บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 53 การเผชิญหน้า
บทที่ 53 การเผชิญหน้า
บทที่ 53 การเผชิญหน้า
ณ ห้องโถงตำรา
รูปแบบของห้องโถงนี้ถูกสร้างแตกต่างกับห้องโถงสมบัติโดยสิ้นเชิง เนื่องจากภายในที่แห่งนี้ไม่มีห้องใด ๆ นอกจากพื้นที่ขนาดใหญ่ราวสี่ลี้อยู่ข้างในห้องโถง
ชั้นวางตำรามีความสูงราวสิบสองจั้ง พวกมันเรียงรายกันเป็นแถวยาว ซึ่งครอบคลุมทุกพื้นที่ภายในห้องโถงทั้งหมด หากมองลงมาจากที่สูง จะเห็นได้ว่าชั้นวางตำรานี้จัดเรียงเป็นรูปแปดเหลี่ยม และมีลักษณะเป็นชั้น ๆ ราวกับดอกไม้ผลิบาน
ขณะที่เดินเข้าไปข้างใน มันให้ความรู้สึกเหมือนก้าวเข้าไปในเขาวงกตอันคดเคี้ยว ทุกหนทุกแห่งที่สายตากวาดผ่าน เต็มไปด้วยชั้นวางตำราที่เต็มไปด้วยแผ่นหยกมากมาย และไม่อาจแยกแยะทิศทางใด ๆ ได้
ขณะนี้เฉินซีเดินไปตามห้องโถงลัดเลาะไปตามชั้นวางตำราทั้งหลาย
“การสร้างยันต์อักขระ การเชิดหุ่น การฝึกสัตว์อสูร พฤกษศาสตร์ เคล็ดควบคุมพลังธรรมชาติ เคล็ดวิชาต่อสู้… ห้องโถงตำราครอบคลุมทุกสิ่งจริง ๆ!” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ
จี้อวี๋ที่อยู่ห่างออกไปวางแผ่นหยกในมือแล้วส่ายศีรษะ “แม้จะมีจำนวนมาก แต่ก็หาได้ล้ำค่าหรือหายาก ตามที่ข้าเห็น เคล็ดวิชาส่วนใหญ่ล้วนแต่ธรรมดาทั้งสิ้น”
เฉินซีไม่ได้โต้แย้งใด ๆ เพราะเขารู้ว่าชายชราผู้นี้จุกจิกเพียงใด การที่จี้อวี๋ถือแผ่นหยกเหล่านี้ด้วยความดูถูกก็ย่อมมีเหตุผล อย่างไรก็ตาม แผ่นหยกเหล่านี้นับว่ามีค่าสำหรับชายหนุ่มมาก
เขายากจนตั้งแต่วัยเยาว์ ยามเมื่อเขาไปที่หอวิจิตรแห่งเมืองหมอกสน เพื่อซื้อเคล็ดวิชาต่อสู้ที่เขาต้องการ เขากลับถูกเย้ยหยันโดยข้ารับใช้หญิง ถ้าไม่ใช่เพราะฉินหงเหมี่ยน องค์หญิงน้อยแห่งจวนแม่ทัพออกหน้าแทน เขาคงทำได้เพียงแต่กล้ำกลืนคำเย้ยหยันและต้องอดกลั้นอย่างเงียบ ๆ แล้วจากไปด้วยความเศร้าหมอง
ดังนั้น เขาได้ตัดสินใจแล้วว่า แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฝึกบ่มเพาะเคล็ดวิชาเหล่านี้ แต่เขาก็จะเอาแผ่นหยกพวกนี้กลับไป เพราะการแลกเปลี่ยนพวกมันกับศิลาวิญญาณจะต้องได้รับความมั่งคั่งมหาศาลเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้กลับมีเสียงของฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอกห้องโถง
ผู้คนช่างรวดเร็วนัก!
เฉินซีรู้สึกตกใจ ในขณะนี้ คงเป็นไปไม่ได้แล้วที่เขาจะยึดครองแผ่นหยกทั้งหมดนี้เป็นของตัวเอง แต่เขาก็กลัวจะพลาดโอกาสอันหาได้ยากนี้เช่นกัน
ข้าควรทำอย่างไรดี?
ข้ากลับมามือเปล่าจากห้องโถงสมบัติ เป็นไปได้ไหมว่าข้าจะต้องพบกับชะตากรรมเดียวกันกับห้องโถงตำราในครานี้?
