บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 552 ตอบโต้อย่างแข็งกร้าว
บทที่ 552 ตอบโต้อย่างแข็งกร้าว
บทที่ 552 ตอบโต้อย่างแข็งกร้าว
การกระทำที่เฉินซีแสดงออกมาให้ทุกคนได้เห็นนั้น ทำให้ผู้คนต่างก็คิดว่า ‘เฉินซีนั้นเย่อหยิ่งจองหองอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังปฏิบัติต่อเฉิงเซียวอย่างไม่ให้เกียรติ ทั้งที่เขาก็ท้าประลองกับเจ้าอย่างเป็นทางการ แต่เจ้ากลับไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย และยังกล้าเหม่อลอยคิดถึงเรื่องอื่น!’
“ข้าไม่เคยนึกเลยว่าชายคนนี้ที่ดูราวกับเป็นคนอ่อนโยน จะเย่อหยิ่งได้ถึงขนาดนี้”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ทุกคนต่างสงวนท่าทีเมื่ออยู่ต่อหน้าของท่านประมุขและผู้อาวุโส เพราะพวกเขาเกรงว่าจะทำผิดพลาดและถูกตำหนิ แต่เฉินซีกลับเหม่อลอยไปคิดถึงเรื่องอื่น เขาช่างหยิ่งยโสเสียจริง ๆ“
“น่าสนใจ…. และมันจะน่าสนใจก็ต่อเมื่อมันเป็นแบบนี้!!”
ชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งหมดต่างกระซิบกระซาบกันอย่างลับ ๆ
สายตาที่จดจ้องยังเฉินซีของพวกเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เนื่องจากชายคนนี้หยิ่งผยองมาก เขาคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งเพียงพอแล้วหรือ?
“เจ้า…” เฉิงเซียวโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาของเขาเผยประกายดุร้าย ก่อนกัดฟันแน่นและกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าจะทวนคำพูดอีกครั้ง ศิษย์น้องเฉิน เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่!?”
“ยอดเขาสัประยุทธ์ มีกฎที่ห้ามการต่อสู้มิใช่หรือ?” เฉินซีขมวดคิ้วขณะที่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ
“พี่เฉิน นี่คือการประลองและไม่ถือว่าเป็นการต่อสู้ นอกจากนี้ ท่านประมุขกับเหล่าผู้อาวุโสก็อยู่ที่นี่ ดังนั้นเหตุการณ์นองเลือดจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน” ชิงอวี่อธิบายด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“ไร้สาระยิ่งนัก” ชายหนุ่มส่ายศีรษะ เขามาที่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองเพื่ออุทิศตนให้กับการบ่มเพาะ และไม่สนใจที่จะประลองแต่อย่างใด
“ไร้สาระ?”
ใบหน้าของเฉิงเซียวกระตุกอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ก่อนมันจะกลายเป็นโทสะที่แทบจะระเบิดออกมา!
“ไอ้บัดซบนี้ คิดว่าคำท้าประลองของข้าเป็นเรื่องไร้สาระอย่างนั้นรึ!”
ในขณะนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงชายหนุ่มและหญิงสาวเหล่านั้น แม้แต่ประมุขนิกายและผู้อาวุโสทุกคนก็ตกตะลึง เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะกล่าววาจาขวานผ่าซาก ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“นิสัยของชายคนนี้ค่อนข้างคล้ายกับศิษย์พี่ใหญ่หลิ่ว”
“ศิษย์น้องเฉิน เจ้าช่างขี้ขลาดยิ่งนัก นี่เจ้ายังกล้าที่จะเข้าร่วมกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเพื่อฝึกฝนอีกหรือ? ข้าว่าเจ้าควรกลับบ้านไปทำตัวเยี่ยงลูกเต่าเสียดีกว่า!” เฉิงเซียวสูดลมหายใจเข้าลึกและระงับเปลวไฟแห่งโทสะในใจของเขา จากนั้นจึงคำรามออกมา
“ข้าไม่ได้สนใจที่จะประลองเช่นนี้ และไม่ว่าข้าจะเป็นคนขี้ขลาดหรือไม่ ในภายภาคหน้าพวกท่านก็จะได้รู้เอง” เฉินซีตอบอย่างใจเย็น เพราะนับตั้งแต่ได้ผ่านการต่อสู้ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในสมรภูมิบรรพกาล มันก็ทำให้เขาไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่าการประลองอีกต่อไป
“ช่างดื้อรั้นจริง ๆ เอาล่ะ หากเจ้ายอมรับว่าฝีมือของเจ้าอ่อนด้อยกว่าข้า เจ้าก็จากไปได้ตามที่ใจต้องการ เช่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เฉิงเซียวก็ยิ่งรู้สึกแน่ใจว่า ชายคนนี้พยายามทำตัวแข็งแกร่งเพียงภายนอก หากแต่ภายในกลับว่างเปล่า! ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกไปอย่างเย็นชา
คิ้วของเฉินซีขมวดเป็นปม ‘แม้แต่พระโพธิสัตว์ดินเหนียวก็ยังละเว้นเพียงสามครา’ เท่านั้น แล้วจะนับประสาอะไรกับการถูกชายคนนี้ยั่วยุอย่างไม่หยุดหย่อน ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะบันดาลโทสะ ก่อนจะกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ข้ารู้แค่วิธีฆ่า หากเจ้าต้องการที่จะฟาดฟัน เจ้าได้เตรียมใจที่จะเสียชีวิตแล้วหรือไม่?”
ใบหน้าของเฉิงเซียวแข็งทื่อ ก่อนที่เขาจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ราวกับว่าตนได้ยินเรื่องตลกครั้งใหญ่ เขาไม่เคยคิดเลยว่า… เฉินซีจะยังดื้อรั้นในเวลาเช่นนี้!
“ใช้ความตายมาขู่ข้าอย่างนั้นหรือ? หึ คิดว่าจะขู่ข้าได้อย่างนั้นหรือ?”
คนอื่น ๆ ต่างอดยิ้มไม่ได้ เพราะประมุขนิกายและผู้อาวุโสหลายคนก็อยู่ที่นี่ ดังนั้นแม้ว่าชายหนุ่มต้องการฆ่าใครสักคน แต่พวกเขาจะนิ่งเฉยได้อย่างไร?
พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าเฉินซีกำลังโอ้อวดจริง ๆ
มีเพียงวิปลาสหลิ่วเท่านั้นที่ขมวดคิ้ว เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความไม่อดกลั้นในน้ำเสียงของเฉินซี ดังนั้นเจ้าตัวจึงโบกมือและกล่าวว่า “ลืมมันไปเสีย การที่เจ้าประลองกับเขา จะทำให้เจ้าเผชิญกับปัญหาเสียเปล่า ๆ”
เฉินซีลูบจมูกและหัวเราะอย่างขมขื่น “ท่านน่าจะกล่าวแบบนั้นตั้งแต่แรก”
“ศิษย์น้องเฉิน เจ้าจะจากไปโดยไม่ยอมรับความอ่อนด้อยของตนเองหรือ? กลับมานี่ซะ! ” ใบหน้าของเฉิงเซียวพลันกลายเป็นเย็นชา ในขณะที่มือขวาของเขาก็สะบัดออกอย่างรวดเร็ว ส่งปราณกระบี่ยาวสี่จั้งพุ่งเข้าใส่ศีรษะของเฉินซีจากทางด้านหลัง
แม้ว่าปราณกระบี่สายนี้จะมีความยาวเพียงสี่จั้ง แต่มันก็หนาแน่นและคมกริบเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังแฝงไปด้วยกลิ่นอายเยียบเย็นอันน่าสะพรึงกลัวขณะที่มันพุ่งผ่านท้องฟ้า
“ปราณกระบี่พิฆาตตาข่ายฟ้า!” มีคนอุทานด้วยความประหลาดใจ
“ถึงขั้นลงมือฆ่าผู้อื่น เพียงเพราะข้อขัดแย้งเล็กน้อยเช่นนี้ เจ้าคงเคยชินกับการมองชีวิตคนเป็นผักปลาสินะ” เฉินซีรู้สึกโกรธอยู่ในใจ “หากข้าต้องการบ่มเพาะอย่างสงบสุขในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองแห่งนี้ ถ้าข้าไม่แสดงฝีมือก็คงเป็นไปไม่ได้…”
ตู้ม!
