บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 551 เผชิญกับการยั่วยุอย่างกะทันหัน
บทที่ 551 เผชิญกับการยั่วยุอย่างกะทันหัน
บทที่ 551 เผชิญกับการยั่วยุอย่างกะทันหัน
ยอดเขาสัประยุทธ์มีรูปร่างที่ตระหง่านอลังการราวกับมังกรที่ขดตัวเป็นชั้น ๆ และมันก็เหมือนกับยอดเขาที่นำไปสู่สวรรค์
วิปลาสหลิ่วตำหนิชายหนุ่มผมเขียวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพาเขาและเฉินซีเดินต่อไปที่ยอดเขา
ในระหว่างทาง เฉินซีก็ทราบว่าชายหนุ่มคนนี้มีชื่อว่าชิงอวี่และเขามาจากเผ่าวิหคเพลิงนภา ซึ่งเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์บรรพกาล เขาสืบเชื้อสายมาจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์วิหคเพลิงนภา และเป็นหนึ่งในศิษย์ของวิปลาสหลิ่ว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ชิงอวี่เป็นผู้บ่มเพาะอสูรที่มีสายเลือดที่บริสุทธิ์มาก
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีนึกถึงปี้หลิงอวิ้น หญิงสาวคนนั้นก็เป็นทายาทของกระเรียนโลกันตร์ ซึ่งเป็นสัตว์อสูรที่ไม่มีใครเทียบได้ และเขาสงสัยว่านางมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งกับเผ่ากระเรียนโลกันตร์ในบรรดาเผ่าพันธุ์บรรพกาลหรือไม่
ชิงอวี่นั้นมีนิสัยที่อ่อนโยนมากและขี้อายเล็กน้อยเหมือนผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ทว่าเขามั่นใจว่าคนผู้นี้เป็นผู้ชาย แต่รูปลักษณ์ภายนอกของชิงอวี่นั้นหล่อเหลาและอารมณ์ดีเกินไป ทำให้เขาดูอ่อนแอเหมือนผู้หญิง
ในทางกลับกัน หลังจากที่ชิงอวี่รู้ว่าเฉินซีมาจากสมรภูมิบรรพกาล เขาก็รู้สึกชื่นชมในใจขึ้นมาทันที เพราะเขารู้ดีว่า การที่ศิษย์ของราชวงศ์ระดับกลางจะข้ามผ่านโลกเล็ก ๆ และมาถึงแดนภวังค์ทมิฬได้นั้นลำบากยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง
ผ่านไปไม่นาน วิปลาสหลิ่วก็พาทั้งสองคนมาถึงยอดเขา
ยอดเขาแห่งนี้มีตำหนักที่กว้างใหญ่ สูงส่งและเก่าแก่ ชายคาของมันถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองดวงเล็ก ๆ ซึ่งดูราวกับว่ามันจะตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ทำให้มันมีกลิ่นอายโบราณและเก่าแก่
สายหมอกล่องลอยในขณะที่ทะเลเมฆเคลื่อนคล้อย ภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ นกยูงห้าสีกางหางที่เปล่งแสงงามล้ำค่าของมัน ในขณะที่อีกาทองคำสามขาก็ทะยานผ่านท้องฟ้าราวกับพระอาทิตย์ที่ส่องแสงให้ตำหนักแห่งนี้ดูเหมือนกับตำหนักเซียน
นอกจากนั้น หมอกก็ม้วนตัวอยู่ที่ด้านหน้าของตำหนักซึ่งมีแท่นขนาดใหญ่ตั้งอยู่ แท่นนั้นเรียบสนิท โปร่งแสงและเรืองไปด้วยแสง มันดูเหมือนเป็นลานกว้างที่สามารถจุคนได้มากกว่าหมื่นคน
“ศิษย์พี่ใหญ่หลิ่ว ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว” เมื่อกลุ่มของเฉินซีได้มาถึงที่เบื้องหน้าแท่นซึ่งดูจะทำขึ้นมาจากหยก เสียงหัวเราะก็ดังกังวานมาจากระยะไกล
หลังจากนั้น เฉินซีก็เห็นโต๊ะหยกจำนวนมากถูกตั้งเป็นแถวอยู่บนแท่นนี้ ซึ่งมีคนกว่าสิบคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ที่ด้านหลังของพวกเขาก็มีชายหนุ่มและหญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความเคารพ
แม้ว่าผู้คนกว่าสิบกว่าคนจะนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นและยับยั้งกลิ่นอายของพวกเขา แต่คนเหล่านี้กลับดูเหมือนกับพระอาทิตย์ดวงเล็ก ๆ ที่เปล่งแสงเจิดจ้าแห่งสวรรค์ออกมา ซึ่งกลิ่นอายของพวกเขาก็สามารถสั่นสะเทือนฟ้าดินได้
