บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 525 เซียนสวรรค์จุติ
บทที่ 525 เซียนสวรรค์จุติ
บทที่ 525 เซียนสวรรค์จุติ
ที่มาของหม้อหยกใบนี้ดูลึกลับยิ่ง
ตอนที่เขาเห็นหม้อหยกครั้งแรกเป็นตอนที่อยู่บนเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น ตอนนั้นหม้อหยกปลดปล่อยแสงสีขาวนวลออกมาสว่างจ้า ทำให้เฉินซีคิดว่ามันเป็นสมบัติวิเศษในรูปเครื่องประดับหยก
ภายหลังตอนอยู่ที่ก้นแม่น้ำแห่งกระดูก เขาจึงได้เห็นร่างที่แท้จริงของมัน ที่สำคัญคือยังรู้อีกว่าหม้อหยกใช้เพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาวในการกลั่นตัวมัน ทำให้สามารถดูดซับอักขระมหาเต๋าบนกระดูกเซียน
เหตุการณ์นี้ทำให้เฉินซียิ่งมั่นใจว่าที่มาของหม้อหยกต้องไม่ธรรมดา
อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังก็พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เขาคาดเดาไว้นั้นถูกต้อง
ไม่เพียงแต่หม้อหยกจะสามารถทำลายประกาศิตเซียนสวรรค์ของเผยอวี่ได้ มันยังกลืนเจตจำนงแห่งเซียนสวรรค์ที่ตระกูลซางใช้ได้อีกต่างหาก ช่วยชีวิตเขาไว้ถึงสองครั้ง มีหรือที่สมบัติธรรมดาจะมีอานุภาพมหัศจรรย์เช่นนี้ได้?
และตอนนี้หม้อหยกที่ดูลึกลับอยู่ตลอดพลันพูดขึ้นมา อีกทั้งยังบอกตามตรงว่ามันบาดเจ็บสาหัส แล้วเฉินซีจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
หม้อหยกนี่แกร่งกล้าสามารถแม้จะบาดเจ็บหนัก จะมีใครสามารถเอาชนะมันได้อีก?
นอกจากนั้นแล้ว หากมันแข็งแรงดีจะยิ่งมีพละกำลังขนาดไหนกัน?
“ไม่ต้องเค้นสมองคิดอะไรให้มากมายหรอก ใต้หล้ายังสมดุลดี เราไม่เข้าใจหรอกว่าเหตุใดจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ก็เหมือนกับที่เคหาภายในยันต์หยกในฝ่ามือของเจ้า เมื่อปลดปล่อยออกมาก็จะทำลายสมดุลฟ้าดินได้ ทำให้เกิดสิ่งแปรปรวนต่าง ๆ ขึ้นมากมาย ข้าว่าเจ้าก็รู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้ว” ตอนที่เฉินซีกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก หม้อหยกก็พลันเอ่ยคำ
ชายหนุ่มชะงักไปทันที ไม่คิดว่าหม้อหยกจะสังเกตเห็นความลับสำคัญข้อนี้ของเขาได้!
อีกครั้ง… ก็เป็นอย่างที่มันกล่าว เขาไม่กล้าใช้เคหาบ่มเพาะภายในจี้หยกตอนอยู่ในสมรภูมิบรรพกาลจริง ๆ เพราะเป็นอย่างที่จี้อวี๋ว่าไว้ เมื่อเคหาแห่งนี้ปรากฏขึ้น ผู้บ่มเพาะในคณะทูตจากแดนภวังค์ทมิฬก็จะสังเกตเห็น ซึ่งไม่รู้ว่าจะนำภัยหรือโชคมาสู่ตัวกันแน่
แต่ก็เพราะเช่นนี้ มู่ขุย หลิงไป๋ และไป๋คุยจึงสามารถหลบซ่อนอยู่ภายในนั้น และเข้ามาในสมรภูมิบรรพกาลได้อย่างปลอดภัยโดยไร้คนเห็น
ทว่าตอนนี้หม้อหยกกลับเอ่ยเช่นนี้ เพราะเห็นได้ชัดว่าเป็นกังวลว่าจะมีผู้เยี่ยมยุทธ์คนใดสังเกตเห็นเคหานั้นและนำภัยมาสู่เฉินซีได้
“ใต้หล้านี้ยังมีใครที่สามารถจับตามองทุกย่างก้าวของทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ด้วยหรือ?” เฉินซีอดถามขึ้นไม่ได้
“ทั้งมีและไม่มี” หม้อหยกตอบ “หรือก็คือ เจ้าเพียงต้องเข้าใจว่ากฎแห่งฟ้าดินมีสมดุล หากมีสิ่งใดสั่นคลอนสมดุลนั้น ก็จะถูกสังเกตเห็นได้”
ชายหนุ่มจึงเข้าใจขึ้นมา ในใจรู้สึกตกตะลึงนัก หรือก็คือเคหาบ่มเพาะภายในจี้หยกของฝ่ามือเขาสามารถสั่นคลอนสมดุลฟ้าดินได้อย่างนั้นหรือ?
