บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 515 มหาเต๋าไท่จี๋
บทที่ 515 มหาเต๋าไท่จี๋
บทที่ 515 มหาเต๋าไท่จี๋
ดวงตาของเฉินซีทอประกายเย็นชาและไม่แยแส ราวกับน้ำแข็งที่ไม่เคยละลายมาเป็นเวลานับล้านปี
ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยคราบเลือดและรอยแผลเป็นนับไม่ถ้วน ในขณะที่ผมยาวสีดำสนิทของเขาโชกไปด้วยเลือดที่เกรอะกรัง และพลังชีวิตในร่างกายก็แทบแห้งเหือด
อันที่จริง ชายหนุ่มได้ใช้พลังทั้งหมดในการต่อสู้กับลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเขาต้องการยับยั้งและทำให้ผู้คนเกรงกลัว แต่ก็ไม่มีใครล่วงรู้ว่าชายหนุ่มได้ใช้พลังไปมากมายเพียงใด เนื่องจากเขาดูจะทำลายล้างเหล่าศัตรูได้อย่างง่ายดาย
แต่เมื่อได้ยินว่าชีวิตของเจิ้นหลิวชิงกับชิงซิ่วอี้ตกอยู่ในอันตราย เขาก็รีบรุดไปโดยไม่รอช้า อีกทั้งยังไม่ได้ให้โอกาสที่จะฟื้นตัวแม้แต่น้อย
หลังจากนั้น…
ชายหนุ่มได้เปิดฉากต่อสู้กับเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ของตระกูลซางทั้งหมดเพียงลำพัง
เมื่อเทียบกับลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของจำนวนหรือความแข็งแกร่ง กองกำลังของตระกูลซางนั้นทรงพลังยิ่งกว่า เขาจึงทุ่มพลังทั้งหมดที่มีโดยไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ เพื่อกำจัดคู่ต่อสู้ในเวลาที่สั้นที่สุด รวมทั้งเพื่อให้มีเวลามากขึ้นในการช่วยเหลือชิงซิ่งอี้กับเจิ้นหลิวชิง เขาจึงไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและยอมสละชีวิตของตนเพื่อพวกนางอย่างเต็มที่
ดังนั้นการบาดเจ็บจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าการขัดเกลากายาของเขาจะแข็งแกร่งเกินพอ แต่การใช้พลังทั้งหมดเช่นนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเติมเต็มในช่วงเวลาอันสั้น
จนถึงตอนนี้ การต่อสู้อย่างต่อเนื่องมาตลอดทั้งวัน ทำให้เฉินซีจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า ตัวเขาได้รับบาดเจ็บไปกี่ครั้งหรือหลั่งเลือดไปมากแค่ไหน ซึ่งเหตุผลที่เขาสามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้ เป็นเพราะจิตใจที่แน่วแน่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นับว่าโชคดีที่ศัตรูทั้งหมดแทบจะถูกกำจัดหมดสิ้น และเหลือเพียงซางเชวี่ยคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องกลัว
ทว่าในขณะนี้เอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันพลันบังเกิดขึ้น
ปราณกระบี่อันดุเดือดราวกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำ จู่ ๆ ก็ถาโถมเข้ามาจากระยะไกลพร้อมกับเสียงดังกึกก้องของเต๋าที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดิน พลังทำลายที่ถาโถมเข้ามาเสมือนกับแม่น้ำสายใหญ่ที่ถูกระเบิดและทะลักลงมาจากฟากฟ้า
เห็นได้ชัดเจนว่าเม็ดฝนทุกหยดนั้นคมกริบดุจทองคำเนื้อดี และมันเจาะอาคารใกล้เคียงจนพรุนเป็นรูเหมือนรังแตน
ผู้ลงมือโจมตีนั้นคือเฟิงเจี้ยนไป๋ ร่างกายของเขาถูกปกคลุมด้วยเจตจำนงกระบี่ที่ดูเหมือนคลื่นยักษ์ในมหาสมุทร และการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็เสมือนกับพายุฝนที่กำลังโหมกระหน่ำลงมาจากท้องฟ้า ทำให้เกิดน้ำสะสมบนพื้นดินจนกลายเป็นหนองน้ำ พร้อมกับเจตจำนงกระบี่ที่กว้างใหญ่ ก็นำพาพลังแห่งฟ้าดินเพื่อฟาดฟันใส่เฉินซี
ดวงตาของชายหนุ่มพลันหรี่ลง ในขณะที่ความโกรธในใจของเขาปะทุขึ้นเหมือนหินหลอมเหลวที่ร้อนระอุ
‘เฟิงเจี้ยนไป๋ผู้นี้เป็นดั่งเนื้อร้ายและวิญญาณอาฆาตที่ไม่ยอมจากไป! คอยเฝ้าขัดขวางข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนผู้นี้ช่างสมควรตายอย่างแท้จริง!’