เมื่อมองจากระยะไกล พวกเขาเหมือนเทพเจ้าที่มีชีวิต คนที่นั่งอยู่บนที่นั่งสูงสุดเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พร่ามัวและสว่างไสวซึ่งสาดส่องทุกสิ่งที่อยู่รอบข้าง
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
สายตาของชายหนุ่มได้กวาดผ่านผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ก่อนจะถอนสายตาอย่างรวดเร็ว และรู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจ เพราะกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากคนเหล่านี้ดูเหมือนเหวลึกที่ไร้ก้นบึ้ง ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวราวกับวิญญาณของเขากำลังจะถูกกลืนกินจากการประเมินพวกเขาด้วยสายตาเพียงชั่วครู่
นอกจากนั้น ชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ ก็มีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามอย่างยิ่งและมีจิตวิญญาณที่สูงส่ง ความแข็งแกร่งของพวกเขาน่าจะอยู่ที่ขอบเขตจุติระดับห้า
เฉินซีรู้สึกกดดันเล็กน้อยจากกลิ่นอายที่บางคนได้เผยออกมา
โดยเฉพาะหญิงสาวรูปหล่อที่สวมชุดขนนกและสวมมงกุฎสีดำ กลิ่นอายของนางแข็งแกร่งกว่าเฟิงเจี้ยนไป๋!
“ดูเหมือนว่าข้ายังคงมองอัจฉริยะจากมุมมองเดิมเหมือนเมื่อก่อน อันที่จริง อัจฉริยะเหล่านั้นได้กลายเป็นคนไร้ค่าไปแล้วเมื่อมาถึงแดนภวังค์ทมิฬ” เฉินซีลอบทอดถอนหายใจ “อัจฉริยะเอ๋ย อัจฉริยะที่ฟ้าประทานลงมา แต่นี่คือแดนภวังค์ทมิฬที่ครอบครองมหาเต๋าและให้กำเนิดบุคคลที่โดดเด่น คนเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา เนื่องจากพวกเขาถือกำเนิดท่ามกลางปราณวิญญาณของแดนภวังค์ทมิฬ ดังนั้นข้าจึงไม่อาจประเมินเหล่าวีรบุรุษของโลกนี้ต่ำไปได้เลย”
“พี่เฉิน คนเหล่านี้คือผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้า และเช่นเดียวกับท่านอาจารย์ พวกท่านเพิ่งกลับมาจากที่อื่น ส่วนชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก็ผ่านการทดสอบมากมายเช่นเดียวกับท่านและกำลังจะได้รับการยอมรับเพื่อเข้าร่วมกับนิกาย” ชิงอวี่แนะนำเฉินซีผ่านกระแสปราณจากด้านข้าง
“เป็นเช่นนี้เอง” เฉินซีพยักหน้ากับตัวเอง
เท่าที่เขาทราบมา นอกจากยอดเขาสัประยุทธ์แล้ว ยังมียอดเขาอีกแปดแห่ง อันได้แก่ ยอดเขาจรัสตะวันออก ยอดเขาจรัสตะวันตก ยอดเขาจรัสใต้ ยอดเขาจรัสเหนือ ยอดเขาจรัสสวรรค์ ยอดเขาจรัสปฐพี ยอดเขาจรัสเทวะและยอดเขาจรัสสสาร
ยอดเขาจรัสทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเป็นสถานที่ที่ศิษย์ชั้นสูงบ่มเพาะ ยอดเขาแต่ละแห่งจะมีผู้อาวุโสที่ดำรงตำแหน่งปรมาจารย์ซึ่งรับผิดชอบในการถ่ายทอดความรู้
ยอดเขาจรัสสวรรค์และยอดเขาจรัสปฐพี เป็นสถานที่บ่มเพาะสำหรับศิษย์สายในและศิษย์สายนอกตามลำดับ ซึ่งมีผู้อาวุโสของศิษย์สายในและศิษย์สายนอกจำนวนมากอยู่ที่นั่น
ยอดเขาจรัสเทวะเป็นเขตหวงห้ามของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เนื่องจากเป็นสถานที่ที่เงียบสงบซึ่งมีผู้อาวุโสเก่าแก่ปลีกตัวอาศัยอยู่ในยอดเขาแห่งนี้อย่างสันโดษ ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ปกติ จะไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไปยังยอดเขานั้น