ชายหนุ่มชี้นิ้วไปทางด้านหลัง ทำให้พลังแห่งการทำลายล้างควบแน่นอยู่ที่ปลายนิ้ว ก่อนที่มันจะทำลายปราณกระบี่โดยตรง
หลังจากนั้น เฉินซีก็หันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ดวงตาของเขาทอประกายเย็นชา ทันใดนั้น เจตนาฆ่าที่รุนแรงและบริสุทธิ์ก็พุ่งออกมาจากร่างกาย “หึ! ข้าอุตส่าห์ไม่ถือสา แต่เจ้ากลับได้คืบจะเอาศอก ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะวางมือ เอาล่ะ จงเบิกตาให้กว้างซะ จะได้รู้ว่าฝีมือของเรา มันห่างชั้นกันขนาดไหน!”
ทันใดนั้น เฉินซีก็กระทืบพื้น
ฟุ่บ!
ชั่วพริบตาต่อมา ร่างของเขาก็วาบมาถึงตรงหน้าของเฉิงเซียว จากนั้นฝ่ามือขวาของชายหนุ่มก็เหยียดออกพร้อมกับกลิ่นอายของการทำลายล้างที่หลั่งไหลออกมาขณะที่ฟาดลงไป
ตึง!
ดวงตาของเฉิงเซียวหรี่ลง เขาใช้สมบัติวิเศษที่มีอยู่เพื่อป้องกัน ทว่าทั้งหมดนี้กลับเปล่าประโยชน์ เพราะถูกฝ่ามือของเฉินซีกดลงกับพื้นโดยตรง ทำให้เสื้อผ้าที่สวมอยู่ฉีกขาดออกจากกัน กระดูกแตกเป็นเสี่ยง และร่างกายของเขาก็ดูราวกับเสาไม้ที่ถูกตอกฝังลงไปบนพื้น
พื้นของแท่นหินนี้ทำจากหยกและถูกปกคลุมด้วยอักขระยันต์ที่หนาแน่น อีกทั้งยังเทียบได้สมบัติวิเศษระดับสวรรค์ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าพลังทำลายของฝ่ามือของเฉินซีนั้นน่ากลัวถึงเพียงใด
ทุกคนต่างตกตะลึง!
เขาเอาชนะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติได้ด้วยการฟาดฝ่ามือเพียงครั้งเดียว พลังฝ่ามือที่ร้ายกาจเช่นนี้… อาจกล่าวได้ว่าเขาสามารถเอาชนะและกวาดล้างทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังไม่ให้โอกาสคู่ต่อสู้ได้ตอบโต้แม้แต่น้อย
“เจ้า…” หมิงเหยียนที่อยู่ใกล้เคียงตกตะลึงจนอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะระเบิดความโกรธออกมา เพราะเขาไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะลงมืออย่างฉับพลันและไร้ความปรานี ทำให้กระดูกในร่างกายของเฉิงเซียวแตกหักและหมดสติไป
นับประสาอะไรกับการที่เขาจะคาดไม่ถึง เพราะแม้แต่ผู้อาวุโสเยว่ฉือ ประมุขนิกายเวินหัวถิง และผู้อาวุโสคนอื่นก็ประหลาดใจเช่นกัน
เพราะเดิมทีพวกเขาคิดว่า แม้ว่าฝีมือของคนทั้งสองจะแตกต่างกันมาก แต่มันก็แค่การประลองฝีมือระหว่างศิษย์สองคน ดังนั้นคงจะปะทะกันไม่กี่กระบวนท่าและคงไม่เกิดปัญหาใด แล้วพวกเขาจะคาคคิดได้อย่างไรว่า เฉิงเซียวจะพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว?
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีโอกาสที่จะลงมือขัดขวาง
“คนผู้นี้… พวกเราประเมินเขาต่ำไป!”
“ใช่แล้ว เขาปกปิดฝีมือได้อย่างลึกล้ำ อีกทั้งยังไม่เปิดเผยร่องรอยออกมาแม้แต่น้อย ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ใช่ว่าเขาหยิ่งยโส แต่เขาไม่เห็นเฉิงเซียวอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ!!”