ครืนนน!
เสียงทื่อ ๆ ที่เหมือนกับเสียงคลื่นยักษ์บังเกิดขึ้นมา ในขณะที่คลื่นพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งทั้งหมดนี้ก่อตัวขึ้นจากปราณกระบี่ที่พุ่งเข้าหาเฉินซีด้วยความตั้งใจที่จะบดขยี้ชายหนุ่ม
แม้ว่าจะโกรธสุดขีด แต่เมื่อเผชิญกับการโจมดีดังกล่าว เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องหลบเลี่ยงเป็นการชั่วคราว เนื่องจากสภาพร่างกายของชายหนุ่มในตอนนี้ ไม่อาจต้านทานการโจมตีเช่นนี้ได้
“ฮึ่ม! มาดูกันว่าเจ้าจะหลบไปได้นานแค่ไหน!” เฟิงเจี้ยนไป๋ไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่การโจมตีของตนพลาดเป้า เพราะมันคงแปลกหากเฉินซีถูกฆ่าอย่างง่ายดาย
ตู้ม!
ปราณกระบี่ได้โหมกระหน่ำใส่เฉินซีดุจพายุอีกครั้ง และชายหนุ่มไม่มีเรี่ยวแรงที่จะหลบอีกต่อไป ทำให้เขาปะทะเข้ากับแรงระเบิดโดยตรงจนกระอักเลือดออกมา แม้แต่สีหน้าของเขาก็ซีดเผือดจนแทบโปร่งใสอย่างน่าสยดสยอง
เช่นเดียวกับเฟิงเจี้ยนไป๋ที่รุกเข้าใกล้เฉินซีอย่างไม่ลดละด้วยความตั้งใจที่จะทำลายล้างชายหนุ่ม ในขณะที่สภาพร่างกายของเขาอ่อนล้าอย่างมาก จึงทำได้เพียงหลบหลีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่ากลับทำให้เฉินซีได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลนับไม่ถ้วน และเลือดก็ทะลักออกมาเหมือนน้ำพุ อีกทั้งยังกำลังจะถูกแยกออกจากกัน
ผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ในระยะไกล อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจ
เฉินซีกำลังจะทำลายตระกูลซางและสร้างความสำเร็จครั้งใหญ่ที่สามารถทำให้ทั้งเมืองตกอยู่ในความโกลาหล ทว่าในช่วงเวลาวิกฤต เฟิงเจี้ยนไป๋กลับลอบโจมตีอย่างกะทันหันและบีบบังคับเขาให้ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังในทันที ดังนั้นเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากถอนหายใจ
หากกล่าวโดยเปรียบเทียบ ผู้คนจำนวนมากล้วนรู้สึกเห็นใจกับสิ่งที่เฉินซีกำลังเผชิญจริง ๆ เนื่องจากชายหนุ่มมาจากราชวงศ์ระดับกลาง และการที่เขาสามารถมาถึงจุดนี้ได้ มันก็ถือได้ว่าน่าชื่นชมและน่านับถืออย่างยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น เพียงเพื่อช่วยเหลือสหายทั้งสอง เขาจึงต่อสู้กับตระกูลซางเพียงลำพังโดยไม่เกรงกลัวความตายแม้แต่น้อย ดังนั้นผู้คนจะไม่รู้สึกชื่นชมบุรุษผู้มากน้ำใจและเปี่ยมคุณธรรมเช่นนี้ได้อย่างไร?
