บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 519 แขก
บทที่ 519 แขก
บทที่ 519 แขก
“ถูกต้อง” อวิ๋นหลานเซิงกลับสู่ความสงบดังเดิม ทั้งยังมีร่องรอยความภูมิใจแฝงอยู่ “ทีนี้คงเข้าใจแล้วกระมัง?”
หลิงหยาเหมือนนึกอะไรได้ ภายในใจรู้สึกตกตะลึงนัก ใบหน้าซีดเซียวบิดเบี้ยวอย่างบ้าคลั่ง เขาอ้าปากหมายจะพูด แต่สุดท้ายก็สลดใจและพูดไม่ออก
‘สามารถเอาชนะทัณฑ์สวรรค์เก้าระลอกภายในคราวเดียวได้…’ เฉินซีเหลือบมองชิงซิ่วอี้ที่อยู่ไม่ไกลด้วยสายตาประหลาดใจ จากนั้นครุ่นคิด ‘หรือจะเป็นอย่างที่อวิ๋นหลานเซิงว่า นางเคยเป็นศิษย์นิกายวิถีกระแสสวรรค์อย่างนั้นหรือ?’
“ข้าได้ความทรงจำในชาติก่อนมาเพียงหกในสิบส่วน ทั้งหมดเป็นเพียงความทรงจำเรื่องการบ่มเพาะวิชาเท่านั้น ไม่สามารถจดจำสิ่งใดเกี่ยวกับนิกายวิถีกระแสสวรรค์ได้” หญิงสาวเหมือนอ่านใจของเขาออก จึงบอกผ่านกระแสปราณ “แต่ก็มีความรู้สึกคุ้นเคยเมื่อได้ยินชื่อนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ช่างมันเถอะ เราจะรอดูว่าเกิดอะไรขึ้น อวิ๋นหลานเซิงผู้นี้คงไร้เจตนาร้ายต่อเรา”
พร้อมกันนั้น ผู้ชมที่อยู่ระยะไกลต่างตกตะลึง หลังจากได้ยินสิ่งที่อวิ๋นหลานเซิงกล่าวแล้ว มีหรือจะไม่รู้ว่าคนผู้นั้นคือชิงซิ่วอี้?
เมื่อคิดว่าหญิงสาวผู้นี้เคยเป็นศิษย์ของนิกายโบราณอย่างนิกายวิถีกระแสสวรรค์เมื่อชาติปางก่อน และสร้างปาฏิหาริย์เอาไว้ด้วยการเอาชนะทัณฑ์สวรรค์เก้าระลอกภายในคราวเดียว มันก็พลันบังเกิดพายุโหมกระหน่ำขึ้นในจิตใจของใครหลายคน
คนเช่นนั้นต้องเคยน่าเกรงขามขนาดไหนกัน?
อวิ๋นหลานเซิงเหลือบมองหลิงหยาด้วยสายตาเรียบเฉย ทว่าไม่ได้กล่าวอะไรอีก จากนั้นจึงหันไปมองกลุ่มของเฉินซี แล้วคลี่ยิ้มอบอุ่น “ไปกันเถอะ พาข้าไปหาศิษย์ราชวงศ์ซ่งของเจ้าสิ”
ข้อเสนอนี้ดูกะทันหันไปสักหน่อย แต่เมื่อคิดว่าอวิ๋นหลานเซิงเคยอยู่นิกายเดียวกับชิงซิ่วอี้และช่วยเหลือพวกเขามาก่อนหน้านี้ เฉินซีจึงไม่อาจปฏิเสธและพยักหน้ารับทันที
ในเมื่อเฉินซีตกลงแล้ว ชิงซิ่วอี้กับเจิ้นหลิวชิงย่อมไม่คัดค้าน
ภายใต้สายตาริษยาของใครหลายคน กลุ่มของพวกเขามุ่งหน้าไปยังเขตตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองบรรพกาล ซึ่งได้กลายเป็นอาณาเขตของราชวงศ์ซ่งแล้ว
…
“บรรพบุรุษหลิงหยา เราจะปล่อยพวกนั้นไปง่าย ๆ เช่นนั้นหรือขอรับ?” ซางเชวี่ยร้องเสียงแหลม เผยความไม่ยินยอมออกมาเต็มที่
เพียะ!
