บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 541 โกรธเกรี้ยวอย่างสุดขีด
บทที่ 541 โกรธเกรี้ยวอย่างสุดขีด
บทที่ 541 โกรธเกรี้ยวอย่างสุดขีด
หลังจากที่เฟิงเสวียนจื่อประกาศรายชื่อคนสุดท้าย บรรยากาศที่ด้านหน้าของศิลาจารึกก็ตกอยู่ในความเงียบงันอย่างแปลกประหลาด
เหล่าผู้บ่มเพาะที่อยู่ในขณะนี้ต่างรู้สึกประหลาดใจ งุนงงและไม่อยากเชื่อต่อสิ่งที่ได้ยิน
เนื่องจากทุกคนรู้ถึงความแข็งแกร่งของเฉินซีและพรรคพวกอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้กลับมีเพียงชิงซิ่วอี้คนเดียวที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นศิษย์ของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ และไม่มีทูตคนใดที่แสดงความสนใจต่อคนอื่น ๆ ในกลุ่มของเขาเลย?!
สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
ไม่ต้องกล่าวถึงคนอื่น ๆ แม้แต่ผู้มีพรสวรรค์อันโดดเด่นอย่างเฉินซีก็ไม่ได้รับคัดเลือก จึงทำให้ผู้คนไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
เพราะอย่างไรแล้ว ชื่อของเฉินซีก็ยังคงลอยเด่นอยู่ในอันดับที่หนึ่งบนศิลาจารึกวิญญาณที่อยู่ข้างหลังพวกเขา และไม่ใช่แค่นั้น เพราะในแง่ของชื่อเสียงก็ไม่มีบุคคลใดในเมืองบรรพกาลที่เทียบกับชายหนุ่มผู้นี้ได้!
เขาต่อสู้กับตระกูลซางทั้งหมดเพียงลำพัง ทำลายเจตจำนงของเซียนสวรรค์ด้วยตัวเอง และเขายังทำลายผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพถึงสี่คนในระหว่างการทดสอบสุดท้าย!
ทว่าอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้และมีพลังแฝงที่จะเติบโตเป็นสุดยอดฝีมือกลับไม่ได้รับการคัดเลือก แล้วจะมีใครคาดเดาถึงผลลัพธ์เช่นนี้ได้อย่างไร?
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่สนใจในตัวของเฉินซี แต่ศิษย์ทุกคนของราชวงศ์ซ่งก็มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก และอันดับของพวกเขาทั้งหมดล้วนติดอยู่ในสิบอันดับแรกของศิลาจารึกวิญญาณ แต่พวกเขาก็ไม่ถูกเลือกจากนิกายใด ๆ ในทำนองเดียวกัน
แบบนี้มัน…จะไม่แปลกเกินไปหรอกหรือ?
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ทำให้ทุกคนรู้ได้ราง ๆ ว่านี่เป็นแผนการที่มีเป้าหมายคือราชวงศ์ซ่ง!
แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกสงสารสถานการณ์ที่เฉินซีกับคนอื่น ๆ กำลังเผชิญอยู่เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้ากล่าวอะไร เพราะชะตากรรมของพวกเขาก็ตกอยู่ในกำมือของทูตจากแดนภวังค์ทมิฬเช่นเดียวกัน
ทูตทั้งสิบคนยืนอยู่ท่ามกลางอากาศด้วยท่าทางที่น่าเกรงขามและสง่าดุจเทพเจ้า จึงไม่อาจแยกแยะได้เลยว่าท่าทางเช่นนี้คือการกระทำที่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหรือไม่
แต่ผู้เฝ้าดูอย่างระมัดระวังก็จะสังเกตเห็นได้ …ไม่ว่าการจ้องมองของเหล่าทูตจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่พวกเขาจะหลีกเลี่ยงการจ้องมองตรงจุดที่ศิษย์ของราชวงศ์ซ่งยืนอยู่
ในทางกลับกัน รอยยิ้มเล็ก ๆ ได้ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฟิงเจี้ยนไป๋และซางเชวี่ย สายตาที่พวกเขาจ้องมองไปยังเฉินซีและคนอื่น ๆ ต่างเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย ความสมเพช ความเกลียดชัง และอื่น ๆ อีกมากมาย
ทั้งสองคนเป็นศัตรูกับชายหนุ่มและกระตือรือร้นที่จะได้เห็นฉากนี้เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก
ดังนั้นเมื่อเห็นเฉินซีและคนอื่น ๆ ต่างแสดงสีหน้าไม่พอใจและผิดหวังในขณะนี้ พวกเขาก็ไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากหัวเราะออกมาดัง ๆ
“เอาล่ะ การประกาศรายชื่อเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ไม่ผ่านการคัดเลือกไม่ต้องเสียใจไป แดนภวังค์ทมิฬเป็นโลกที่กว้างใหญ่ มีนิกายและผู้เยี่ยมยุทธ์นับไม่ถ้วนเหมือนกับต้นไม้ในป่า หลังจากที่พวกเจ้าทุกคนเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬแล้ว บางทีเจ้าอาจจะพบโชคชะตาของตัวเองก็ได้” บรรพบุรุษจื่อหมิงกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา มันก็เทียบเท่ากับผลลัพธ์ที่แน่นอน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เฉินซี และคนอื่น ๆ จะหักล้างการตัดสินใจนี้ได้
ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์นั้นก็แปลกประหลาดมาก ในบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์หนึ่งร้อยสิบสามคนจากราชวงศ์ต่าง ๆ แทบทุกคนล้วนได้รับเลือกจากกองกำลังต่าง ๆ ของแดนภวังค์ทมิฬ และศิษย์เหล่านี้ก็ยืนอยู่ที่ด้านหลังของทูตต่าง ๆ อยู่ในขณะนี้
มีเพียงเฉินซีและคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับพวกเขา และพวกเขาก็ได้กลายเป็นคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ไม่ได้รับเลือก
นี่เป็นความแตกต่างกันอย่างมาก!
ทำให้ชายหนุ่มและคนอื่น ๆ ดูน่าสงสารเหมือนกับลูกแกะที่ถูกทอดทิ้ง ดังนั้นเมื่อคนส่วนใหญ่เห็นเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกสงสารเป็นอย่างมาก
เพราะกลุ่มอัจฉริยะที่น่าภาคภูมิใจกลับตกต่ำได้ถึงขนาดนี้ แล้วจะไม่ให้พวกเขาถอนหายใจอย่างหนักใจได้อย่างไร?
“เอาล่ะ ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว มาดำเนินการร่วมกันเพื่อเปิดทางเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬกันเถอะ” อวิ๋นหลานเซิงถอนหายใจก่อนที่จะกล่าวออกมา
ทูตจากแดนภวังค์ทมิฬคนอื่น ๆ ก็พยักหน้ารับติดต่อกัน
“ช้าก่อน!” ทว่าในขณะนี้ เสียงอันเยือกเย็นที่ฟังดูเหมือนน้ำพุไหลก็ดังก้องออกมา ในขณะที่ชิงซิ่วอี้ก้าวไปข้างหน้า และสายตาที่เย็นชาของนางก็กวาดมองไปยังทูตแห่งแดนภวังค์ทมิฬ ก่อนจะหยุดลงที่อวิ๋นหลานเซิงในที่สุด “เมื่อใดกันที่ข้าตกลงเข้าร่วมนิกายวิถีกระแสสวรรค์ของเจ้า?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป มันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเสียงของฟ้าร้องที่สั่นสะเทือนความรู้สึกของเหล่าศิษย์จากราชวงศ์ต่าง ๆ จนพวกเขาแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมา และแม้แต่ทูตคนอื่น ๆ ของแดนภวังค์ทมิฬก็แสดงสีหน้าตกใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เนื่องจากจะมีใครจินตนาการได้ว่า จะมีคนที่กล้าละทิ้งโอกาสครั้งใหญ่เช่นนี้จริง ๆ
หลังจากที่เฉินซีกับคนอื่น ๆ ตกตะลึง กระแสความอบอุ่นก็เอ่อล้นอยู่ภายในใจของพวกเขา เพราะพวกเขารู้ว่าเหตุผลที่ชิงซิ่วอี้ทำเช่นนี้ เป็นเพราะนางตั้งใจที่จะอยู่เคียงข้างกับพวกเขา
มิตรภาพเช่นนี้จึงประเมินค่าไม่ได้!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเฉินซี เพราะเขาเข้าใจความสำคัญของชิงซิ่วอี้ที่มีต่อนิกายวิถีกระแสสวรรค์มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ นางกลับละทิ้งโอกาสที่จะกลับคืนสู่นิกายในชาติก่อนของนางอย่างแน่วแน่ และนอกจากจะทำให้เขาหวั่นไหวแล้ว การตัดสินใจครั้งนี้ก็ทำให้หัวใจของชายหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย
‘ถ้าไม่ใช่เพราะข้า ซิ่วอี้จะต้องทำแบบนี้ด้วยหรือ?’