“ข้าได้ช่วยเจ้าคัดเลือกเคล็ดวิชากระบี่ เคล็ดควบคุมพลังธรรมชาติ และวิชาตัวเบา เจ้ายังขาดสิ่งใดอีก?” ขณะที่จี้อวี๋กล่าวจบ พลันยื่นมือออกและกวาดมันไปในอากาศอย่างต่อเนื่อง แผ่นหยกจำนวนมากก็บินมาหาเขาราวกับว่าพวกมันงอกปีกขึ้นมาในทันที
เฉินซีตกตะลึงแล้วถาม “ข้าเอาไปทั้งหมดเลยได้หรือไม่?”
ใบหน้าของจี้อวี๋ส่อแววผิดหวังและเขาก็หยุดสิ่งที่เขากระทำในทันใด
เฉินซีกล่าวสาปแช่งอยู่ในใจ เขาอยู่กับจี้อวี๋มาเป็นเวลาเนิ่นนานและเข้าใจนิสัยใจคอของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี จี้อวี๋ยอมอุทิศตัวเองเพื่อคอยชี้แนะการบ่มเพาะให้เฉินซี แต่ถ้าชายหนุ่มขอให้เขาทำอะไรที่เขาไม่ต้องการทำ มันย่อมเป็นไปไม่ได้
ตามที่ชายชรากล่าวเสมอ เมื่อเฉินซีผ่านบททดสอบทั้งหมดภายในบททดสอบจากสรวงสรรค์ และเป็นศิษย์ของปรมาจารย์แห่งเคหาบ่มเพาะเท่านั้น เฉินซีจึงมีสิทธิ์พอที่จะสั่งเขาได้
ในขณะนี้ เมื่อเขาเห็นจี้อวี๋ไม่พอใจ เฉินซีก็รีบกล่าวคำขอโทษในทันที “ผู้อาวุโสจี้อวี๋ ข้าขอโทษ ข้าเป็นผู้เยาว์ที่ละโมบเกินไป หากข้าสามารถเลือกได้ ข้าก็หวังว่าจะได้รับแผ่นหยกสำหรับสร้างยันต์อักขระ”
เฉินซีรู้ดีว่าตราบใดที่เขากล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างยันต์ จี้อวี๋จะรู้สึกยินดียิ่งนัก เนื่องจากปรมาจารย์ผู้อาวุโสฝูซี ได้พินิจแผนภาพวารีหลากอย่างถ่องแท้ และบรรลุถึงความหมายอันลึกซึ้งเบื้องหลังวัฏจักรของความลับแห่งสวรรค์ เพื่อให้เข้าใจมหาเต๋าอย่างถ่องแท้และก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของวิถีเต๋าแห่งยันต์อักขระ
และมันเป็นเพราะเขาก็เข้าใจเกี่ยวกับเต๋าแห่งยันต์อักขระ หากเขาสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตซ่อนดาราได้ เมื่อนั้นเขาก็จะได้รับการยอมรับจากจี้อวี๋
ตามที่คาดไว้ ท่าทีของจี้อวี๋ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้ยินว่าเฉินซียังคงคิดถึงเต๋าแห่งยันต์อักขระอยู่ตลอดเวลา เขาพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา ก่อนจะกวาดมือออกไปในอากาศและแผ่นหยกนับสิบแผ่นก็พุ่งเข้าไปหาเฉินซี
แผ่นหยกสำหรับการสร้างยันต์อักขระสิบสามแผ่น ประกอบกับแผ่นหยกที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชากระบี่ เคล็ดวิชาตัวเบา และเคล็ดวิชาควบคุมพลังธรรมชาติ เมื่อนับรวมทั้งหมดแล้ว เขาก็มีแผ่นหยกถึงยี่สิบแผ่น
แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของแผ่นหยกในกรุตำรา แต่แผ่นหยกที่ผู้อาวุโสจี้อวี๋เลือกให้ควรจะมีคุณค่าราวกับอัญมณีด้วยซ้ำ
เฉินซีเก็บแผ่นหยกไว้ในแหวนมิติของเขา จากนั้นจึงติดตามจี้อวี๋ เพื่อหลบออกไปยังทางที่เขาลอบเข้ามา