“ชายผู้ร้ายกาจคนนี้มาจากที่ใดกัน? ทันทีที่เจตนาฆ่าของเขาปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้ มันก็เหมือนกับเจตนาฆ่าของเทพอสูรที่ทำให้หัวใจของทุกคนต้องจมดิ่งสู่ความหวาดกลัว ข้าสงสัยนักว่ามือของเขาจะแปดเปื้อนเลือดมามากแค่ไหน”
ในขณะนี้ ชายหนุ่มและหญิงสาวเหล่านั้นก็ตระหนักได้ในที่สุด เพราะสิ่งที่เฉินซีกล่าวมาก่อนหน้านี้ ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะชายหนุ่มเอาชนะเฉิงเซียวได้อย่างง่ายดาย และถ้าหากใช้พลังมากขึ้นกว่านี้อีกเล็กน้อย เขาก็คงสามารถสังหารเฉิงเซียวได้อย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าเขาปรานีแล้ว
“พวกเจ้าจะเอาอย่างไร? ถ้ายังไม่พอใจ เช่นนั้นก็เข้ามาซะ!” เฉินซีตวาดออกไป เขารู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย เพราะทันทีที่ก้าวเข้าสู่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองเป็นวันแรก กลับต้องพบกับการยั่วยุเช่นนี้ หากว่าเขายังไม่แสดงฝีมือออกมา เมื่อบ่มเพาะอยู่ในนิกายต่อไป ชายหนุ่มก็อาจจะไม่ได้รับความเคารพจากใครสักคน
นอกจากนี้เขายังสังเกตเห็นว่า ยิ่งตนแสดงความอ่อนแอ ผู้คนที่นี่ก็ยิ่งดูถูก แต่หากเขาแสดงฝีมือที่แกร่งกล้า ชายหนุ่มก็จะยิ่งได้รับความเคารพมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้สามารถรับรู้ได้จากทัศนคติของประมุขนิกายและเหล่าผู้อาวุโส
ราวกับว่านิกายกระบี่เก้าเรืองรองต้องการกระตุ้นให้เหล่าศิษย์แข่งขันกันเอง มีเพียงการแข่งขันเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาสามารถเลือกอัจฉริยะผู้มีฝีมือโดดเด่นที่แท้จริงได้
หมิงเหยียนคำรามขณะที่ก้าวออกไปด้วยความตั้งใจที่จะลงมือ
“เอาล่ะ เราจะหยุดมือกันแค่นี้” ในขณะนี้ ประมุขนิกายกล่าวออกมาอย่างเฉยเมย
“หมิงเหยียน กลับมาซะ!” เยว่ฉือคำรามออกมา สีหน้าของเขาในเวลานี้ไม่ค่อยน่าดูเล็กน้อย เดิมทีคิดจะใช้โอกาสนี้เพื่อสยบท่าทางสง่าผ่าเผยของวิปลาสหลิ่ว แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะกลายเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยน จึงทำให้เจ้าตัวโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
“โอ้ ชิงอวี่ จงพาศิษย์พี่เฉินของเจ้ากลับไปที่ยอดเขาจรัสตะวันตกและจัดหาที่พักให้แก่เขา” วิปลาสหลิ่วยิ้มและกล่าวอย่างพึงพอใจ เขาพอใจกับการกระทำของเฉินซีเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ในที่สุดตนเองก็ได้ศิษย์ที่ดีซึ่งสอดคล้องกับอุปนิสัยของตัวเองแล้ว!
“ขอรับ ท่านอาจารย์” ชิงอวี่โค้งคำนับในขณะที่เขากล่าว จากนั้นก็พาชายหนุ่มจากไปพร้อมกับแสดงความชื่นชมออกมา
…
หลังจากที่เฉินซีกับชิงอวี่จากไปแล้ว ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็อดถามไม่ได้ “ศิษย์พี่หลิ่ว ศิษย์ที่ท่านรับมาครั้งนี้แตกต่างออกไปเล็กน้อย หรือว่าเขาจะเป็นศิษย์จากตระกูลอันทรงเกียรติแห่งอาณาจักรโบราณ?”
