บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 533 เกิดมาเพื่อต่อสู้
บทที่ 533 เกิดมาเพื่อต่อสู้
บทที่ 533 เกิดมาเพื่อต่อสู้
ที่ด้านหน้าของเมืองบรรพกาล
ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสี่คนยืนอยู่ท่ามกลางอากาศด้วยกลิ่นอายอันทรงพลังที่ปกคลุมบริเวณโดยรอบ พวกเขาเป็นดั่งเทพป่าเถื่อนในยุคบรรพกาลที่มีความดุร้าย ซึ่งทำให้ทุกคนในเมืองหวาดกลัวและรู้สึกหายใจลำบาก
ครืนนน!
ฟ้าดินเริ่มคร่ำครวญ สายลมโหมกระหน่ำอย่างฉับพลัน มวลเมฆสีดำปกคลุมทั้งเมืองและฟ้าแลบดังสนั่นมาจากเบื้องบน ทำให้ดูเหมือนว่าวันโลกาวินาศได้มาถึงแล้ว
“จักรพรรดิภูตผีหลีหวง?” ในขณะนี้ ปิงซื่อเทียนได้ก้าวไปข้างหน้า ในขณะที่ทั่วทั้งร่างกายของเขาเปล่งแสงออกมามากมาย
และเมื่อก้าวไปข้างหน้า ฟ้าดินอันวุ่นวายก็ดูจะสงบลง ปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างสมบูรณ์ โลกทั้งใบพลันสงบสุขและสว่างไสวด้วยลำแสง เผยให้เห็นบรรยากาศอันเงียบสงบและเป็นระเบียบเรียบร้อย
นี่คือพลังของเซียนสวรรค์ พลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎของฟ้าดินให้อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา และขอเพียงนึกคิดก็สามารถใช้เคล็ดวิชามากมายออกไปได้อย่างพร้อมเพรียงกัน!
ปิงซื่อเทียนยืนอย่างองอาจท่ามกลางท้องฟ้า เผยกลิ่นอายอันสง่างามของเซียนสวรรค์จนถึงขีดสุด ทำให้เขาดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง
“ฮ่า ๆๆ! ข้าไม่เคยนึกเลยว่าในหมู่คนรุ่นเยาว์ยังมีคนที่จดจำข้าหลีหวงได้” หลีหวงผู้สวมชุดสีดำหัวเราะขึ้นไปบนท้องฟ้า เปลวไฟสีม่วงรอบตัวพลุ่งพล่าน ทำให้เขาดูเหมือนเทพมารผู้ชั่วร้าย
“ฮึ่ม! เจ้าเป็นเพียงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ หากเป็นเจ้าในยุครุ่งเรือง ข้าก็คงต้องล่าถอย แต่ตอนนี้การสังหารเจ้านั้นง่ายดายดั่งพลิกฝ่ามือ!” หนุ่มรูปงามตะโกนด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจและความเย่อหยิ่ง
“ช่างน่าเบื่อเสียจริง เจ้าเป็นเพียงร่างจำแลงของเซียนสวรรค์ แต่กลับกล้าโอ้อวดอย่างไร้ยางอายเช่นนี้ ดูเหมือนภพเซียนคงใกล้ถึงจุดจบ แต่ละรุ่นจึงยิ่งเลวร้ายยิ่งกว่ารุ่นก่อน ๆ” ลั่วชวนที่อยู่ใกล้เคียงหัวเราะเบา ๆ ด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ในขณะที่ปีกสีขาวบริสุทธิ์กระพืออยู่ที่ด้านหลัง และดวงตาที่เหมือนพระจันทร์สีเลือดสองดวงก็ทำให้เขาดูน่ากลัวอย่างยิ่ง
“ผู้เยาว์ เจ้าควรจากไปโดยเร็วซะ เมืองบรรพกาลใกล้ถูกทำลายล้างในไม่ช้า และเจ้าก็ไม่อาจปกป้องมันได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นอย่าได้เอาชีวิตมาทิ้งเพียงเพราะเหตุนี้เลย” ผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างเผ่าพันธุ์จากพิภพทะเลหมอกซึ่งร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยม่านน้ำสีฟ้าสดใสขณะที่กล่าวอย่างไม่เร่งรีบ
“ถูกต้อง เซียนสวรรค์เพียงคนเดียวไม่อาจต่อกรกับพวกข้าทุกคนได้หรอก” หลูกังผู้มีผมสีทองและดวงตาสีเขียวหยกกล่าวอย่างเฉยเมย
“โอ้?” คิ้วของปิงซื่อเทียนเลิกขึ้นขณะที่เหยียดยิ้มดูถูก “นี่พวกเจ้าทุกคนคิดว่าด้วยพลังอันน้อยนิดเช่นนั้นจะทำให้ข้าหวาดกลัวอย่างนั้นหรือ? งั้นข้าจะบอกความจริงแก่พวกเจ้าทุกคนแล้วกัน อันที่จริงร่องรอยของพวกเจ้าถูกเปิดเผยมานานแล้ว ก่อนที่พวกเจ้าทุกคนจะมาถึงที่นี่ และข้าปิงซื่อเทียนมาที่นี่เพื่อฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด!”
