึงพวกเราทั้งหมดจะต้องตาย แต่เจ้าก็หานายน้อยไม่เจอหรอก หรือก็คือเมื่อนายน้อยสำเร็จร่างมารวิบัติแล้ว เขาก็จะสามารถกำจัดเจ้าและคนจากราชวงศ์ซ่ง เพื่อแก้แค้นให้พวกเราได้!”
“หึ! เช่นนั้นข้าก็จะฆ่าทิ้งเสียให้หมด ข้าไม่เชื่อหรอกว่ามันจะบีบซางคุนออกมาไม่ได้!” เฉินซีไม่ได้ถูกคำขู่นั้นเขย่าขวัญ กลับคำรามเสียงเย็นออกมาแทน
ว่าแล้วเขาก็เก็บธนูทลายดารา ก่อนจะยื่นมือออกมาทำท่าคว้าจับ ฝ่ามือมหาดาราพลันพุ่งขึ้นฟ้าอีกครั้ง ทำให้มันปกคลุมฟ้า ก่อนจะซัดลงมาที่ซางเชวี่ย
“สังหารมัน! โจมตีพร้อมกันเลย เราต้องยื้อไว้จนกว่านายน้อยจะปิดประตูบ่มเพาะได้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นพวกเราจะตายกันหมดแน่!” ซางเชวี่ยเผยสีหน้าดุดัน ขณะมองไปยังฝ่ามือที่กำลังซัดลงมาแล้วคำรามเสียงก้อง
ในจังหวะเป็นตาย ศิษย์ตระกูลซางเหล่านี้ไม่กล้าคิดอะไรไร้สาระ พวกเขากัดฟันและปลดปล่อยการโจมตีใส่เฉินซีอย่างเต็มกำลัง
การต่อสู้จึงปะทุขึ้นอีกครั้ง!
แรงดันอากาศอันน่าเกรงขามทะลวงผ่านฟ้า สั่นนภาสะเทือนปฐพี ทำให้พื้นที่โดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างจ้า จนไม่อาจมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นได้อย่างชัดเจน
คลื่นระเบิด เสียงครืนและเสียงคำรามประสานเข้าด้วยกัน สั่นสะท้านไปทั้งโลกา ราวกับกลับไปยังตอนกำเนิดโลก เมื่อครั้งเหล่าทวยเทพกำลังทำศึกนองเลือด
ใครจะคิดว่าฝ่ายหนึ่งในศึกใหญ่ที่น่าเกรงขามได้จนถึงขนาดนี้ กลับเป็นเพียงคนหนึ่งคนกันเล่า?
ผู้ชมที่อยู่ระยะไกลรีบถอยออกไปนานแล้ว เกรงว่าจะถูกลูกหลงจากพลังผันผวนที่ปล่อยออกมาจากการต่อสู้ไปด้วย กระนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความหวาดผวาและความตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นศึกนั้น
อีกทั้งยังมีคนหลายคนที่สัมผัสถึงศึกสะเทือนฟ้าดินครั้งนี้ได้ ทำให้แวบร่างมาจากหลายทิศ ต่างพากันร้องตกใจเมื่อเห็นภาพ
กระทั่งคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเฉินซียังไร้ทางเลือก ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดไหน
ทันใดนั้น เมฆฝนขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างราวกับกระบี่ก็เคลื่อนตัวมาจากขอบฟ้า มันยาวประมาณหกลี้ และปลดปล่อยปรานกระบี่ออกมาเป็นวงแสง ระเบิดออกมาจากการต่อสู้ทั้งสองฝั่ง
ตู้ม!
