บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 559 ดื้อรั้น
บทที่ 559 ดื้อรั้น
บทที่ 559 ดื้อรั้น
ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก ริมสระชำระกระบี่
หลังจากที่เหล่าศิษย์จากยอดเขาอื่น ๆ จากไป บรรยากาศในที่แห่งนี้ก็หวนคืนสู่ความสงบสุขอย่างเคย
เฉินซีก้าวเดินไปข้างหน้า จากนั้นจึงประสานมือและกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องเฉินซี ขอคารวะเหล่าศิษย์พี่”
ในขณะที่เขาพูด เฉินซีก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปยังเหล่าศิษย์พี่ของเขา
หั่วโม่เลย ซึ่งเป็นศิษย์พี่ใหญ่ มีรูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายท่อนบนของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามสีทองแดงที่เปลือยเปล่า เขามีผมสีแดงเข้มดุจเปลวเพลิง จึงทำให้ตัวคนดูหยาบกระด้างเป็นอย่างมาก
ศิษย์พี่รองหลูเซิงนั้นสวมชุดขนนก มีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างหล่อเหลา ดวงตาของเขาก็ดูไม่ธรรมดาและมีชีวิตชีวา ยิ่งไปกว่านั้น มีขลุ่ยสีเขียวเหน็บอยู่ที่เอว มันก็ทำให้เขาดูอิสระยากจะผูกมัดกับสิ่งใด
ศิษย์พี่สามอี้เฉินจื่อ สวมมงกุฎทรงสูงสีดำ สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวเหมือนพระจันทร์ มีใบหน้าที่ผอมตอบ และเขาดูเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
ศิษย์พี่สี่ต้วนอี้ ดูเหมือนบัณฑิตซึ่งมีท่าทางที่สง่าไร้การผูกมัด ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่อธิบายไม่ได้ ซึ่งทำให้เจ้าตัวดูพิเศษเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะอสูร แต่เขาก็พูดจาอย่างเข้มงวด เขากำเนิดจากแก่นแท้ของหยกตามธรรมชาติ และเป็นการดำรงอยู่ที่หายากมาก
ส่วนศิษย์พี่คนที่ห้าคือศิษย์พี่หญิงอาจิ่ว นางเป็นเหมือนกับหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่ไร้เดียงสา ผมของนางถูกมัดเป็นมวยสองข้าง รูปลักษณ์ของนางดูอ่อนเยาว์และบริสุทธิ์ อีกทั้งยังมีลักยิ้มที่มากไปด้วยความงาม ทุกการเคลื่อนไหวของนางเผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ
ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ว่า ไม่ว่าศิษย์พี่คนใดก็ตาม พวกเขาต่างก็มีลักษณะเฉพาะของตนเอง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายมากที่พวกเขาจะสร้างความประทับใจลึก ๆ ให้กับผู้คน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาไม่มีกลิ่นอายของการฆ่าฟันอยู่บนตัวของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงกลิ่นอายที่เป็นธรรมชาติ จึงบันดาลให้ผู้คนประทับใจในตัวพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
“ศิษย์น้องเล็ก ไม่จำเป็นต้องมากมารยาท ยอดเขาจรัสตะวันตกของเรานั้นไม่มีกฎใด ๆ” หั่วโม่เลยหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “มาเถิด เราจะไปดื่มฉลองให้กับศิษย์น้องเล็กอย่างเต็มที่กัน”
“ใช่แล้วศิษย์พี่ใหญ่! ศิษย์น้องเล็กเพิ่งมาถึงวันนี้ แต่กลับแก้ปัญหาของเราได้อย่างหมดจด เขาเป็นดาวนำโชคที่ฟ้าประทานมาให้เสียจริง ๆ และเราจะต้องเฉลิมฉลองให้แก่เขา!!” ศิษย์พี่คนอื่น ๆ ต่างทยอยพยักหน้าเห็นด้วยทีละคน และกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ดังนั้นม่านงานเลี้ยงแห่งการเริ่มต้นใหม่จึงถูกรูดขึ้นที่ริมสระชำระกระบี่