ขณะที่กล่าว กลิ่นอายอันสง่าผ่าเผยบนร่างกายของเขาก็สั่นสะเทือนก่อนที่จะกลายเป็นแสงอันเจิดจ้าอย่างมาก และจากนั้นเจ้าตัวก็ตะโกนออกไปอย่างดุเดือด “ศัสตราแห่งทวยเทพ ช่วยข้ากำจัดพวกนอกรีตเหล่านี้ด้วย!”
โอม!
ทันทีที่เขากล่าว จู่ ๆ ดวงแสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดดวงก็ปรากฏขึ้นจากทั้งแปดทิศของเมืองบรรพกาล จากนั้นพวกมันก็โบยบินไปรอบ ๆ ปิงซื่อเทียน พร้อมกับเผยให้เห็นพลังเทวะอันยิ่งใหญ่
สิ่งเหล่านี้คือศัสตราแห่งทวยเทพที่เพิ่งปรากฏขึ้นได้ไม่นาน เดิมทีหวงฝู่ฉิงอิงและศิษย์อีกเจ็ดคนได้รับพวกมันมา แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง จึงมารวมตัวกับปิงซื่อเทียนเพื่อต่อสู้เคียงข้างเขา!
“ศัสตราแห่งทวยเทพ!” ดวงตาสีเงินของจักรพรรดิภูตผีหลีหวง เผยให้เห็นถึงความเกลียดชังที่ฉายชัดและดูเหมือนเขาจะรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่อยากจดจำขึ้นมาได้
“ทุกคน ร่วมมือกันทำลายคนผู้นี้ซะ หลังจากนั้นเราจะขัดเกลาาศัสตราแห่งทวยเทพและทำลายล้างเมืองบรรพกาล!” สีหน้าของหลูกังมืดมนเมื่อเขาเห็นปิงซื่อเทียนมีความมั่นใจมาก จากนั้นเจ้าตัวก็ตะโกนอย่างดุดันทันทีก่อนที่จะลงมือก่อน
ตู้ม!
ท่ามกลางเสียงโครมครามดุจเสียงฟ้าร้อง แสงสีทองที่ไร้ขอบเขตได้พุ่งออกมาจากร่างของหลูกัง ราวกับมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ จากนั้นมันก็รวมตัวกันเป็นมือขนาดใหญ่และคว้าปิงซื่อเทียนไว้
“แค่เจ้าเองหรือ?” เซียนสวรรค์หนุ่มแสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยาม ในขณะที่ผมยาวของเขาปลิวไสวไปตามสายลม และเจ้าตัวก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนใด ๆ เมื่อมือสีทองขนาดใหญ่มาถึงตรงหน้า ด้วยมันถูกหนึ่งในศัสตราแห่งทวยเทพสกัดเอาไว้ จากนั้นมือสีทองก็พังทลายจนเกิดเสียงโครมครามและแตกกระจายกลายเป็นประกายสีทองนับไม่ถ้วน ก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ศัสตราแห่งทวยเทพ กระจกเงาบุปผา!” ดวงตาของหลูกังหรี่ลง ค้อนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในมือของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจ้าตัวก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างดุดัน ทำให้บรรยากาศสั่นสะท้าน และทุกย่างก้าวของเขาก็บังเกิดเป็นดอกไม้สีทองขึ้นรองรับเบื้องล่าง “เจ็ดก้าวทลายฟ้า ค้อนสังหารเทพ!”