เสียงตบดังขึ้น หลิงหยามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาไม่อาจสะกดความโกรธในใจไว้ได้อีกต่อไป จึงเข้าตบหน้าซางเชวี่ยจนร่างของชายหนุ่มกระเด็นไปร่วงลงกับพื้นอย่างแรง และเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ขึ้น เขากระอักเลือดออกจากปาก กระทั่งมีฟันหลายซี่หลุดออกมา
“เศษสวะ! แต่ละรุ่นยิ่งแย่ลงกว่าเดิม! แค่ศิษย์ราชวงศ์ระดับกลางยังจัดการไม่ได้แล้วพวกเจ้าจะไปทำอะไรได้? สมควรตายยิ่งนัก!” เมื่อชายชรานึกภาพก่อนหน้าขึ้นมา เขาก็โกรธจนแทบระเบิด สีหน้าดูโกรธา นัยน์ตาเผยแววดุดันราวกับสามารถกลืนกินศัตรูเข้าไปได้
ซางเชวี่ยหวาดกลัวจนตัวสั่น เขากุมใบหน้าด้านขวาที่บวมเป่งและช้ำเลือดเอาไว้ ในขณะที่ภายในใจรู้สึกโกรธระคนขุ่นเคือง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา เพราะกลัวว่าจะทำให้ผู้เป็นบรรพบุรุษโกรธจนสังหารเขาทิ้ง
“ขยะ! พวกเจ้ามันขยะทั้งนั้น!” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเผยทีท่าหวาดกลัวออกมา บรรพบุรุษหลิงหยาก็โกรธจนอยากขยี้ขยะพวกนี้ให้สิ้นไป แต่สุดท้ายก็ระงับความรู้สึกนั้นเอาไว้ได้
ตระกูลซางในตอนนี้นับว่าถูกทำลายสิ้นแล้ว เหลือเพียงแค่ซางเชวี่ยเท่านั้น หากสังหารเขาด้วย เช่นนั้นการทดสอบครั้งสุดท้ายในสมรภูมิบรรพกาลครั้งนี้ก็จะไร้ซึ่งตระกูลซาง
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ไฟโทสะในใจของบรรพบุรุษหลิงหยาจึงมอดลงมาก ขณะเหลือบตามองซางเชวี่ยอย่างเยือกเย็น “พวกมันตายแล้ว แต่เจ้าเสียอาณาเขตไปแล้วหรือยัง?”
ซางเชวี่ยรีบส่ายหน้า “ไม่เลย ไม่” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขากัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “ท่านบรรพบุรุษ หากท่านมาไม่ทันเวลา ตระกูลเฟิงคงฉวยโอกาสวุ่นวายนี้เข้าชิงอาณาเขตของเราแล้ว นับว่าชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง!”
“หึ! เจ้าจะมาพูดให้ได้อะไรตอนนี้? โทษได้แต่ตัวของเจ้าเองนั่นล่ะที่ทำให้ล้มเหลว!” ชายชราคำรามเสียงต่ำ แต่กลับคลายความโกรธลงมาก หากอาณาเขตยังอยู่ก็ยังไม่เป็นไร ต่อว่าเรื่องอื่นไปก็ไม่มีประโยชน์
“ไปกันเถอะ ไปหยดเลือดครองศิลาสัตย์สัประยุทธ์ เมื่อได้รับการยอมรับแล้ว ไม่เพียงแต่จะสามารถควบคุมพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือได้ แต่เจ้าจะได้รับสมบัติแห่งทวยเทพเมื่อการทดสอบสุดท้ายจบลง!”
เมื่อกล่าวถึงสมบัติแห่งทวยเทพ กระทั่งบรรพบุรุษหลิงหยายังต้องเผยแววตาเร่าร้อน แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ดูไม่ได้ทั้งยังหวาดกลัวของซางเชวี่ย ก็ทำให้เขารู้สึกโกรธสุดขีด และได้แต่ถอนหายใจ ขยะไร้ค่าตัวนี้นับว่าโชคดีจริง ๆ
ซางเชวี่ยไม่รู้ว่าบรรพบุรุษหลิงหยารู้สึกอย่างไร เมื่อได้ยินว่าจะได้สมบัติแห่งทวยเทพเขาก็อึ้งไป ทั้งยังตื่นเต้นจนร่างสั่นไปหมด
…
เมืองบรรพกาล เขตตะวันออกเฉียงเหนือ
ที่นี่คือหอขนาดใหญ่ภายในเขตตะวันออกเฉียงเหนือ มันทั้งโอ่อ่าและตั้งสูงตระหง่าน ในขณะที่โดยรอบมีหออื่น ๆ รายล้อมอยู่ เหมือนกระเรียนในหมูไก่ ดูโดดเด่นยิ่งนัก
ตอนนี้หวงฝู่ฉิงอิง นายน้อยโจว ฟ่านอวิ๋นหลาน จ้าวชิงเหอ และหลิงอวี๋ยืนอยู่ภายในหอแห่งนี้ กำลังมองตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อน