เสียงตู้มสะเทือนฟ้าดินดังขึ้น เหมือนเทพเซียนกำลังตีฟ้าระรัวอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาทุกคนหูอื้อมึนงงไปหมด
ชั่วพริบตาต่อมา ทุกคนก็เห็นว่าทั้งสองฝั่งแยกกันแล้ว
ร่างสูงที่เปรียบได้กับขุนเขาของเฉินซีเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล เหมือนจะบาดเจ็บหนัก ทว่ายังคงสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้ กลิ่นอายอันน่าเกรงขามที่ปลดปล่อยออกจากร่างไม่ได้อ่อนแอลงสักนิด ความต้องการต่อสู้ยังคงเผาผลาญดั่งเปลวเพลิง
ที่อีกฝั่งหนึ่ง ศิษย์ตระกูลซางจำนวนมากกลับถูกสังหารไป เหลือไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ อีกทั้งร่างยังโชกเลือดและอยู่ในสภาพไม่น่าดูอีกต่างหาก
“ตายเสียเถอะ! คนจากห้าสิบเหลือเพียงสิบกว่าเท่านั้นหรือ!” เมื่อมองดูสหายที่ยังคงยืนหยัดอยู่ ซางเชวี่ยก็เบิกตากว้างแทบถลน คำรามด้วยความโกรธไม่หยุด
เขาไม่อาจยอมรับความสูญเสียใหญ่ในครั้งนี้ได้ กระทั่งนายน้อยซางคุนที่กำลังปิดประตูบ่มเพาะก็คงไม่สามารถทนได้เช่นกัน หากเรื่องนี้ถูกส่งกลับไปถึงตระกูล จะต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่
ทว่าชายหนุ่มกลับไม่สนใจ ขณะมองไปยังขอบฟ้าไกลแทน
ณ ตรงนั้นคือเมฆฝนที่ควบแน่นเข้าด้วยกัน เหมือนจะสร้างเป็นรูปกระบี่ มันมีพละกำลังมหาศาล ขณะปลดปล่อยแรงกดดันอันดุร้ายออกมาปกคลุมฟ้าดิน
เมื่อครู่นี้ก็คือเมฆฝนกลุ่มนี้ที่ซัดการโจมตีเข้ามา เพื่อขัดขวางไม่ให้เขาสังหารศิษย์ตระกูลซางได้
ไม่ใช่เพียงแค่เฉินซีเท่านั้น กระทั่งผู้ชมระยะไกลก็สังเกตเห็นเมฆฝนกลุ่มนี้ด้วย พวกเขาเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้เผยสีหน้าตกตะลึงออกมากันถ้วนหน้า
“หากไม่สามารถยุติความแค้นกันดี ๆ ได้ เช่นนั้นเรื่องก็ไม่มีทางจบ เฉินซี เจ้าไว้หน้าข้า ปล่อยพวกเขาไปเป็นอย่างไร?” เป็นจังหวะนั้นเองที่มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากกลุ่มเมฆฝน คนผู้นั้นค่อย ๆ ย่างมาจากกลางอากาศราวกับเดินอยู่บนพื้น
ฝีเท้าที่ก้าวเดินมีจังหวะลึกล้ำ สะท้อนก้องไปพร้อมกับฟ้าดิน ราวกับผสานเข้าด้วยกันแล้วอย่างไรอย่างนั้น!
“เฟิงเจี้ยนไป๋!” มีคนร้องออกมาด้วยความตกใจ จากนั้นก็หุบปากทันทีคล้ายกลัวว่าจะทำให้คนผู้นั้นขุ่นเคือง
นี่คือชายหนุ่มผู้น่าเกรงขามที่ราวกับร่างผสานไปกับธรรมชาติ ทั่วร่างปลดปล่อยกลิ่นอายที่ไม่อาจบรรยายได้ออกมา ทั้งดุดันและรวดเร็วราวกับกระบี่ แต่กลับกว้างขวางราวกับฝน สร้างแรงกดดันต่อผู้อื่นเป็นอย่างมาก
เมื่อซางเชวี่ยเห็นอีกฝ่ายแล้วกลับมุ่นคิ้ว ในใจไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งสักนิด เพราะอย่างไรเฟิงเจี้ยนไป๋ก็เป็นคนของตระกูลเฟิง มีความสัมพันธ์เป็นคู่แข่งและอริกัน จึงต้องคอยระมัดระวัง
แม้ว่าเฟิงเจี้ยนไป๋จะปรากฏกายขึ้น คล้ายมีเจตนาจะมาช่วยตระกูลซาง แต่เขากลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะไม่มีอะไรได้มาโดยไม่ต้องจ่ายราคาใด เฟิงเจี้ยนไป๋ผู้นี้ย่อมมีจิตคิดเป็นอื่นแน่!