เงาค้อนพุ่งฉีกผ่านท้องฟ้า ซึ่งแต่ละอันก็ขยายตัวอยู่ท่ามกลางอากาศ ราวกับภูเขาขนาดมหึมาที่มีกลิ่นอายสูงส่งและหนักอึ้ง จากนั้นพวกมันก็บดขยี้ลงมาที่ปิงซื่อเทียน
ในเวลาเดียวกัน หลีหวง ลั่วชวน และหมิงจื่อก็โจมตีติดต่อกัน
ด้วยการกวาดมือของหลีหวง เปลวไฟสีม่วงที่เสมือนผุดขึ้นมาจากขุมนรกได้กลายเป็นโซ่เปลวไฟสีม่วงนับพันที่ลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจะฟาดลงมาที่ชายหนุ่มจากด้านข้าง
ปีกสีขาวบริสุทธิ์ของลั่วชวนกระพือไหว ทำให้อักขระยันต์สีเงินสดใสหลั่งไหลออกมานับไม่ถ้วน ซึ่งทุก ๆ อักขระยันต์ก็เป็นดั่งใบมีดที่ปะทุด้วยแสงสีเงิน พากันถาโถมออกมาราวกับแม่น้ำกว้างใหญ่ที่เกรี้ยวกราด ซึ่งน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ในทางกลับกัน หมิงจื่อพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ในขณะที่ท้องฟ้าสีครามก็ผันผวนดั่งระลอกคลื่นจากเขาที่อยู่ระหว่างคิ้วนั่น และมันก็ขยายเป็นวงกลมวงแล้ววงเล่า ดังนั้นทุกที่ที่มันผ่านไปจึงทำให้บรรยากาศพังทลายและแตกสลายไปทีละนิด เช่นเดียวกับอานุภาพของมันที่ก็น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก!
ทันทีที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านี้ปรากฏตัว พวกเขาล้วนใช้ท่าสังหารที่ดุดัน ซึ่งทำให้ฟ้าดินตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่
สีหน้าของทุกคนในเมืองดูเคร่งขรึม เนื่องจากรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ เพียงแค่มองดูการต่อสู้จากระยะไกล ก็ทำให้พวกเขารู้สึกไร้พลังและสิ้นหวังยิ่ง
พวกเขาเหมือนมดที่เฝ้าดูพญาอินทรีต่อสู้กันบนเวหา ซึ่งต่ำต้อยจนไม่มีสิทธิ์ที่จะสอดมือเข้าไปแทรกแซงได้
“ข้าสงสัยว่าปิงซื่อเทียนจะต้านทานการโจมตีเช่นนี้ได้อย่างไร?” เฉินซีรู้สึกตกใจอย่างมาก เมื่อเห็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่น่าอัศจรรย์ซึ่งอยู่ในระยะไกล
เมื่อความคิดนี้เพิ่งเกิดขึ้นในใจ เขาก็เห็นง้าวสีเงินที่เปล่งแสงเทวะมหาศาลในมือของปิงซื่อเทียน จากนั้นมันก็แผ่ออกไปทั่วทั้งฟ้าดินและเปลี่ยนแปลงกฎของสภาพแวดล้อมจนทำให้ห้วงเวลาและมิติบิดเบี้ยว
การโจมตีด้วยง้าวเพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำลายการโจมตีทั้งหมดที่ถาโถมเข้ามา ดังนั้นเขาจึงทรงพลังอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ในช่วงเวลาต่อมา ปิงซื่อเทียนก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า สายตาของเขาเย็นชาดุจสายฟ้าฟาด จากนั้นจึงชี้ง้าวไปที่หลีหวงและคนอื่น ๆ แล้วค่อยตะโกนอย่างดุดันว่า “เจ้ากล้ามาที่นี่เพื่อต่อสู้หรือไม่?”
“ทำไมจะไม่กล้าเล่า!?” หลีหวงและคนอื่น ๆ พุ่งเข้ามาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
สาเหตุที่ปิงซื่อเทียนทำเช่นนี้เพราะเขากังวลว่าการต่อสู้จะส่งผลกระทบต่อเมืองบรรพกาลที่อยู่ข้างใต้ ในขณะที่หลีหวงและคนอื่น ๆ ก็กังวลว่าจะทำอันตรายต่อกองทัพมรณะเช่นกัน
มิฉะนั้น การต่อสู้ของพวกเขาจะทำลายทุกสิ่งจนหมดสิ้น และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายเต็มใจจะให้มันเกิดขึ้น
อาจกล่าวได้ว่าทั้งสองฝ่ายมีความตั้งใจเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างสนามรบแห่งใหม่ที่สูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้า
ครืนนน!