‘ต่อไปข้าคงต้องระวังสักหน่อย ไม่เช่นนั้น หากมีใครอยากได้จี้หยก คงตกที่นั่งลำบากแน่…’ เฉินซีคิดในใจ
“ส่งจารึกนั่นมาให้ข้า ข้าจะส่งความลึกล้ำแห่งการทำลายล้างไปให้เจ้าเอง” หม้อหยกเอ่ยย้ำอีกครั้ง
ครั้งนี้เฉินซีตกลงโดยไม่ลังเล ถึงมันจะไม่ยอมส่งความลึกล้ำแห่งการทำลายล้างมาให้ เขาก็ยังยอม เพราะอย่างไรหม้อหยกนี้ก็ช่วยชีวิตเขาไว้ถึงสองครั้ง บุญคุณใหญ่หลวงเช่นนี้เทียบกับศิลาแผ่นหนึ่งไม่ได้เลย
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
ลูกบอลสีขาวสว่างไสวราวกับน้ำนมขยายคลุมจารึกพลังแห่งการทำลายล้าง ปลดปล่อยเสียงลั่นเปรี๊ยะออกมา พริบตาเดียวหม้อหยกก็กลืนกินมันไปจนหมด ในขณะที่ตัวหม้อดูกระจ่างใสขึ้น เรืองไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ดูงดงามตานัก
“เต๋ารู้แจ้งไร้รูปไร้ร่าง การใช้งานขึ้นอยู่กับความเฉลียวฉลาดของบุคคล ความรู้แจ้งในการทำลายล้างมาจากกฎแห่งการทำลายล้าง มันมีอำนาจกล้าแกร่ง และหาได้ยากนัก… จงสงบจิตใจและทำความเข้าใจมันเสีย มันไม่ได้ยากอะไรอยู่แล้ว…” จากนั้นหม้อหยกก็ส่งต่อพลังลึกล้ำแห่งการทำลายล้างให้เฉินซีจริง ๆ
พริบตาต่อมา ก็เกิดเสียงหึ่งอยู่ภายในจิตใจของเขา ทันใดนั้นก็เหมือนกับเขากำลังแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางอวกาศอันเวิ้งว้าง เห็นภาพทางช้างเผือก อีกทั้งยังเห็นโลกต่าง ๆ เกิดขึ้นและดับสลับกันไป
เห็นดวงดาวพุ่งชนกัน เกิดเสียงปะทะดังลั่นขึ้นในจักรวาล
เห็นโลกทั้งหลายพุ่งเข้าใส่กัน โลกสองใบที่ทับซ้อนกันถูกลบล้างไปกลายเป็นความว่างเปล่า
เห็นสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกหายไปท่ามกลางการปะทะรุนแรง กลายเป็นความว่างเปล่า เลือนหายไปตลอดกาล…
ภาพที่เกี่ยวกับ ‘การทำลายล้าง’ ทั้งหลายฉายผ่านเข้ามาในหัว ราวกับว่าพวกมันถูกหน่วงให้ช้าลงหลายเท่า ทำให้เขาเห็นภาพทุกรายละเอียดอย่างเด่นชัด
ความเข้าใจและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ ‘การทำลายล้าง’ ทำให้ฉินซีพลันรู้แจ้งขึ้นมา เกิดช่วงเวลาสงบสุขและปีติยินดีในความเข้าใจนั้น ทันใดนั้นร่างของเขาก็แวบหายไป จากนั้นเริ่มฝึกฝนเพลงหมัดมหาทำลายล้างอย่างไม่ทันรู้ตัว
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
เขาออกหมัดนับครั้งไม่ถ้วน เงาร่างซ้อนทับกันครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะยังไม่ได้ใช้ปราณแท้ แต่เมื่อหมัดนั่นวาดผ่านอากาศ ก็ราวกับวาฬสะเทือนสมุทร ทำให้พื้นที่ถูกลบล้างไปทีละนิด มวลอากาศรอบกายถูกระเบิดออกจากกัน ในขณะที่ปลดปล่อยเสียงลั่นออกมา
เมื่อมองไกล ๆ ทั่วทั้งร่างของเฉินซีจึงราวกับกำลังแหวกว่ายอยู่ในอวกาศ ซึ่งแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทุกพื้นที่ที่แรงหมัดพุ่งปะทะ ห้วงเวลาจะถูกทำลายและเกิดใหม่เหมือนวัฏจักร เป็นการกลับชาติมาเกิดอันไร้ที่สิ้นสุด นับเป็นภาพที่ดูแปลกตายิ่ง
เป็นที่รู้กันว่าเต๋ารู้แจ้งที่ไร้ขอบเขตที่สุดในใต้หล้านี้ อยู่ในรูปแบบของสองพลังสุดขั้วที่ตีกันเอง ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ยกตัวอย่างเช่น น้ำไฟ หยินหยาง ฟ้าดิน และอื่น ๆ เพลงหมัดมหาทำลายล้างก็ใช้พลังนี้เช่นกัน
หรือก็คือพลังทำลายล้างคือสิ่งที่เกิดจากพลังสุดขั้วสองอย่างผสานกัน ทุกการเคลื่อนไหวทำให้พลังเข้าปะทะกันและเกิดความโกลาหล ปะทุพลังสูงส่งออกมา
อีกทั้งเต๋าแห่งการทำลายล้างยังคล้ายกับเต๋ารู้แจ้งกระบี่ ดาบ และการกลืนกิน ซึ่งล้วนเป็นวิธีการใช้พลัง และหากไม่มีเต๋าแห่งการทำลายล้าง เพลงหมัดมหาทำลายล้างก็จะไม่สมบูรณ์ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม!