ชั่วพริบตาต่อมา เฟิงเจี้ยนไป๋ก็มาถึงที่ เขามีหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างผอมบาง ฝีเท้ามั่นคง ในขณะที่มีท่าทางบริสุทธิ์และเบาสบาย หากไม่สังเกตให้ดีก็คงไม่อาจสัมผัสได้ถึงตัวตนของเขา เพราะคนคนนี้คล้ายกับจะผสานรวมไปกับฟ้าดินแล้ว
ผิวพรรณมีสีดั่งหยกขาว ส่งประกายแสงออกมาราวกับผลึกแก้ว มีนัยน์ตาล้ำลึกดั่งดวงดารา บนศีรษะคือผมสีดำสนิทที่ปล่อยยาวจนถึงอก เป็นผู้มีท่าทางไม่ธรรมดา
เขาคือเฟิงเจี้ยนไป๋ ชายผู้น่าเกรงขามของตระกูลเฟิงแห่งแคว้นอวิ๋นคง ก่อนหน้านี้ คนผู้นี้มีชื่ออยู่ติดอันดับแรกของศิลาจารึกวิญญาณแห่งเทพสงคราม ซึ่งไม่มีใครสั่นสะท้านอันดับนั้นได้!
แต่ตอนนี้แม้จะถูกเฉินซีแย่งอันดับไป ทุกคนก็ยังคงหวาดกลัวและยำเกรงเขาอยู่ดี
เขาเป็นคนลึกลับและเก็บตัว พละกำลังเกินจะหยั่ง ปกติแล้วไม่ค่อยต่อสู้ แต่หากลงมือเมื่อไรก็จะเป็นผู้ที่เลือดเย็นและโหดเหี้ยมนัก คู่ต่อสู้แทบไม่มีโอกาสรอดชีวิต
บางคนก็เป็นผู้ที่เมื่อมองแวบแรกก็ทำให้ประทับใจได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกว่าไม่ธรรมดา ไม่นานต้องทำการใหญ่ได้สำเร็จเป็นแน่ และเฟิงเจี้ยนไป๋ก็ให้ความรู้สึกเช่นนั้น
อีกทั้งยังมีข่าวลือในเมืองบรรพกาลว่าเฟิงเจี้ยนไป๋นั้นบรรลุขอบเขตจุติระดับที่หกนานแล้ว และขึ้นสู่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ ก็เป็นเพราะข่าวลือนี้ที่ทำให้ผู้บ่มเพาะพลังทั้งหลายที่เดินทางเข้าเมืองบรรพกาลมารู้สึกเกรงกลัวเขายิ่งนัก
“ไว้หน้าเจ้าหรือ? เจ้าเป็นใครกัน? เรารู้จักกันหรือ?” ทว่าสีหน้าของเฉินซีกลับไม่เปลี่ยนสักนิดเมื่อเห็นเฟิงเจี้ยนไป๋ปรากฏตัวขึ้น ด้วยเมื่อได้ยินคำของอีกฝ่าย ชายหนุ่มยังรู้สึกตลกอยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำ ทำให้น้ำเสียงที่เอ่ยเจือแววเหยียดหยันเข้าไปด้วย
ทุกคนอึ้งไป เพราะไม่มีใครคิดว่าเฉินซีจะยังดุดันได้แม้ในเวลาเช่นนี้ ถึงกับขนาดไม่เห็นว่าเฟิงเจี้ยนไป๋สำคัญ หรือคนผู้นี้จะไม่เกรงกลัวว่าเฟิงเจี้ยนไป๋จะร่วมมือกับตระกูลซางจัดการเขาหรือไร?
“เฉินซี เจ้ารับแขกเช่นนี้หรือ?” เฟิงเจี้ยนไป๋ไม่ได้โกรธเลยสักนิด กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์
“หากเป็นแขก ข้าย่อมให้ความนับถือเจ้า แต่เจ้าคิดว่าเจ้ามาเป็นแขกหรือไม่เล่า?” เฉินซีเผยแววตาเย็นชา ตอบคำถามกลับไปด้วยคำถาม ทั้งยังเอ่ยขึ้นก่อนเฟิงเจี้ยนไป๋จะทันได้ตอบกลับว่า “เช่นนั้จะถามตรง ๆ เลยก็แล้วกัน เจ้ามาที่นี่เพื่อปกป้องตระกูลซางอย่างนั้นหรือ?” เฉินซีเปล่งน้ำเสียงดั่งสายฟ้าฟาดลงมาจนสะเทือนฟ้าดิน เผยกลิ่นอายกดดันออกมาด้วย