บนชั้นเมฆ เสียงการต่อสู้ดังกึกก้องและพลุ่งพล่านเมื่อแสงพร่างพราวระเบิดออกมา การต่อสู้ดังกล่าวได้เกินขอบเขตของโลกมนุษย์ไปแล้ว และมันทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวยิ่ง
…
การต่อสู้ได้ปะทุขึ้นบนท้องฟ้า และการต่อสู้บนพื้นดินก็ดำเนินไปราวกับไฟที่โหมกระหน่ำเช่นกัน
กองทัพมรณะที่กระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง พากันพุ่งเข้าใส่อย่างไม่เกรงกลัวด้วยความตั้งใจที่จะยึดเมืองบรรพกาล และพวกมันก็พุ่งออกไประลอกแล้วระลอกเล่าราวกับคลื่นยักษ์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ในอีกด้านหนึ่ง ทูตของแดนภวังค์ทมิฬก็ประจำการอยู่เหนือประตูเมืองทั้งแปดทิศ พวกเขาบัญชาการเหล่าศิษย์ของราชวงศ์ต่าง ๆ ต่อสู้อย่างสุดกำลัง สมบัติวิเศษ กระบวนยุทธ์ และพลังอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ จึงผสมผสานเข้าด้วยกัน ซึ่งมันได้เปลี่ยนโลกทั้งใบให้กลายเป็นสถานที่อันเต็มไปด้วยหมอกควันและฝุ่นผง
นี่ไม่ใช่การทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นการต่อสู้จริงที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันแทน!
ไม่มีโอกาสรอดเพราะโชคช่วย!
ไม่มีที่ให้ถอยกลับ!!
มีเพียงเผชิญกับการต่อสู้ที่อาบไปด้วยเลือดและเปลวไฟ ต้องต่อสู้โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันด้วยพลังทั้งหมดเท่านั้น จึงจะมีโอกาสรอดชีวิต!!!!
ทุกคนกำลังต่อสู้อย่างสิ้นหวัง และทุกคนกำลังต่อสู้เพื่อเมืองบรรพกาล!
นี่จะต้องเป็นการต่อสู้นองเลือดที่น่าสลดใจอย่างยิ่ง ท่ามกลางอักขระยันต์ที่พัวพันกันในอากาศ แขนขาที่ขาดวิ่นปลิวว่อนไปมาไม่รู้จบ และชีวิตก็ดูเปราะบางอย่างยิ่งในเวลานี้
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ทุกคนรู้สึกราง ๆ ว่าพวกเขาได้หวนกลับไปสู่ยุคบรรพกาล และได้รับชมการต่อสู้ระหว่างเหล่าทวยเทพและผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพได้อย่างเต็มตา
…
เมื่อเฉินซีได้เห็นฉากนี้ เลือดอันร้อนระอุของเขาก็เดือดพล่านเช่นกัน และชายหนุ่มไม่ต้องสิ่งใดมากไปกว่าพุ่งทะยานขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้า …ร่วมต่อสู้ในสมรภูมิแห่งนี้!!
ในยุคบรรพกาล เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพได้บุกเข้ามา มันก็ทำให้เหล่าทวยเทพต้องนำกำลังมาเพื่อต่อต้าน ซึ่งพวกเขาก็ได้หลั่งเลือดและสละชีวิตเพื่อปกป้องสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในทั้งสามภพ ซึ่งทำเพื่อความสงบสุขของคนรุ่นหลัง!
“แต่บัดนี้เหล่าทวยเทพได้จากไปแล้ว แล้วข้าจะยอมให้ศัตรูเหยียบย่ำและบุกรุกบ้านเกิดของข้าได้อย่างไร?“
“ถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่ญาติของข้า แต่เจตนาของพวกเขาย่อมไม่ต่างกัน”
“ในฐานะสมาชิกของสามภพ ข้าควรจะสังหารศัตรูของเราอย่างกล้าหาญในขณะนี้ เพราะด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่ข้าจะสามารถดำเนินชีวิตตามสิ่งที่ข้าได้เรียนรู้มา”
“เจ้าอยากที่จะสู้หรือ?” หม้อใบจิ๋วเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว!” เฉินซีตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ตกลง ไปฆ่าทหารม้ามรณะเหล่านี้และรวบรวมพลังเทวะให้แก่ข้า ตราบใดที่เจ้าทำได้ทันเวลา เราก็อาจยับยั้งไม่ให้สถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้เกิดขึ้น” หม้อใบจิ๋วตอบกลับ
“สถานการณ์เลวร้ายที่สุด!?” เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาพลันตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า “หรือว่าปิงซื่อเทียนไม่อาจต่อกรกับผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นได้”
“ถูกต้อง แม้ว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากศัสตราทั้งแปดของเหล่าทวยเทพ แต่เขาก็ไม่ใช่เทพเจ้าในยุคบรรพกาล ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงของพวกมันได้ เมื่อรวมกับที่เป็นเพียงร่างจำแลงและไม่ใช่ร่างเซียนสวรรค์ที่แท้จริงของเขา มันก็เป็นไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถทำลายทั้งสี่คนนี้”
“นี่…” เฉินซีไม่กล้าจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองบรรพกาล หากปิงซื่อเทียนพ่ายแพ้ ทุกคนที่อยู่ที่นี่คงจะถูกทำลายล้างไปพร้อมกับเมืองใช่หรือไม่?