‘ถ้าไม่ใช่เพราะข้า สหายของข้าจะตกต่ำถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?’
ความรู้สึกตำหนิตัวเองได้ฝังลึกอยู่ในจิตใจของชายหนุ่มอย่างเงียบงัน และไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเขากำลังกำหมัดแน่น เส้นเลือดที่หลังมือของเขาปูดโปนจนแทบระเบิด ในขณะที่เล็บก็จิกลงไปบนฝ่ามือ ทำให้เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา
“ชิงซิ่วอี้ เส้นทางของเจ้าอยู่ในนิกายวิถีกระแสสวรรค์ การละทิ้งโอกาสเช่นนี้เท่ากับทำลายอนาคตของตัวเจ้าเอง เจ้าควรตามข้ากลับไปที่นิกาย เพราะบางอย่างก็ไม่สามารถแก้ใขได้แม้เจ้าจะดื้อรั้นก็ตาม” อวิ๋นหลานเซิงขมวดคิ้วขณะที่เขาถอนหายใจ
เขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกของชิงซิ่วอี้ได้อย่างไร? แต่เขาต้องพาชิงซิ่วอี้กลับไปที่นิกายวิถีกระแสสวรรค์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะสิ่งนี้คือความต้องการของปิงซื่อเทียน และไม่ว่าเขาหรือว่าใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้
“อวิ๋นหลานเซิง ตอนที่ข้ายังบ่มเพาะอยู่ที่นิกายวิถีกระแสสวรรค์ เจ้าเป็นเพียงแค่ศิษย์สายนอกมิใช่หรือ? แล้วเจ้ากล้ากล่าวกับข้าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?” ชิงซิ่วอี้กล่าวอย่างเย็นชา
หนังศีรษะของทุกคนด้านชาเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“สวรรค์! นางเป็นศิษย์พี่ของอวิ๋นหลานเซิงหรือ?! ตัวตนเช่นนี้น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว!”
มีเพียงทูตของแดนภวังค์ทมิฬเท่านั้นที่รู้เรื่องเหล่านี้มาตั้งนานแล้ว และพวกเขาทั้งหมดล้วนมีท่าทางที่สงบนิ่ง
อวิ๋นหลานเซิงเองก็ไม่เคยคิดเลยว่า ชิงซิ่วอี้จะใช้ตัวตนของนางเพื่อสยบเขาในตอนนี้ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและหัวเราะอย่างขมขื่น “ศิษย์พี่ชิง ข้าทำสิ่งนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของท่านเอง ประมุขนิกายและเหล่าผู้อาวุโสกำลังรอการกลับมาของท่านอย่างใจจดใจจ่อ ดังนั้นข้าหวังว่าท่านจะไม่ทำให้ข้าต้องลำบากใจ”
การที่ได้ยินอวิ๋นหลานเซิงยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชิงซิ่วอี้ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจึงรู้สึกเหมือนกลายเป็นคนเสียสติ อีกทั้งยังเหมือนกับว่าพวกเขากำลังฟังตำนานที่แปลกประหลาดและพิสดาร
ตั้งแต่เมื่อใดที่ศิษย์ของราชวงศ์ระดับกลางได้กลายเป็นศิษย์พี่หญิงของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีจากกองกำลังที่ไม่ธรรมดาของแดนภวังค์ทมิฬได้?