เสียงฝีเท้าเริ่มใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ และมันก็ปะปนกันไปกับเสียงอึกทึกของผู้คน ผู้บ่มเพาะทั้งหมดที่เข้ามายังห้องโถงส่วนมากมีการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิลและได้รวมกลุ่มก่อนที่จะก้าวเข้ามา ความห่างชั้นของพลังการบ่มเพาะและจำนวนของพวกเขา ทำให้เฉินซีไม่กล้าที่จะรั้งอยู่ต่อไปอีก
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ร่องรอยของเขาถูกตรวจพบ เขาหาได้แตะต้องแผ่นหยกบนชั้นวางตำราที่อยู่ใกล้เคียง เนื่องจากเกรงว่าผู้อื่นจะสังเกตเห็นบางสิ่งจากร่องรอยนั้น
ต่างกับคนอื่น ๆ ที่จะเข้าห้องโถงผ่านประตูหลัก เฉินซีกลับเข้ามาผ่านทางเดินเล็ก ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในห้องโถงใหญ่ หากไม่ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน มันจะเป็นเรื่องยากที่จะสังเกตเห็นทางเดินลับนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่พบผู้บ่มเพาะแม้แต่คนเดียวระหว่างถอนตัวออกมา
“ฮ่า ๆๆๆ! กรุตำราของตงหมิงเหลือมรดกทิ้งไว้เบื้องหลัง!” ทันใดนั้นเสียงหัวเราะแหบแห้งก็ดังขึ้นภายในห้องโถง “แผ่นหยกที่อยู่บนชั้นวางตำราโดยรอบนี้น่าจะมีอย่างน้อยสองสามหมื่นแผ่น อีกทั้งมันยังถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงเป็นเวลานับหมื่นปี ยามนี้มันจะมีประโยชน์ต่อเราแทน นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง!”
‘คนผู้นี้ไม่ได้ปิดบังความตื่นเต้นของเขาจริง ๆ’ เฉินซียืนอยู่หน้าประตูที่ซ่อนอยู่ไกลออกไปและอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะยามที่ได้ยินเสียง ขณะที่เขากำลังจะจากไป ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นทำให้เขาต้องหยุดชะงักในทันที
“สหายเต๋าของนิกายหงสาเมฆาชาด เจ้าไม่รู้สึกตื่นเต้นเร็วเกินไปหรือ?” น้ำเสียงนั้นอบอุ่นและเป็นกันเอง แต่เมื่อมันลอดผ่านเข้าไปในหูของเฉินซี มันกลับทำให้จิตสังหารพวยพุ่งสู่หัวใจของเขาแทน
ไฉ่เล่อเทียน!
แม้ว่ามันผู้นี้จะแปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่าน เฉินซีก็ยังจดจำเจ้าของเสียงนี้ได้
ยามที่เขาระลึกถึงการถูกลอบทำร้ายจากคนผู้นี้ที่แนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาดทำให้ตัวเขาต้องตกลงไปในหุบเหวลึก ความชิงชังได้ก่อขึ้นในหัวใจของเฉินซี และทวีคูณจนมิอาจควบคุม และท่าทางของเขาก็เย็นชาลงยิ่งนัก
“ผู้อาวุโสจี้อวี๋ ข้าขออยู่ต่ออีกหน่อยนะขอรับ” เฉินซีสูดหายใจเข้าลึกและพูดผ่านกระแสปราณด้วยน้ำเสียงจริงจัง
จี้อวี๋เหลือบมองชายหนุ่ม และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “จงจัดการศัตรูของเจ้าด้วยมือตัวเองซะ ข้าจะไม่ช่วยเจ้าแม้ว่าเจ้าจะถูกเขาฆ่าตาย”
เฉินซีพยักหน้ารับ ต้องฆ่าศัตรูด้วยมือทั้งสองของตนเองเท่านั้น จึงจะสามารถระบายความชิงชังในหัวใจของเขาได้
ฟุ่บ!