ในทางกลับกัน เฟิงเจี้ยนไป๋นั้นอำมหิตเกินไป!
กองกำลังของตระกูลเซวีย กองกำลังของราชวงศ์ต้าถัง กองกำลังของราชวงศ์ต้าฮั่นและราชวงศ์ต้าโจวก็ยังคงนิ่งเงียบเช่นกัน พวกเขามาที่นี่เพื่อแบ่งอาณาเขตของตระกูลซาง ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจชะตากรรมของเฉินซีเลยแม้แต่น้อย
ตัวอย่างเช่น คนที่เคยติดต่อกับเฉินซี แม้เซวียหรานเฉินกับซูชิงเยียนจะรู้สึกเห็นใจต่อสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังเผชิญอยู่เป็นอย่างมาก แต่เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง พวกเขาจึงเลือกที่จะเฝ้าดูอย่างเย็นชาจากด้านข้าง
แต่ก็ไม่อาจตำหนิพวกเขาจากเรื่องนี้ได้ เพราะเฉินซีไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเขาและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับเฉินซีก็ไม่มีอะไรมาก แล้วจะนับประสาอะไรที่พวกเขาต้องสอดมือเข้าช่วยเหลือ ดังนั้นการเฝ้าดูอยู่ที่ด้านข้างจึงสมเหตุสมผลแล้ว
แต่ไม่ว่าผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้จะคิดอย่างไรในใจ พวกเขาก็รู้สึกโดยไม่รู้ตัวว่า วันนี้เฉินซีคงไม่อาจรอดพ้นจากความตายและมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
…
แต่ผู้คนดูจะไม่รู้ตัวเลยว่า มีดวงตาสองคู่ที่จ้องมองไปยังสนามรบจากมุมหนึ่งที่ไกลออกไปอยู่เสมอ
“จำคำที่ข้าเคยกล่าวก่อนหน้านี้ได้หรือไม่?”
“จำได้”
“อันที่จริง การคาดการณ์ของข้านั้นผิดไป แม้ข้าไม่รู้ว่าเขาจะหลั่งน้ำตาเพื่อเราหรือไม่ แต่ตอนนี้ข้าได้รู้แล้วว่า เพื่อช่วยชีวิตพวกเรา เขาจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเลือดชโลมไปทั้งร่าง หรือแม้แต่ชีวิตก็ไม่คำนึงถึง”
“…อืม”
“เจ้าร่ำไห้หรือ?”
“ใช่แล้ว”
“ข้ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้ยินเจ้ายอมรับด้วยตัวเอง ดังนั้นข้าจึงถือว่าเจ้าให้อภัยเขาแล้ว?”
“บางที”
“อืม ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่เราควรเคลื่อนไหวแล้วไม่ใช่หรือ? หรือว่าเจ้าทนเห็นเขาเดินไปสู่ความตายได้?”
“ช่วยข้าทำอะไรหน่อยสิ”
“อะไรหรือ?”
“ฆ่าเฟิงเจี้ยนไป๋เหมือนที่เราฆ่าซางคุน”
“ตกลง!”
เมื่อกล่าวจบ ร่างทั้งสองก็เดินออกมาจากเงามืด
ร่างหนึ่งดูคลุมเครือเหมือนหมอกในขณะที่เสื้อผ้าของนางปลิวไสวไปตามสายลม ทำให้หญิงสาวดูเหมือนเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ ส่วนอีกร่างหนึ่งนั้นบริสุทธิ์และสง่างาม มีดวงตาที่น่าดึงดูดและใสราวกับน้ำ อีกทั้งยังทอประกายแห่งปัญญา
ร่างทั้งสองนี้คือชิงซิ่วอี้และเจิ้นหลิวชิง!
…
พรวดดด!
เฉินซีกระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่งขณะที่ร่างของเขาปลิวกระเด็นก่อนจะกระแทกกับพื้นอย่างแรง ร่างกาย เสื้อผ้าหรือแม้แต่ผมเผ้าของเขาก็เปรอะไปด้วยเลือดและเปื้อนไปด้วยฝุ่น
เขาพยายามที่จะคลานขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าร่างกายกำลังจะพังทลาย แต่ชายหนุ่มยังคงยืนหยัด ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยเปลวไฟที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งเผยให้เห็นความดื้อรั้นและไม่ยอมสยบให้แก่ผู้ใด
“ต่อให้เจ้าพิชิตทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติและมีพลังแฝงที่อาจจะกลายเป็นสุดยอดฝีมือ หรือแม้แต่เป็นอันดับหนึ่งบนศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงคราม แล้วมันจะทำไม? ไม่ว่ามันคนนั้นจะเป็นผู้ใด แต่คนที่ต่อต้านข้าเฟิงเจี้ยนไป๋จะต้องตายในที่สุด!” ห่างออกไป เฟิงเจี้ยนไป๋ก้าวเดินช้า ๆ โดยเอามือไพล่หลัง เขากำลังประเมินเฉินซีอย่างใจเย็นและสงบ แล้วรอยยิ้มแห่งชัยชนะก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ขาวราวกับหยกของเขา
“หากเป็นสถานการณ์ปกติ เจ้าคิดว่าจะอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้หรือ?” เฉินซีเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของเขา น้ำเสียงของชายหนุ่มแหบแห้ง นิ่งสงบและแฝงด้วยการเย้ยหยัน
“แน่นอน เป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับคนต่ำช้าเช่นเจ้าที่รู้จักแต่การฉวยโอกาสเพื่อลอบทำร้ายดั่งสุนัขลอบกัด”
“ไร้สาระ!” เฟิงเจี้ยนไป๋หัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าไม่รู้หรือว่าผู้มีชัยเป็นฝ่ายถูกเสมอ”
“เจ้ายังไม่ชนะ และข้าก็ยังไม่สิ้นชีพ” เฉินซีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตอบอย่างใจเย็นด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมจำนน
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ความรู้สึกซับซ้อนก็อดไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นภายในใจของผู้คนที่เฝ้าดูอยู่
“บางทีอาจเป็นเพราะความมุ่งมั่นที่ไม่มีวันยอมแพ้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ของเฉินซี จึงทำให้เขามีความสำเร็จในปัจจุบัน? แต่น่าเสียดายที่เขาก็ไม่อาจรอดพ้นความตายได้ในท้ายที่สุด มันช่างน่าเสียดายจริง ๆ”
“นี่เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ?” เฟิงเจี้ยนไป๋ตกตะลึง จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการเย้ยหยัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะฆ่าเจ้าซะเดี๋ยวนี้!”
ขณะที่กล่าว ตัวคนยกมือขึ้นและคว้าออกไป ทำให้ฝนกระบี่ไร้รูปร่างก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ปราณกระบี่ม้วนตัวไปมาและสั่นสะเทือนเหมือนคลื่นอันเกรี้ยวกราดที่ปรารถนาจะดื่มเลือดสด ๆ
ครืน!