เฉินซีกำลังตกอยู่ในภวังค์ความเข้าใจ ท่วงท่าดั่งมังกรขยับเคลื่อนยามส่งหมัด แม้จะยังไม่ได้ใช้ปราณแท้ เพียงเต๋ารู้แจ้งที่แฝงอยู่ในท่วงท่าก็สามารถทำให้ทุกสิ่งในระยะหกลี้ตกอยู่ในความโกลาหลได้แล้ว
คลื่นที่ม้วนตัวอย่างรุนแรงปรากฏขึ้น ก่อนจะถูกทำลายทีละชั้น
หินขนาดมหึมา ต้นหญ้า และต้นไม้โบราณแตกสลายเป็นผง สลายไปพร้อมกับสายลม
ครืน!
ท่ามกลางกาลเวลาที่ผันผ่าน การเคลื่อนไหวของท่าหมัดยิ่งมีทักษะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ความน่าเกรงขามเพิ่มขึ้นไม่หยุด ทำให้ทุกอย่างรอบกายตกอยู่ในความวิบัติ ทั้งแรงลม กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ล้วนตกลงสู่ห้วงโกลาหล
เรากับทุกอย่างถูกสยบด้วยพลังทำลายล้าง สูญสิ้นไปในพริบตา
“พลังแห่งการทำลายล้าง!” วิปลาสหลิ่วที่อยู่ห่างออกไปมองวิชาหมัดที่เฉินซีใช้แล้ว นัยน์ตาขุ่นมัวพลันส่องประกายเจิดจ้า ภายในแววตาแฝงด้วยความประหลาดใจ ความชื่นชม และความตกตะลึง เหมือนไม่คิดว่าชายหนุ่มจะสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับความลึกล้ำของมหาเต๋าที่มีพลังสูงส่งเช่นนั้นได้
“เวลานี้มาถึงจนได้…” แต่หลังจากนั้นก็เหมือนสังเกตบางอย่าง เขาเคลื่อนสายตาออกจากร่างเฉินซี มองไปยังขอบฟ้าห่างไกล สายตาคู่นั้นดั่งสายฟ้าที่มองเห็นทุกความลับของฟ้าดิน
…
ตอนนี้คณะทูตในเมืองบรรพกาลเหมือนสังเกตบางอย่างได้ จึงหยุดมือกับเรื่องที่ทำตรงหน้า มองไปยังฟ้าไกลทันที
ทันใดนั้นก็มีกลีบดอกไม้นับไม่ถ้วนโปรยลงมาจากฟากฟ้า ส่งกลิ่นหอมเตะจมูกคนทุกหมู่ เหมือนกำลังสรรเสริญระคนปลื้มปีติ รอบกายพลันได้ยินเสียงสวดมนต์พร้อมกับกลีบบุปผาปลิดโปรย ทำให้รู้สึกราวกับจิตใจและร่างกายได้รับการชำระล้าง จิตวิญญาณรู้สึกสดชื่น
หลังจากนั้นแสงสีทองก็พุ่งออกมาก่อนจะกลายร่างเป็นชายคนหนึ่ง
เขาเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้านัก แสงสีทองอาบทั่วร่าง รอบกายมีแสงมงคลเปล่งออกมาเป็นรัศมี ทำให้โลกทั้งใบสว่างไสวจนทุกสิ่งในโลกกลายเป็นเงามืด
อีกทั้งกลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างยังลุ่มลึกดั่งมหาสมุทรอันลึกล้ำ ราวกับภายในร่างบรรจุความพิศวงของทั้งจักรวาลเอาไว้ ทำให้เขาเปล่งประกายและสง่างาม คล้ายกับจะโอบกอดทุกสิ่งอย่างในโลกเอาไว้ได้
ราวกับว่ากำมือนั้นได้ควบคุมทุกอย่างในโลกหล้าเอาไว้แล้ว กุมอำนาจสูงสุดที่สามารถอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างได้เอาไว้
ภายในชั่วพริบตานั้น จิตใจของทุกคนในเมืองบรรพกาลก็สั่นสะท้าน รู้สึกว่าหากคนผู้นี้ต้องการ เพียงหนึ่งลมหายใจก็สามารถกวาดล้างทุกคนจนเหลือเพียงผุยผงได้
นับว่าน่ากลัวจนถึงขีดสุด!