พื้นที่เบื้องหน้ามีบันไดหินเก้าขั้นตั้งอยู่ ยิ่งสูงขึ้นไปในแต่ละขั้น ขณะที่มีบัลลังก์หนึ่งตั้งอยู่ใจกลางเหนือบันได ทำให้สามารถมองลงมาเห็นทั่วทุกมุมของหอแห่งนี้ได้
เห็นได้ชัดว่าเมื่อครั้งเหล่าทวยเทพโบราณยังออกเดินทางอยู่ ที่นี่ต้องเป็นบัลลังก์ที่มีแต่ทวยเทพผู้ได้รับฐานะสูงส่งและเป็นที่เคารพถึงจะสามารถนั่งได้
ทว่าในตอนนี้กลับมีคนสกปรกผู้หนึ่งนอนเกียจคร้านอยู่บนบัลลังก์ มือขวาที่ดูมอมแมมถือน้ำเต้าใส่สุราสีเหลือง ในขณะที่มือซ้ายถือไก่ย่างไว้ กำลังเคี้ยวอาหารกร้วม ๆ อยู่ทีเดียว
ตาแก่ผู้นี้ผอมเหมือนกิ่งไม้ มีเคราแพะ เหม็นกลิ่นสุรา ดวงตาขุ่นมัวจากความมึนเมา สวมชุดขาดรุ่งริ่งและสกปรกมากจนไม่รู้ว่าสีเดิมเป็นสีอะไร เหมือนเป็นขอทานคนหนึ่ง
เขานอนอย่างสบายใจอยู่ตรงนั้น ดื่มไปกินไป ดูไม่ใส่ใจอะไรและดูพึงพอใจมาก
“ตาแก่สกปรกผู้นี้ลบหลู่เหล่าทวยเทพนัก ท่าทางไม่เหมือนผู้บ่มเพาะพลังเลย!” นายน้อยโจวมุ่นคิ้ว ก่อนจะส่งกระแสปราณออกไป
“ดูท่าทางซกมกเกินไปจริง ๆ ยิ่งกว่าอาจารย์ของข้าเสียอีก” จ้าวชิงเหอนึกเปรียบเทียบตาแก่สกปรกตรงหน้ากับอาจารย์ดู เมื่ออยู่ต่อหน้าตาแก่ผู้นี้ อาจารย์ของเขายังแต่งกายเรียบร้อยกว่านัก
“หุบปาก ผู้อาวุโสท่านนี้ช่วยพวกเราจัดการสถานการณ์อันตรายมามากนัก” หวงฝู่ฉิงอิงเอ่ยเตือนทั้งสอง
ตาแก่สกปรกผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันมาก อยู่ ๆ ก็เข้ามาอยู่ในนี้ ก่อนหน้าที่ทูตแดนภวังค์ทมิฬจะมาถึง ทำเอานายน้อยโจวตกใจจนคิดว่าเป็นศัตรูบุกโจมตีและซัดพลังโจมตีใส่อีกฝ่ายไป
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ถูกตาแก่ตบทีเดียวร่วงไปกองกับพื้น ไม่ว่าอย่างไรก็ยืนไม่ขึ้น ทำให้คนอื่น ๆ ตกตะลึงเป็นยิ่งนัก
เพราะอย่างไรนายน้อยโจวก็เป็นขอบเขตจุติ อีกทั้งยังอยู่ในยี่สิบอันดับแรกของศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงคราม
…และเมื่อถูกซัดจนลุกไม่ขึ้นเช่นนี้ พวกเขาจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
เป็นหวงฝู่ฉิงอิงที่เห็นสถานการณ์ดูไม่ดีและขอความเมตตาจากตาแก่ ด้วยเหตุนี้ อีกฝ่ายจึงปล่อยนายน้อยโจวไป ชายหนุ่มในตอนนี้จึงมีแต่ความขุ่นเคืองอยู่เต็มท้อง
แต่ตาแก่สกปรกไร้เจตนาร้ายใด เอาแต่บอกว่ารู้จักเฉินซี อยากพบกับเฉินซี จะไม่ไปไหนจนกว่าจะได้พบกับเขา
ซึ่งก็ยิ่งทำให้ทุกคนประหลาดใจ อีกทั้งองค์หญิงน้อยยังสังเกตว่าอีกฝ่ายแปลกประหลาดนัก ไม่เหมือนกับตัวตนขอบเขตจุติ ทั้งยังไม่เหมือนศิษย์จากราชวงศ์ใดที่เข้ามาในสมรภูมิบรรพกาลด้วยซ้ำ แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นทูต เขาก็มาก่อนที่ทูตจะมาถึง ทำให้ตัวตนของคนผู้นี้ดูลึกลับนัก
อีกทั้งเขายังเอ่ยว่าอยากพบกับเฉินซี ทำให้หวงฝู่ฉิงอิงยิ่งสับสน เพราะเท่าที่นางรู้ เฉินซีไม่ได้มีสหายหรือมีผู้อาวุโสเช่นนี้
ในภายหลังนั้น หวงฝู่ฉิงอิงกับคนอื่น ๆ ก็เชื่อใจตาแก่และให้ความเคารพคนคนนี้มาก
ซึ่งเหตุผลก็ง่ายดายนัก หลังจากทูตแดนภวังค์ทมิฬมาถึง ก็มีหลายคนที่ส่งหน่วยสอดแนมมายังเขตตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองบรรพกาล อีกทั้งยังส่งมาอย่างดุดันเสียด้วย แต่เมื่อเห็นตาแก่สกปรกก็ชะงักไป และรีบหลบหนีกลับไปโดยไม่เอ่ยคำ เหมือนหลบเทพแห่งโรคระบาด กลัวจะหนีไม่พ้นอย่างไรก็อย่างนั้น
หรือก็คือเพราะมีตาแก่ผู้นี้อยู่ จึงช่วยรับมือกับปัญหาอันตรายมากมายได้อย่างอ้อม ๆ มีหรือพวกนางจะกล้าดูหมิ่นเขาได้?