ส่วนยอดเขาจรัสสสารก็เป็นสถานที่ซึ่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองได้จัดเก็บสมบัติเอาไว้ อีกทั้งยังมีหอหมื่นคัมภีร์ ศาลาขุมทรัพย์ สวนสมุนไพรวิญญาณและอื่น ๆ กระจายออกไป ดังนั้นจึงเป็นสถานที่ที่สำคัญของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเช่นกัน
ศิษย์ที่วิปลาสหลิ่วพาตัวกลับมายังนิกายเช่นเดียวกับเขานั้น สามารถกลายเป็นศิษย์ชั้นสูงได้โดยตรงและจะฝึกฝนอยู่ในหนึ่งในยอดเขาทั้งสี่ทิศ อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการเป็นศิษย์สายนอกและศิษย์สายใน
แต่เท่าที่เฉินซีทราบมา ยังมีศิษย์ชั้นยอดที่อยู่เหนือศิษย์ชั้นสูง ศิษย์เหล่านี้ทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะที่มีฝีมือร้ายกายซึ่งสามารถทำให้โลกทั้งใบต้องปั่นป่วน และฐานะของพวกเขาก็เหนือกว่าผู้อาวุโสบางคนเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นสถานที่บ่มเพาะของพวกเขาจึงถูกสร้างขึ้นในบริเวณโดยรอบของยอดเขาจรัสเทวะ ซึ่งเป็นสถานที่บ่มเพาะอันเงียบสงบของผู้อาวุโสเก่าแก่ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าฐานะของพวกเขาสูงส่งถึงเพียงใด
“อ้าว พวกเจ้ามาถึงกันทุกคนแล้วหรือ” วิปลาสหลิ่วเดินช้า ๆ ขึ้นไปบนแท่นหยก จากนั้นจึงชำเลืองมองผู้อาวุโสเหล่านั้น ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะหยกด้านข้างอย่างไม่ตั้งใจ
เฉินซีกับชิงอวี่รีบเดินตามไปและยืนอยู่ที่ด้านหลังของชายชรา
“พี่หลิ่ว คนผู้นี้คือเฉินซีใช่หรือไม่? ไม่เลว ไม่เลว” ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ตรงกลางยิ้มขณะที่กล่าว เขาสวมมงกุฎสูงและเสื้อผ้าโบราณ หน้าผากของเขายื่นออกมาเล็กน้อยเหมือนเนินเขา ในขณะที่ดวงตาของกะพริบ ก็มีแสงศักดิ์สิทธิ์หลั่งไหลราวกับก้นเหวลึกที่ก้นมหาสมุทร
“พี่เฉิน คนผู้นี้คือประมุขนิกาย เวินหัวถิง” ชิงอวี่รีบกล่าวผ่านกระแสปราณ
“ศิษย์เฉินซี ขอคารวะประมุขนิกาย” สีหน้าของเฉินซีเคร่งขรึมในขณะที่เขาโค้งคำนับและกล่าวทักทาย
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเราก่อตั้งขึ้นด้วยกระบี่ ซึ่งเน้นที่กระบี่กับหัวใจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันและมุ่งไปข้างหน้าด้วยจิตวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมากพิธี” เวินหัวถิงยิ้มอย่างอบอุ่นขณะที่เขาโบกมือ
“ฮ่า ๆ ท่านประมุขนิกายกล่าวถูกต้องแล้ว ผู้ถือกระบี่จะไร้ประโยชน์หากปราศจากจิตวิญญาณ ทุกสิ่งจะถูกแยกออกเมื่อคมกระบี่ชี้ไปทางนั้น แต่ศิษย์ของพี่ใหญ่หลิ่วคนนี้ดูจะไม่มีจิตวิญญาณสำหรับข้า ” ในขณะนี้ เสียงหัวเราะได้ดังก้องกังวานออกมา และคนที่กล่าวคือผู้อาวุโสที่นั่งข้างโต๊ะหยกอีกด้านหนึ่ง
เขามีรูปลักษณ์สง่างาม สวมชุดคลุมสีดำ รูปร่างสูงใหญ่ ผมยาวสลวยปลิวไปตามสายลม ในขณะที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่นั้น เขาดูเหมือนมังกรที่หมอบอยู่และแผ่กลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังออกมา
ทันทีที่กล่าวคำเหล่านี้ ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ส่ายศีรษะพร้อมเพรียงกัน ดูเหมือนพวกเขาจะไม่แปลกใจและคาดเดาได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น