ศิษย์ทั้งเจ็ดของยอดเขาจรัสตะวันตกต่างนั่งบนพื้น พวกเขาดื่มสุราและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งเป็นฉากที่เต็มไปด้วยความสุขความยินดี
นอกจากนี้ ในที่สุด เฉินซีก็ได้ยลทักษะขั้นสุดยอดของเหล่าศิษย์พี่ของเขา
ตัวอย่างเช่น ศิษย์พี่รองมีความเชี่ยวชาญด้านดนตรี เขาได้เด็ดใบไม้ออกมาหนึ่งใบ จากนั้นก็แต่งเพลงที่ยอดเยี่ยมราวกับเสียงของธรรมชาติ ท่วงทำนองนั้นแผ่วเบา แต่กลับรวดเร็วและว่องไว ซึ่งช่วยชำระวิญญาณของผู้ได้รับฟัง ทำให้จิตใจสงบและรู้สึกเบิกบานจากเป็นอิสระ
เป็นดั่งท่วงทำนองของเซียนที่ก้องกังวานไปทั่วทั้งฟ้าดิน ซึ่งจังหวะเหล่านั้นก็กลายเป็นกระแสของอักขระยันต์เฉกเช่นเดียวกับธารน้ำที่ไหลริน แม้จะแผ่วเบาและวุ่นวาย แต่ในขณะเดียวกันก็ดูโปร่งแสงเสมือนผลึก
บนทุ่งหญ้าที่ริมสระชำระกระบี่ มีหญ้าอ่อนเติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ ดอกไม้ผลิบานขึ้นอย่างเงียบ ๆ และดูเหมือนว่าพวกมันจะได้ยินท่วงทำนองมหาเต๋า ทำให้พลังชีวิตของมันเอ่อล้นและดูจะมีจิตวิญญาณขึ้นมา
นอกจากนี้ ผีเสื้อหลากสีมากมายก็บินว่อนมาจากป่าอันไกลโพ้น และพวกมันกระพือปีกอยู่รอบ ๆ ของศิษย์พี่รอง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเหล่าสัตว์ที่ถูกขับกล่อมด้วยท่วงทำนอง ทำให้พวกมันนอนอยู่บนพื้นอย่างเงียบ ๆ และเผยให้เห็นท่าทางที่เคลิบเคลิ้ม
ในขณะนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การกระทำที่ลึกซึ้งของมนุษย์นั้นส่งผลต่อวิถีของโลก อีกทั้งยังส่งผลต่อเต๋าและเต๋าก็ยังส่งผลต่อธรรมชาติอีกเช่นกัน
เฉินซีรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เห็น และเขารู้สึกโดยสัญชาตญาณว่า ท่วงทำนองนี้ควรจะมีอยู่ในสวรรค์เท่านั้น ความสามารถที่บรรลุเต๋าแห่งเสียงในระดับดังกล่าวของศิษย์พี่รองนั้น ช่างน่าทึ่งและคู่ควรแก่การยกย่องอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าคิดอย่างไรกับภาพวาดของข้า” อาจิ่วผู้เป็นศิษย์พี่ห้าเดินเข้ามาหาเขาด้วยจิตใจที่เบิกบาน โดยถือภาพวาดในมือ ก่อนที่จะแสดงให้เฉินซีดูราวกับว่านางกำลังนำเสนอสมบัติล้ำค่า
ภาพวาดนั้นถูกวาดด้วยน้ำหมึกที่สาดกระเซ็น มันเป็นรูปของทิวทัศน์ซึ่งมีกลุ่มคนกำลังดื่มสุราอย่างมีชีวิตชีวาและเสมือนจริง โดยภาพวาดนั้นตรงกับพวกเขาทั้งเจ็ดคน!
เฉินซีรู้สึกประหลาดใจกับภาพวาดนี้ เพราะเมื่อเขาจ้องมองมัน เมฆดูเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ น้ำในแม่น้ำก็ดูจะไหลเชี่ยว ผู้คนในภาพวาดดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ และทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ดูคล้ายกับพวกตนทั้งหมด!
แม้กระทั่งตอนที่เฉินซีจ้องมองตัวเองที่อยู่ในภาพวาด เขาก็มีความรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่ากำลังจ้องตากับ ‘เฉินซี’ อีกคน และมันทำให้เขามึนงงเป็นอย่างมาก
จึงทำให้เขารู้สึกสงสัยในใจว่า ‘คนในรูปคือข้าหรือข้านั้นกำลังอยู่ในรูป?’