‘ไม่รู้ว่าเฉินซีอยู่ที่ใดกันแน่ เหตุใดถึงยังไม่กลับมา? หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?’ หวงฝู่ฉิงอิงครุ่นคิด คิ้วงามขมวดน้อย ๆ
“ในที่สุดเจ้าเด็กนี่ก็มา ปล่อยให้ข้ารอเสียนาน อยากทุบมันจริงเชียว” จังหวะนั้นเองที่ตาแก่สกปรกพลันเขวี้ยงกระดูกไก่ที่กินจนสะอาดทิ้งแล้วลุกขึ้น
ชั่วพริบตาต่อมา เขาก็หายตัวไปจากบัลลังก์ทั้งอย่างนั้น ทั้งยังไม่เกิดพลังผันผวนใด ๆ ทั้งสิ้น!
หวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะตกใจเมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ถึงพวกนางจะมองตาแก่เป็นผู้บ่มเพาะประหลาดคนหนึ่ง แต่เมื่อเห็นภาพประหลาดเช่นนี้ก็ยังตกใจอยู่ดี
น่ากลัวเกินไปแล้ว! เคลื่อนมิติได้ดั่งใจนึก! พลังเช่นนี้ย่อมต้องมีความเข้าใจลึกล้ำในมหาเต๋าแห่งมิติ!
“หืม? เดี๋ยวก่อน หรือว่าตาแก่จะพูดถึงเฉินซี?” นายน้อยโจวชะงักไป
“เราไปดูกันเถอะ”
…
บนเส้นทางภายในเขตตะวันออกเฉียงเหนือ เฉินซี ชิงซิ่วอี้ และเจิ้นหลิวชิงมาพร้อมกับชายหนุ่มรูปงามอวิ๋นหลานเซิง กำลังมุ่งหน้าไปไม่ช้าไม่เร็ว ราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ที่สวนหลังเรือน
ตอนนี้กลุ่มของเฉินซีรู้แล้วว่าอวิ๋นหลานเซิงเป็นศิษย์จากนิกายโบราณ นิกายวิถีกระแสสวรรค์ อีกทั้งยังอยู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่แปด
แต่เมื่อเฉินซีถามเขาเรื่องชาติที่แล้วของชิงซิ่วอี้ อวิ๋นหลานเซิงกลับเงียบไม่ตอบอะไร บอกเพียงว่าหากนางกลับไปยังนิกายวิถีกระแสสวรรค์จะเข้าใจเอง
สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ไม่คลายความสงสัย แต่ยังทำให้ชายหนุ่มยิ่งอยากรู้กว่าเดิมว่า ชาติก่อนชิงซิ่วอี้เป็นใครกันแน่? เหตุใดจึงทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่แปดอย่างอวิ๋นหลานเซิงต้องปิดบังไม่กล่าวถึงเช่นนั้น?
“เจ้าหนู ข้ารอเจ้ามานานแล้ว!” เป็นตอนนั้นเองที่มีร่างผอมร่างหนึ่งพลันปรากฏอยู่ไกล ๆ คนผู้นั้นมีเคราแพะ เหม็นกลิ่นสุรา นัยน์ตาขุ่นมัวด้วยความมัวเมา เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่งทั้งยังสกปรก หรือก็คือตาแก่สกปรกที่หวงฝู่ฉิงอิงแล้วคนอื่น ๆ กำลังพูดถึงเมื่อก่อนหน้านั่นเอง!