ทว่าก่อนจะฟาดฟันปราณกระบี่ออกไป จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดที่ดวงตา ในขณะที่พลังงานแสงศักดิ์สิทธิ์ก็สาดส่องไปทั่วทั้งฟ้าดิน มันยิ่งใหญ่และแผ่ขยายไปทุกหนทุกแห่งจนปกคลุมบริเวณโดยรอบทั้งหมด
ในเวลาเดียวกัน พลังงานแห่งความมืดที่ทำให้ใจรู้สึกถูกกดดันและสั่นไหวก็พลุ่งพล่านอย่างฉับพลันและปราศจากเสียง มันมืดมิดดั่งราตรีกาลที่ปกคลุมโลกในวันโลกาวินาศ
ชั่วขณะหนึ่ง พลังอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ของแสงกอปรกับพลังอันลึกล้ำและลึกซึ้งของความมืด ต่างครองท้องฟ้าไปอย่างละครึ่ง ด้านหนึ่งเป็นสีดำ อีกด้านเป็นสีขาว พวกมันเป็นดั่งฝาแฝดที่ส่งเสริมความงามของกันและกัน อีกทั้งยังโคจรเป็นวงกลมที่มีขนาดมหึมาปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน
ยิ่งกว่านั้น ภายในลวดลายวงกลมที่ผสมผสานระหว่างสีดำกับสีขาว มีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างอย่างภาคภูมิ ขณะที่ทั้งร่างของนางเปล่งแสงสีขาวสว่างไสวอันศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง ซึ่งทำให้ผู้คนไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากการกราบไหว้บูชาด้วยศรัทธาและมิกล้าลบหลู่
อีกด้านหนึ่ง มีหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูจะกำเนิดขึ้นมาจากความมืด นางแผ่กลิ่นอายอาฆาต สง่างาม เฉยเมย และไร้ความรู้สึก ซึ่งทำให้ใคร ๆ ต่างรู้สึกหวาดกลัวและถูกกดดันจากก้นบึ้งหัวใจ
หญิงสาวสองคน คนหนึ่งสดใสดั่งกลางวัน อีกคนมืดมิดดั่งกลางคืน ทั้งสองยืนอยู่ตรงข้ามกันภายในวงกลมที่ผสานด้วยสีขาวกับดำ แต่กลับไม่ขัดแย้งกัน อีกทั้งยังสอดประสานอย่างแปลกประหลาด ถึงขั้นทำให้ทั่วทั้งฟ้าดินพังทลายจนเกิดความโกลาหลอย่างน่าสะพรึงกลัว
ครืน!
ลวดลายวงกลมสีขาวดำขนาดมหึมากำลังหมุนวนอยู่บนท้องฟ้าอย่างช้า ๆ ราวกับหินโม่บนท้องฟ้า มันส่งเสียงดังก้องซึ่งดูเหมือนเป็นท่วงทำนองของมหาเต๋า และดูเหมือนว่ามันต้องการจะทำลายทุกสรรพสิ่งในโลก
ฉากที่กว้างใหญ่และแปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้ผู้คนตกใจจนกระวนกระวายและรู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่บีบคั้นจนไม่อาจอธิบายได้และความรู้สึกที่อันตรายถึงชีวิตที่ห่อหุ้ม ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนตกลงไปในบ่อน้ำแข็งอันเย็นยะเยือก
“ไท่จี๋! นี่คือมหาเต๋าไท่จี๋! สวรรค์! ถึงแม้มันจะผ่านมานานนม แต่มหาเต๋าที่สุดแสนจะหายากนี้ กลับปรากฏขึ้นในโลกหล้าอีกครั้งแล้ว!”
“แสงสว่างและความมืด เป็นมหาเต๋าที่ล้ำลึกอย่างหาได้ยากเสมอมา ตอนนี้พวกนางกลับใช้พลังของมหาเต๋าไท่จี๋ ถึงแม้ความสามารถดังกล่าวจะเป็นเพียงการหยิบยืมพลังจากธรรมชาติ แต่มันก็สามารถสั่นสะท้านโลกาหรือแม้แต่ภูตผีวิญญาณก็ยังต้องร่ำไห้!”
บางคนอดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ ซึ่งเสียงอุทานของพวกเขาก็เผยให้เห็นถึงความตกตะลึงและไม่เชื่อ
แม้แต่กองกำลังของตระกูลเซวียกับสามราชวงศ์ระดับสูงสุดก็ยังแสดงสีหน้าประหลาดใจ เพราะพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะได้เห็นมหาเต๋าไท่จี๋ที่ไม่เคยปรากฏมานานแล้วในขณะนี้
ในทางกลับกัน เมื่อเฉินซีเห็นหญิงสาวสองคนยืนตัวตรงในวงกลมหยินหยางบนท้องฟ้า เศษเสี้ยวของความรู้สึกผ่อนคลายก็อดไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นในใจของเขา
“พวกนางยังมีชีวิตอยู่ ดี… ช่างดียิ่งนัก…”