แต่ปรากฏการณ์นี้รั้งอยู่แค่ชั่วประเดี๋ยว เมื่อทุกคนตั้งสติได้ กลีบดอกไม้ที่ปลิวว่อนอยู่ในอากาศ กลิ่นหอมเตะจมูก เสียงสวดมนต์ รวมถึงเงาร่างดั่งเซียนนั้น… ทุกอย่างพลันหายไป ทำให้ทุกคนอดคิดไม่ได้ว่าตนเองเห็นภาพหลอนใช่หรือไม่
แต่ภายในใจย่อมรู้ดีว่ามันไม่ใช่ แต่เป็นเซียนสวรรค์ตัวจริงลงมาจุติต่างหาก!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจจึงรู้สึกตื่นเต้น เป็นเซียนสวรรค์! ในหมู่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกหล้านี้ จะมีสักกี่คนที่ได้เห็นความสง่างามของเซียนสวรรค์ด้วยสองตาตนเช่นนี้บ้าง?
แต่แม้ในใจจะตื่นเต้น ก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียงวุ่นวาย เพราะเกรงว่าจะไปรบกวนเซียนสวรรค์ และทำให้ตนเองตกสู่ห้วงฝันร้ายไปตลอดกาล
“หืม?” เฉินซีพลันสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความเข้าใจอันลึกล้ำ เขามองรอบกายด้วยสีหน้าสับสนและมึนงง พร้อมกับพึมพำออกมาว่า “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกัน? เหตุใดจึงรู้สึกหวาดกลัวและรู้สึกกดดันเช่นนี้?”
“เซียนสวรรค์จุติ” หม้อหยกพลันเอ่ย
“เซียนสวรรค์?” ชายหนุ่มหรี่ตาลง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจ “คงไม่ใช่ปิงซื่อเทียนผู้นั้นกระมัง!?”
“จิตใจเจ้าปั่นป่วนเล็กน้อย หรือว่าจะเกี่ยวกับเซียนสวรรค์ผู้นั้น?” หม้อหยกว่า “จริง ๆ แล้วเจ้าไม่ต้องประหม่าไปหรอก นั่นเป็นเพียงร่างจำแลงเซียนสวรรค์เท่านั้นเอง ในเมื่อลงมาจุติยังสมรภูมิบรรพกาล ย่อมต้องถูกพลังจากกฎแห่งฟ้าดินกดพลังเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถเผยกำลังที่แท้จริงของเซียนสวรรค์ได้”
“เช่นนั้น… เขาแข็งแกร่งเพียงใด?” เฉินซีอดถามขึ้นไม่ได้
“แกร่งกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีระดับเก้าเล็กน้อย” หม้อหยกเงียบไปนานก่อนจะตอบคำถาม
เฉินซีหัวเราะเสียงขมขื่นออกมา ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเก้าสามารถเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ กลายเป็นเซียนสวรรค์ได้แล้ว เขายังอุตส่าห์จะแกร่งกว่าเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเขาแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าแล้วหรืออย่างไร?
แต่เขาก็เข้าใจบางอย่างจากสิ่งที่หม้อหยกบอก ร่างที่แท้จริงของปิงซื่อเทียนยังไม่มาถึงที่นี่ ที่จุติลงมาเป็นเพียงร่างจำแลงเท่านั้น
ถึงกระนั้น พลังของร่างจำแลงนี้ก็มากพอจะทำให้ใจคนตกตะลึงได้แล้ว ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เขาในตอนนี้จะสามารถต่อกรด้วยได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินซีจึงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“หากรู้สึกว่ารับมือยากข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้ แต่ข้ามั่นใจว่าจะสามารถกำจัดร่างจำแลงเซียนสวรรค์ได้เพียงสามในสิบส่วนเท่านั้น เจ้าอยากลองดูหรือไม่เล่า?” หม้อหยกพลันเอ่ยขึ้น นับว่าเป็นคำพูดเหลือเชื่อในความคิดของเฉินซี