“ใช่แล้ว ศิษย์พี่หลิ่ว โปรดบอกด้วย ฝ่ามือที่เด็กคนนั้นฟาดลงมาก่อนหน้านี้ ดูจะมีเศษเสี้ยวของพลังแห่งการทำลายล้าง ซึ่งคือมหาเต๋าที่ลึกล้ำและหาได้ยากยิ่ง” ผู้อาวุโสอีกคนถามด้วยความสงสัยเช่นกัน
“ตระกูลอันทรงเกียรติหรือ? ไม่ใช่หรอก ศิษย์ของข้าคนนี้มาจากราชวงศ์ระดับกลางเท่านั้น” วิปลาสหลิ่วดื่มสุราและกล่าวด้วยรอยยิ้ม คำกล่าวของเขาเรียบง่ายทว่ากลับน่าประหลาดใจ ทำให้เขาดูลึกล้ำ
“ราชวงศ์ระดับกลางหรือ? มันจะเป็นไปได้อย่างไร!” ผู้อาวุโสทุกคนประหลาดใจ
“หืม? ราชวงศ์ระดับกลางไม่อาจให้กำเนิดอัจฉริยะที่แท้จริงได้หรือ?”
วิปลาสหลิ่วกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ข้าไม่กลัวที่จะบอกพวกเจ้าว่า ศิษย์ของข้าคนนี้ได้พิชิตทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติ และได้อันดับที่หนึ่งของศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงคราม นอกจากนี้ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถสั่นคลอนตำแหน่งของเขาได้ ดังนั้นหากพวกเจ้าปรารถนาที่จะมีศิษย์ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ พวกเจ้าทุกคนก็คงจะต้องฝันไปตลอดชีวิต” เมื่อกล่าวจบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ
ทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติ…
อันดับที่หนึ่งของศิลาจารึกวิญญาณ…
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกตะลึง และแม้แต่หางตาของผู้อาวุโสเยว่ฉือก็อดไม่ได้ที่จะกระตุก เพราะเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าเด็กคนนี้จะมีพรสวรรค์และพลังแฝงที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
หากสามารถบรรลุถึงระดับเดียวกันกับการบ่มเพาะของพวกเขา ก็จะได้เห็นเหล่าอัจฉริยะที่มีฝีมือโดดเด่นนับไม่ถ้วน และอาจกล่าวได้ว่าพวกเขาได้เห็นเหล่าอัจฉริยะมาทุกรูปแบบ แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเฉินซีนั้น ยังคงเป็นเรื่องน่าทึ่งสำหรับพวกเขา
เพราะมันน่าทึ่งจริง ๆ ทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุตินั้น แม้แต่ในแดนภวังค์ทมิฬที่กว้างใหญ่ ก็เป็นสิ่งที่ศิษย์เพียงไม่กี่คนสามารถกระตุ้นมันได้ แต่เฉินซีกลับมีโชคพอที่จะพิชิตมันได้ ดังนั้นไม่ได้หมายความว่าเขามีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นสุดยอดฝีมือหรอกหรือ!?
“เขาเป็นต้นกล้าที่ดีจริง ๆ!” ประมุขนิกายถอนหายใจเบา ๆ
“แน่นอน เจ้าไม่เห็นหรือว่าใครรับเขาเป็นศิษย์?” วิปลาสหลิ่วมีท่าทางภาคภูมิใจ
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ พวกเขาต่างรู้นิสัยของวิปลาสหลิ่ว ดังนั้นจึงไม่มีใครถือสาต่อสิ่งที่เขากล่าว
“แต่น่าเสียดาย ข้าคงไม่มีโอกาสได้เห็นเขาเติบโต…” ทันใดนั้น สีหน้าของวิปลาสหลิ่วกลายเป็นเยือกเย็นและมีความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“ศิษย์พี่ใหญ่หลิ่ว เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ทุกคนตกตะลึง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทางเช่นนี้
“กลิ่นอายของข้าได้ถูกเต๋าแห่งสวรรค์สังเกตเห็นแล้ว ภายในสามวัน ข้าจะถูกบังคับเข้าสู่ภพเซียน” วิปลาสหลิ่วจิบสุรารสเข้มเข้าไปเต็มปาก ก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วถอนหายใจ หลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็นิ่งสงบและหนักแน่น ในขณะที่เจ้าตัวกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “แต่ข้าไม่เสียใจเลย เพราะหลังจากที่ข้าได้รับศิษย์เช่นนี้ ข้าวิปลาสหลิ่ว ชีวิตนี้ก็ไม่มีสิ่งใดให้เสียใจอีกแล้ว!”