แต่ผ่านไปไม่นานพวกเขาก็เข้าใจในที่สุด เพราะชิงซิ่วอี้เป็นเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิด และนางอาจบ่มเพาะอยู่ในนิกายวิถีกระแสสวรรค์ในชาติที่แล้วของนาง
ในบรรดาผู้คนที่อยู่ที่นั่น มีเพียงใบหน้าของซางเชวี่ยเท่านั้นที่ไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขารู้สึกหวาดกลัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน นายน้อยซางคุนของพวกเขาตั้งใจจะใช้ชิงซิ่วอี้เป็นภาชนะบ่มเพาะเพื่อฝึกฝนวิชามารในวันนั้น และถ้าพวกเขารู้ว่าต้นกำเนิดของชิงซิ่วอี้จะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้มีขวัญกล้าเทียมฟ้า แต่พวกเขาย่อมไม่มีทางทำอย่างนั้นอย่างแน่นอน!
“ถ้าข้าไม่เต็มใจไปกับเจ้า เจ้าจะใช้กำลังหรือ?” ชิงซิ่วอี้ตอบคำถามอย่างเย็นชา
อวิ๋นหลานเซิงตกตะลึง และในใจของเขาก็ปั่นป่วนไปมา เนื่องจากเมื่อครั้งที่เขายังอ่อนวัย ชิงซิ่วอี้ก็เป็นเหมือนตัวตนที่ไม่สามารถล่วงเกินได้ และแม้ว่าจะเป็นวันนี้ ความเคารพนี้ก็ยังคงอยู่ในหัวใจของเขาเสมอมา ดังนั้นจะจินตนาการได้อย่างไรว่า วันที่เขาต้องใช้กำลังกับศิษย์พี่หญิงที่เขาเคารพมากที่สุดจะมาถึง!
“แต่ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ แล้วข้าจะพาศิษย์พี่หญิงกลับไปด้วยได้อย่างไร?”
อวิ๋นหลานเซิงรู้สึกลังเลสับสนและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปมาอย่างต่อเนื่อง
ทุกคนถอนหายใจเมื่อเห็นสิ่งนี้
หากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป การที่ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ก็เป็นสิ่งที่นางสามารถภาคภูมิใจได้แล้ว
ดังนั้นตัวตนและสถานะของชิงซิ่วอี้ในนิกายวิถีกระแสสวรรค์ จึงเห็นได้ชัดจากสิ่งนี้
“ซิ่วอี้ อย่าทำให้ศิษย์น้องอวิ๋นต้องลำบากใจเลย” เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ทางตัน เสียงที่ชัดเจนและก้องกังวานก็ดังออกมาจากระยะไกล และทันใดนั้น ร่างที่หล่อเหลาก็มาถึง
คนผู้นี้คือปิงซื่อเทียนอย่างแน่นอน เสื้อผ้าและผมสีดำสนิทของเขาปลิวไสวไปตามสายลม และปราณเซียนก็ไหลไปทั่วร่างกาย แสดงให้เห็นถึงกลิ่นอายที่สง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ของเซียนสวรรค์ ทันทีที่ปรากฏตัว เขาก็ได้กลายเป็นจุดสนใจเพียงหนึ่งเดียวทันที
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของราชวงศ์ต่าง ๆ หรือเหล่าทูต ต่างแสดงความเคารพเมื่อเห็นปิงซื่อเทียน พวกเขาจดจ่อกับการกลั้นหายใจและไม่กล้ากล่าวอะไรออกมา เพราะกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่มีประกายเย็นชาอยู่ในดวงตาและคิดในใจว่า ‘ในที่สุดมันก็ปรากฏตัวออกมา…’
เฉินซีเกลียดชังปิงซื่อเทียนอย่างสุดหัวใจ เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ อาจกล่าวได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ดังนั้นเขาจะไม่โกรธแค้นและไม่พอใจได้อย่างไร?