“ไปจัดการมันซะ เพื่อตัวเจ้าเอง เพื่อสหายของเจ้า และเพื่อ… เมืองบรรพกาล” หม้อใบจิ๋วกล่าวเบา ๆ และเมื่อกล่าวจบ น้ำเสียงของมันก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศกอย่างสุดจะพรรณนา
“ตกลง!”
ในช่วงเวลาต่อมา เฉินซีก็ทะยานออกไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ในขณะนี้เขาได้ยืนอยู่ที่ด้านหลังของกองทัพมรณะที่มีจำนวนมหาศาล และดูเหมือนไม่มีใครสังเกตเห็นเขา ดังนั้นชายหนุ่มเพียงต้องฉวยจังหวะโจมตีจากทางด้านหลัง เพียงเท่านี้เขาก็สามารถทำลายล้างศัตรูได้อย่างง่ายดายแล้ว!
“ฆ่า!” ปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเฉินซีพวยพุ่งขึ้นอย่างดุเดือด ร่างกายของเขาเหมือนกับภูเขา และชายหนุ่มก็ดูเหมือนกับใบมีดที่แหลมคมขณะที่ทะลวงเข้าไปในกองทัพจากทางด้านหลังอย่างดุเดือด
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
พายุสายฟ้าได้สั่นสะเทือนและปกคลุมพื้นที่หลายร้อยจั้ง ทำให้ทหารช้างมรณะกว่าสิบตัวแตกสลายเป็นผงและกลายเป็นปราณชั่วร้าย ในขณะที่พลังเทวะที่อยู่ในร่างกายของพวกมันก็ถูกดูดเข้าสู่ร่างของหม้อใบจิ๋ว
“ช้าเกินไป! ถ้าเจ้ายังเข่นฆ่าด้วยความเร็วเช่นนี้ต่อไป ก็ล้างคอรอหายนะเสียเถอะ!” หม้อใบจิ๋วถอนหายใจเบา ๆ
“นี่ข้าช้าเกินไปหรือ?” คำพูดของหม้อใบจิ๋วทำให้เฉินซีเจ็บใจเป็นอย่างมาก เขาจึงฝืนกัดฟันแน่นและพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็อาละวาดฟาดฟันศัตรูและกลืนกินทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวราวกับเทพอสูรผู้บ้าคลั่ง
“ด้วยพลังที่น้อยนิดเช่นนี้ แล้วเจ้าจะทะลวงขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้าได้อย่างไร?”
“ฆ่า! จงฆ่าด้วยทุกสิ่งที่เจ้ามี!”
“สนามรบคือหินลับฝีมือที่ดีที่สุด สิ่งที่เจ้าต้องทำคือการระเบิดพลังแฝงของเจ้าออกมาให้หมด ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เจ้าจะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและมีความแข็งแกร่งมากขึ้นจนกลายเป็นสุดยอดฝีมือได้!”
“ใช่แล้ว! จงลืมเลือนกระบวนท่า จงลืมเลือนตัวตน จงลืมเลือนความคิด จงลืมเลือนความตั้งใจและเป้าหมายของเจ้าซะ ทุกสิ่งจงทำเพื่อสิ่งเดียวนั้นคือ จงสู้ซะ!”
…
ถ้อยคำแล้วถ่อยคำเล่าที่หม้อใบนั้นได้กล่าวออกมา ยังคงดังก้องอยู่ในหูของเฉินซี ซึ่งมันได้กระตุ้นจนถึงจุดที่ดวงตาของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง เลือดอันร้อนระอุของชายหนุ่มเดือดพล่านขึ้นทีละนิด และจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็พวยพุ่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาตกสู่สภาวะฆ่าฟัน!
ชายหนุ่มเหมือนกับบุตรแห่งสัตว์ร้าย ที่ในที่สุดก็แยกเขี้ยวเล็บอันแหลมคม จากนั้นจึงเริ่มต้นชีวิตแห่งการต่อสู้และไล่ล่า
เขาเป็นดั่งนกอินทรีที่สยายปีกออกจากรัง เพื่อคว้าเอาท้องฟ้าอันกว้างใหญ่มาไว้ในอุ้มมือ
นี่เป็นประสบการณ์ที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน
จงอยู่เพื่อสู้ และสู้ไปจนกว่าโลกาพิภพนี้จะแหลกสลาย!