แต่เฉินซีกลับรู้สึกตกตะลึงแทน เพราะเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกเยาะเย้ยทันทีที่มาถึง และเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พี่เฉิน คนผู้นี้คือปรมาจารย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันออก ผู้อาวุโสเยว่ฉือ ซึ่งมีความขัดแย้งกับท่านอาจารย์มาโดยตลอด” ชิงอวี่กล่าวผ่านกระแสปราณอย่างแผ่วเบา “บางทีท่านอาจไม่รู้ แต่ท่านอาจารย์คือปรมาจารย์ของยอดเขาจรัสตะวันตก และด้วยความสัมพันธ์ที่เป็นศัตรูระหว่างท่านอาจารย์กับผู้อาวุโสเยว่ฉือ จึงทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างศิษย์ของยอดเขาทั้งสองอยู่บ่อยครั้ง ช่างน่าชิงชังจริง ๆ”
ชายหนุ่มพลันเข้าใจทุกสิ่งได้ทันที จากนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้และกล่าวผ่านกระแสปราณว่า “พี่ชิง เจ้าคงไม่ได้ทะเลาะกับศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกใช่หรือไม่?”
เขายังจำฉากบนภูเขาตอนที่ชิงอวี่ถูกวิปลาสหลิ่วตำหนิได้
ชิงอวี่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาจึงกล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “ข้าไม่มีความปรารถนาที่จะต่อสู้กับพวกมัน แต่พวกมันก็กลับมาสร้างปัญหาให้แก่ข้าอยู่เสมอ และก็น่ารำคาญที่สุด ข้า…ทำได้เพียงแต่ซ่อนตัวอยู่ที่ยอดเขาสัประยุทธ์เป็นครั้งคราวเท่านั้น” เสียงของเขานุ่มนวลขึ้นเรื่อย ๆ และดูเหมือนเขาจะเขินอายเล็กน้อย
เฉินซีรู้สึกขบขันอย่างมาก คนผู้นี้ไร้เดียงสาและใจดีจริง ๆ หากเป็นคนอื่น คงจะต่อสู้ด้วยความโกรธไปนานแล้ว
“เยว่ฉือ เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ในระหว่างที่เฉินซีกับชิงอวี่กำลังสนทนาผ่านกระแสปราณ วิปลาสหลิ่วก็จ้องเขม็งไปที่เยว่ฉือและกล่าวด้วยความโกรธ “สำหรับข้าแล้วดูเหมือนว่าศิษย์ที่เจ้าพากลับมาครั้งนี้ ก็เป็นพวกที่ไม่มีจิตวิญญาณเลยแม้แต่น้อย!”
“หมิงเหยียน อาจารย์ลุงของเจ้าบอกว่าเจ้าไม่มีจิตวิญญาณ ควรทำอย่างไรดี?” เยว่ฉือยิ้มบาง และไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่จ้องมองไปที่ศิษย์ที่อยู่ข้างกาย
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าขนนกและมงกุฎทรงเตี้ยสีดำ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาก็เหลือบมองไปทาง เฉินซี ก่อนจะแย้มยิ้มเฉยเมย จากนั้นเขาก็กล่าวในขณะที่ประสานมือว่า “เรียนท่านอาจารย์ ศิษย์ใหม่ของอาจารย์ลุงหลิ่ว ฝีมือยังห่างชั้นที่จะเป็นคู่มือของข้า ดังนั้นทำให้เราถึงไม่ให้ศิษย์น้องเฉิงเซียวปะมือกับเขา ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าเราจะชนะ ก็จะไม่ถูกครหาว่ารังแกเขา”
ชายหนุ่มร่างกายกำยำอีกคนหนึ่ง ซึ่งสวมเสื้อคลุมปักยืนอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของเยว่ฉือ และเขาคือเฉิงเซียวที่หมิงเหยียนกล่าวถึง
เฉิงเซียวหัวเราะเบา ๆ ทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ซึ่งเผยให้ถึงฟันขาวราวกับหิมะอยู่เต็มปากขณะที่เขาประสานมือของเขาและกล่าวสัญญาอย่างเคร่งขรึมว่า “ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ โปรดอนุญาตให้ข้าได้ประลองกับศิษย์ของท่านอาจารย์ลุงหลิ่วด้วย และท่านอาจารย์มิต้องกังวล ตราบใดที่เขายอมรับความพ่ายแพ้อย่างเชื่อฟัง ข้ารับรองว่าจะไม่ทำให้เขาบาดเจ็บ”
“ฮึ่ม! ทำไมเจ้าถึงมาถามข้า ไปเชิญเขามาประลองเองซะ!” เยว่ฉือคำราม
“ศิษย์ทราบแล้ว” เฉิงเซียวก้าวออกมาและประสานมือของเขาไปทางประมุขนิกายและเหล่าผู้อาวุโส ก่อนที่เขาจะหันมาเผชิญหน้ากับเฉินซีและกล่าวว่า “ศิษย์น้องเฉินซี เรามาใช้โอกาสนี้ เพื่อประลองฝีมือกันดีหรือไม่?”