“ใครอนุญาตให้เจ้ากล่าวกับข้าเช่นนั้น” น้ำเสียงของชิงซิ่วอี้เย็นชาดุจน้ำแข็ง และนางกล่าวอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่สนใจว่าปิงซื่อเทียนจะเป็นเซียนสวรรค์หรือมดปลวก ท่าทีที่แข็งกร้าวแบบนี้ทำให้ทุกคนต้องรู้สึกประหลาดใจ
ทางปิงซื่อเทียนเองก็ตกใจเช่นกัน จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์พี่หญิง อารมณ์ของท่านยังคงเหมือนเมื่อก่อนและไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว เพราะนี่คือตัวตนที่แท้จริงของท่าน เมื่อท่านกลับไปที่นิกายวิถีกระแสสวรรค์ ประมุขนิกายและเหล่าผู้อาวุโสจะต้องรู้สึกยินดียิ่ง”
“นี่เจ้าไม่ได้ยินหรือไร? ซิ่วอี้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลับไปพร้อมกับพวกเจ้าทุกคน!” จู่ ๆ เฉินซีก็กล่าวออกมา ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกตะลึงในใจ เพราะพวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าชายหนุ่มจะกล้ากล่าวในเวลานี้
…ยิ่งไปกว่านั้น เขายังกล้ากล่าวอย่างไร้มายาทต่อหน้าเซียนสวรรค์เช่นปิงซื่อเทียน!!
แต่ที่น่าตกใจที่สุดคือ เฉินซีเรียกชิงซิ่วอี้ว่า ‘ซิ่วอี้’ และชิงซิ่วอี้ก็ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านเลยด้วยซ้ำ!
สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ทำให้ทุกคนสามารถตระหนักได้ว่า สาเหตุที่ราชวงศ์ซ่งตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ อาจเป็นเพราะปิงซื่อเทียน เฉินซี และชิงซิ่วอี้!!!
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชายสองคนกับหญิงหนึ่งคนได้ง่ายที่สุด? คำตอบนั้นชัดเจนอยู่แล้ว มันคือ ความรัก!
ในขณะนี้ เกือบทุกคนได้เข้าใจแล้ว และในใจของพวกเขาก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเฉินซีจะต่อสู้กับเซียนสวรรค์ก็เพื่ออิสตรี ยิ่งไปกว่านั้น เขายังดูจะได้เปรียบกว่า…
ปิงซื่อเทียนรู้สึกถึงการจ้องมองจากผู้คนรอบข้าง ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าค่อย ๆ หายไป จนกลายเป็นสีหน้าที่เฉยเมย ซึ่งได้เผยความเย็นชาที่อธิบายไม่ได้ออกมา
“ศิษย์พี่หญิง ความทรงจำจากชาติที่แล้วของท่านยังไม่ฟื้นคืน โปรดอภัยให้แก่การล่วงเกินของศิษย์น้องผู้นี้ เพราะตอนนี้ข้าต้องทำผิดต่อท่าน” หลังจากที่เงียบไปนาน จู่ ๆ ปิงซื่อเทียนก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
โอม!
ในเวลาเดียวกับที่ปิงซื่อเทียนกล่าว เขาก็ยื่นมือขวาซึ่งแฝงไปด้วยกลิ่นอายของต่างภพออกไป จากนั้นก็ดึงหญิงสาวเข้ามาโดยตรงและฟาดเบา ๆ ไปที่สันคอของนาง ทำให้นางสลบไสลเข้าสู่ห้วงนิทราทันที
กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป รวดเร็วเสียจนทุกคนรู้สึกเพียงว่ามีบางอย่างแวบผ่านไปต่อหน้าต่อตา และเมื่อพวกเขามองอีกครั้ง ชิงซิ่วอี้ก็สลบไปแล้วและถูกส่งให้กับอวิ๋นหลานเซิง
การกระทำดังกล่าวนั้นดูเรียบง่ายมาก แต่ก็แสดงพลังของเซียนสวรรค์ได้อย่างเต็มที่ และนอกจากทำให้ทุกคนตกใจแล้ว พวกเขายังรู้สึกเคารพชายหนุ่มมากยิ่งขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง สีหน้าของเฉินซีและคนอื่น ๆ กลายเป็นโกรธเกรี้ยวอย่างสุดขีด เพราะพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าปิงซื่อเทียนจะใช้กำลังเพื่อพาชิงซิ่วอี้กลับไปด้วยการกระทำที่อุกอาจเช่นนี้!