เฉินซีเหลือบมองรอบ ๆ ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนมุมของคานหินราวกับเสือดาว คานหินนี้กว้างราวสามเมตรและจัดเรียงในรูปแบบกากบาทด้วยคานหินหลายสิบลำ มันจึงเป็นดั่งตาข่ายขนาดใหญ่ที่พาดผ่านด้านบนของห้องโถงทั้งหมด ดังนั้นเขาไม่กังวลว่าจะถูกค้นพบยามที่ซ่อนตัวอยู่ตรงนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสามารถเห็นสถานการณ์ในห้องโถงทั้งหมดจากตำแหน่งนี้ ตามการคาดเดาของเฉินซี ผู้บ่มเพาะของนิกายหงสาเมฆาชาดจะต้องปะทะกับกลุ่มของไฉ่เล่อเทียน เพื่อแย่งชิงแผ่นหยกที่อยู่ภายในห้องโถงอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงสามารถซ่อนตัวอยู่ที่นี่และเลือกโอกาสที่ดีที่สุดในการลอบจู่โจมไฉ่เล่อเทียนได้อย่างหมดจด!
ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลจะครอบครองญาณตระหนักรู้ ซึ่งจะทำให้ประสาทสัมผัสทั้งหกของพวกเขาเฉียบคมและไวต่อสิ่งรอบตัวยิ่งขึ้น เฉินซีจึงไม่กล้าใช้ญาณตระหนักรู้ของเขา แต่เลือกที่จะเก็บซ่อนกลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างกาย จากนั้นนอนราบลงบนคานหินราวกับเงาดำเล็ก ๆ ดวงตาของเขาหรี่ลงขณะที่จ้องมองไปยังห้องโถงด้านล่างอย่างระมัดระวัง
ในขณะนี้ กลุ่มผู้บ่มเพาะทั้งสองกลุ่มได้รวมตัวกันภายในห้องโถง
กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มผู้บ่มเพาะที่นำโดยไฉ่เล่อเทียนและคนรู้จักของเฉินซี เช่น ตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อ ซ่งหลิน…
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง มีผู้บ่มเพาะที่เฉินซีไม่คุ้นหน้าอยู่หลายคน พวกเขาล้วนสวมเสื้อผ้าหลากหลายและมีอายุแตกต่างกัน สี่คนที่นำอยู่ข้างหน้าดูโดดเด่นมาก มีทั้งชายชราผอมแห้ง ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างกำยำ ชายหนุ่มและหญิงสาว ทั้งสี่คนต่างสวมชุดคลุมสีม่วงแดงซึ่งมีลวดลายเต๋าแห่งยันต์อักขระคล้ายคลึงกัน และมีปักษาเพลิงร่ายรำอยู่กลางหมู่เมฆ พวกเขาคือผู้บ่มเพาะนิกายหงสาเมฆาชาดที่เฉินซีเคยพบเห็นในเมืองอาบโลหิต
ในตอนนี้ ทั้งสองกลุ่มได้นำสมบัติวิเศษกับศัสตราออกมาและกำลังเผชิญหน้าบนพื้นที่ตรงกลางของชั้นวางตำรา ท่าทางของทุกคนเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
ชายชราผอมแห้งจากนิกายหงสาเมฆาชาด กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฮึ่ม! แม้ว่าพวกเจ้าจะเป็นศิษย์ที่มาจากขุมกำลังยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกรและมีสถานะไม่ธรรมดา แต่ข้าคงต้องขออภัย การที่ให้เราทอดทิ้งแผ่นหยกทั้งหมดนี้คงเป็นไปไม่ได้ ไม่เพียงแต่ข้าฟู่เหิงจะไม่ยินยอม แต่สหายเต๋าที่อยู่เบื้องหลังข้าก็ไม่ยินยอมด้วยเช่นกัน!”
“ใช่ พวกข้าจะไม่ยินยอมโดยเด็ดขาด”
“อยากให้พวกข้าออกไปหรือ? ไม่มีวัน!”
ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ที่อยู่เบื้องหลังชายชราต่างแสดงความคิดเห็นของพวกเขา แต่ท่าทางของพวกเขาหาได้ผ่อนคลายไม่ เห็นได้ชัดว่ากลุ่มของไฉ่เล่อเทียนได้สร้างแรงกดดันให้กับพวกเขายิ่งนัก
“ไยต้องฝืนตัวเองด้วยเล่า? หากพวกเจ้าทำให้พวกข้าขุ่นเคือง นิกายเล็ก ๆ ของพวกเจ้าจะอยู่อย่างมีความสุขหลังจากนี้ได้หรือ?” ไฉ่เล่อเทียนกล่าวอย่างไม่แยแส “นี่พวกเจ้ามิได้กังวลเลยไม่ใช่ไหมว่านิกายเล็ก ๆ ของพวกเจ้าจะไม่ถูกถอนรากถอนโคน?”