ผู้อาวุโสทั้งหมดส่ายศีรษะอีกครั้งเมื่อเห็นฉากนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ขัดขวาง เพราะพวกเขารู้ดีว่า สหายเก่าสองคนนี้ได้ต่อสู้อย่างเปิดเผยและลับ ๆ มาหลายพันปีแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดแม้พวกเขาจะต้องการก็ตาม
ในทางกลับกัน ชายหนุ่มกับหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังของผู้อาวุโสหลายคน ก็เผยให้เห็นถึงความตื่นเต้นบนใบหน้าเล็กน้อย พวกเขาเป็นศิษย์ที่ผ่านการทดสอบมากมายและได้รับเลือกจากเหล่าผู้อาวุโสเช่นเดียวกับเฉินซี ซึ่งแต่ละคนก็มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาและความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขาม
ดังนั้นพวกเขาต้องการจะเห็นว่าศิษย์ที่เพิ่งเข้าร่วมนิกายกระบี่เก้าเรืองรองคนนี้ จะมีความสามารถอะไรบ้าง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ วิปลาสหลิ่วกลับมีท่าทางที่สงบอย่างหาได้ยาก แต่เขาก็เย้ยหยันอยู่ในใจอย่างไม่รู้จบ เพราะเขารู้ดีว่า ความแข็งแกร่งของเฉินซีนั้นทรงพลังเพียงใดในขอบเขตการบ่มเพาะเดียวกัน และเห็นได้ชัดว่า เยว่ฉือกำลังยั่วยุเขาให้เกิดความอัปยศอดสูโดยใช้สิ่งนี้
“อะไรกัน? ศิษย์น้องเฉิน เจ้าไม่กล้ารับคำท้าประลองของข้าหรือ?” เมื่อเห็นเฉินซีไม่ตอบหลังจากผ่านไปนาน ความดูถูกเหยียดหยามก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉิงเซียว
ชายหนุ่มและหญิงสาวคนอื่น ๆ ต่างก็แสดงความผิดหวังเล็กน้อย เพราะพวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เฉินซีจะเป็นอย่างที่ผู้อาวุโสเยว่ฉือกล่าวจริง ๆ ปราศจากจิตวิญญาณและอ่อนแอจนไม่มีความกล้าที่จะรับคำท้าประลอง
“พี่เฉิน…” ชิงอวี่ดึงเสื้อผ้าของชายหนุ่มเบา ๆ ขณะที่เขากล่าวผ่านกระแสปราณด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ลืมมันไปเถอะ ถ้าท่านไม่อยากต่อสู้ มันเป็นเพียงการโต้เถียงที่ปราศจากการไตร่ตรอง และไม่มีอะไรที่ต้องอายหากท่านไม่ยอมรับคำท้าประลอง”
เฉินซีคืนสติของเขาหลังจากครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง จากนั้นจึงกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดลงที่เฉิงเซียว และกล่าวเชิงขออภัยออกไป “ขออภัยด้วย ก่อนหน้านี้ข้ากำลังครุ่นคิดอยู่ รบกวนเจ้าช่วยกล่าวอีกครั้งได้หรือไม่?”
ก่อนหน้านี้เขาตกในภวังค์ความคิดจริง ๆ และเขาก็งุนงงเป็นอย่างมาก ‘นี่ข้ากลายเป็น ‘ศิษย์น้องเฉิน’ ที่เฉิงเซียวกล่าวถึงได้อย่างไร? ความอาวุโสนี้ถูกกำหนดกันตั้งแต่เมื่อใด? แล้วใครเป็นผู้กำหนด?’