“ข้าแนะนำให้พวกเจ้าจากไปโดยเร็ว บรรพบุรุษของศิษย์พี่ไฉ่เป็นหนึ่งในผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนทางตอนใต้ การจัดการพวกเจ้าทั้งหมดเพียงแค่ออกคำสั่งเดียวเท่านั้นก็เรียบร้อย!” อวี้ฮ่าวไป๋แห่งสำนักเมฆาอนันต์ส่ายศีรษะและทอดถอนหายใจ เขาดูสง่างามและสุภาพ แต่น้ำเสียงของเขาบ่งบอกชัดว่ากำลังยกยอไฉ่เล่อเทียน
สีหน้าของฟู่เหิงดูซีดขาวระคนเคร่งเครียด ราวกับกำลังต่อสู้อยู่ในใจตัวเอง ขณะที่ด้านหลังเขา ท่าทางของผู้บ่มเพาะจากเมืองต่าง ๆ ในดินแดนทางตอนใต้นั้นก็ดูมืดมนยิ่ง
ภัยคุกคามจากผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายายิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ?
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล ยามที่เขาเห็นความตั้งใจที่จะสู้ของฟู่เหิงกับคนอื่น ๆ กำลังทยอยหายไป หากกลุ่มของฟู่เหิงหลบหนีไปก่อนที่จะเกิดการต่อสู้ แผนจะลอบโจมตีไฉ่เล่อเที่ยนก็คงจะสูญเปล่า
“ฮึ่ม! เท่าที่ข้าทราบมา ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา ผู้อาวุโสไฉ่เส้าไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลเช่นนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงว่าที่พำนักของเซียนกระบี่แห่งนี้ถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนาน บรรดาแผ่นหยก ณ ที่นี่นับเป็นของใครก็ตามที่เข้าถึงพวกมันก่อน เจ้าสั่งให้พวกข้าถอยกลับไปเพียงถ้อยคำไม่กี่ประโยค ไม่นับว่าเกินไปหรือ!”
ฟู่เหิงกัดฟันของเขาแน่น “ในความคิดของข้า เหตุใดพวกเราไม่ทำแบบนี้ล่ะ? หากสหายเต๋าไฉ่เห็นด้วย กลุ่มของข้าก็จะเอาแผ่นหยกไปสี่ส่วนและอีกหกส่วนที่เหลือจะเป็นของกลุ่มเจ้า คิดเช่นไร?”
“ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน!” ชายหนุ่มปฏิเสธทันทีและกล่าวเย้ยหยันอย่างเย็นชา “ต้องการแย่งของไปจากข้าหรือ? เจ้ายังไม่คู่ควร! ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าอีกสิบลมหายใจ รีบไสหัวออกไปจากห้องโถง มิฉะนั้น อย่าได้โทษพวกข้าที่ไร้ความปรานี!”
“เจ้า…” ดวงตาของฟู่เหิงเบิกกว้างด้วยความโกรธเกรี้ยว ถึงขั้นไม่อาจกล่าวคำใด ๆ ออกไป
“ฮึ่ม! เจ้าคิดรั้งอยู่ที่นี่และแย่งเอาของไปจากข้าด้วยความกล้าเพียงแค่นี้อย่างนั้นรึ? ตัดสินใจซะ! ห้าลมหายใจได้ผ่านไปแล้ว” ไฉ่เล่อเทียนส่ายศีรษะพลางกล่าวด้วยความเหยียดยาม
คนเหล่านี้มีเจตนาแต่ไม่กล้าลงมือ!
เฉินซีรู้สึกไร้คำพูดใด ๆ ยามเขาจ้องมองไปที่กลุ่มของฟู่เหิง ซึ่งได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนคำดูหมิ่นอยู่เงียบ ๆ
“ฮึ่ม! ข้าก็นึกสงสัยว่าเป็นผู้ใด ที่แท้เป็นสหายเต๋าไฉ่แห่งพระราชวังข่ายดารานี่เอง!” ในขณะนั้น เสียงที่ไพเราะของหญิงสาวผู้หนึ่งก็ค่อย ๆ ดังก้องเข้าสู่ห้องโถง
เฉินซีเหลือบมองและอดไม่ได้ที่จะคิดในใจ ‘ระยำเอ๊ย! กลุ่มของซูเจียว ได้มาถึงที่นี่เช่นกัน!’