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับภาพวาดของข้า?”
“ศิษย์น้องเล็ก มาเล่นหมากล้อมกันเถอะ”
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าขาดสมบัติวิเศษอะไรหรือไม่? ให้ข้าขัดเกลาสมบัติป้องกันสักชุดดีหรือไม่?”
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไม่ต้องการเห็นว่าข้าจัดขบวนทัพอย่างไรในการสู้รบหรือ?”
เมื่อเห็นศิษย์พี่รองกับศิษย์น้องต่างแสดงฝีมือติดต่อกัน และทำให้เฉินซีอุทานด้วยความชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ศิษย์พี่คนอื่น ๆ ก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป พวกเขาจึงแสดงความสามารถพิเศษของตนเองออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยหวังให้เฉินซีกล่าววิจารณ์พวกเขา
พวกเขาดูเหมือนกลุ่มเด็กน้อยที่ต้องการนำเสนอสมบัติของตัวเอง โดยหวังจะได้รับการชมเชยและคำชื่นชม นอกจากจะทำให้เฉินซีไม่สามารถหยุดหัวเราะได้ ความรู้สึกอบอุ่นที่เขาไม่ได้รู้สึกมานานก็อดไม่ได้ที่จะพรั่งพรูอยู่ภายในใจ
เมื่อได้อยู่ร่วมกับศิษย์พี่เหล่านี้ มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่คนคนหนึ่งจะรู้สึกมีความสุขโดยไม่รู้ตัว และทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไร้กังวลอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่าเขาได้ลืมความกังวลทั้งหมดที่มีในโลกนี้ไป
“เฉินซี ศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันตกอยู่ที่ใด!?” ในช่วงเวลาแห่งความสุขสันต์นี้ เสียงทุ้มดุจเสียงฟ้าร้องได้ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน ทำให้มวลเมฆและกระแสลมปั่นป่วน ซึ่งทำลายบรรยากาศของที่นี่จนหมดสิ้น
เฉินซีและคนอื่น ๆ เงยหน้าขึ้น พวกเขาเห็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำยืนอย่างภาคภูมิบนขอบฟ้าอันไกลโพ้น ผมสีดำปลิวไหวไปกับสายลม ริมฝีปากของอีกฝ่ายบางดุจใบมีด ดวงตาสีดำสนิทของคนผู้นี้ส่องประกายอันเย็นเยียบและน่ากลัว เขาดูเหมือนกับเทพอสูรที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอันเฉียบคมอย่างไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งทำให้มวลเมฆที่ปกคุลมท้องฟ้าแตกสลาย และกลิ่นอายของเขาท่วมท้นอย่างมาก
“ตู้เซวียนหรือ?” เฉินซีลุกยืนขึ้นขณะที่ดวงตาของเขาพลันหรี่ลง คนผู้นี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับตู้กวนอยู่ราวห้าหกส่วน แต่กลับมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งกว่าสิบเท่า เจตนาฆ่าของคนผู้นี้ก็ควบแน่นจนดูจะกลายเป็นวัตถุขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเขามีประสบการณ์ต่อสู้มาอย่างโชกโชน อีกทั้งยังเป็นคนที่ไร้ความปรานี ซึ่งเคยเหยียบย่ำผ่านภูเขาซากศพและทะเลเลือดมาแล้ว!
หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านข้าง ต่างก็รู้สึกตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน ตู้เซวียนเป็นหนึ่งในห้าศิษย์ชั้นสูงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาด้วยการบ่มเพาะที่ขอบเขตจุติ พลังฝีมือของเขานั้นน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด จึงทำให้เขาได้รับการชื่นชมจากเหล่าผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และสถานะของเขาก็ยังสูงกว่าผู้อาวุโสบางคนเสียอีก
ในเวลานี้ อีกฝ่ายได้มาอย่างอุกอาจและเห็นได้ชัดว่ามีเจตนาร้าย
“ศิษย์พี่ตู้ ท่านมาหาข้ามีสิ่งใดหรือ?” เฉินซีกะพริบตาและมองไปที่ตู้เซวียน แต่คิ้วของเขาก็ยังขมวดเข้าหากัน เนื่องจากชายหนุ่มไม่เคยคาดคิดว่าเมื่อทุบตีตู้กวนไปแล้ว พี่ชายของอีกฝ่ายก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป และกระทั่งรีบรุดมาเอาเรื่องตน
“ข้าได้ยินมาว่า อาจารย์ลุงต้องการให้เจ้าสืบทอดตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุดของยอดเขาจรัสตะวันตก แต่ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจึงมาพบกับเจ้าโดยเฉพาะ” ผมยาวของตู้เซวียนปลิวไสวไปตามแรงลม ในขณะที่เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ อีกทั้งยังแผ่กลิ่นอายที่ดุร้ายและโหดเหี้ยมอย่างไม่มีใครเหมือนออกมา
“โอ้?” ใบหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจของเขากลับรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มไม่รู้ว่าวิปลาสหลิ่วได้ตัดสินใจเช่นนั้นจริง ๆ และก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
แต่หลังจากนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงเจตนาของตู้เซวียน ซึ่งดูผิวเผินเหมือนกับว่าต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อมาพบตน แต่แท้จริงแล้วนั้น อีกฝ่ายต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อแก้แค้นให้กับน้องชาย!
‘คนผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์นัก!’ ชายหนุ่มลอบถอนหายใจด้วยความหน่ายใจ เนื่องจากเขารู้ดีว่าตู้เซวียนต้องทำเช่นนี้อย่างแน่นอน เพราะอีกฝ่ายกลัวว่าเขาจะสร้างปัญหาให้ อย่างไรเสีย น้องชายของตู้เซวียนก็ข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอและมันสมควรถูกทุบตี ดังนั้นหากตู้เซวียนมาหาเรื่องเฉินซีเพราะเหตุนี้ นั่นจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงอย่างแน่นอนเมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป
ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะนี้ เขาสังเกตว่าตู้เซวียนไม่ได้มาเพียงลำพัง และมีกลิ่นอายอันทรงพลังอีกสองสามคนที่เปล่งออกมาจากระยะไกล เห็นได้ชัดว่ามีคนเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่อยู่
‘พวกมันเป็นใครกัน?’
‘อาจเป็นผู้ช่วยของตู้เซวียนใช่หรือไม่?’
เฉินซีกำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
“นับตั้งแต่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้าได้ก่อตั้งขึ้น ปรมาจารย์สูงสูดก็เป็นผู้อาวุโสของนิกายดำรงตำแหน่งมาโดยตลอด และผู้อาวุโสเหล่านั้นไม่เพียงแต่ต้องมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษเท่านั้น พวกเขายังต้องมีคุณสมบัติที่น่าเชื่อถืออีกด้วย” ในระหว่างที่เฉินซีกำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ตู้เซวียนก็กล่าวออกมาช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ ในขณะที่ดวงตาของเขาเป็นประหนึ่งใบมีดที่ชี้ไปยังเฉินซีอย่างเย็นชา จากนั้นก็กล่าวเสริมช้า ๆ ว่า “เจ้าเพิ่งเข้าสู่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้า ยังเป็นผู้เยาว์และมีฐานการบ่มเพาะอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งยังไร้ศักดิ์ฐานะใด ๆ แม้ว่าท่านประมุขจะให้เวลาเจ้าหนึ่งร้อยปีในการพัฒนาตัวเอง แต่ข้าคิดว่าเจ้าควรสละตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุดโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ผู้อื่นที่คู่ควรได้ตำแหน่งนี้ไป”
“ศิษย์พี่ตู้เซวียน มีข้อยกเว้นสำหรับทุกสิ่ง เนื่องจากท่านประมุขนิกายได้ตกลงรับปากไปแล้ว ก็เท่ากับท่านได้ยอมรับความสามารถของศิษย์น้องเฉิน แล้วการคัดค้านของท่านคนเดียวจะเปลี่ยนการตัดสินใจได้อย่างไร?” หั่วโม่เลยขมวดคิ้วขณะที่เขาพูด
“ข้อยกเว้นหรือ?” ประกายเย็นชาได้ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของตู้เซวียน “ข้าไม่คิดว่าศิษย์น้องเฉินมีสิทธิ์ได้รับข้อยกเว้น”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ได้กล่าวออกมา หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น พวกเขารู้สึกไม่พอใจอยู่ภายในใจอย่างมาก เพราะคำพูดของตู้เซวียนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาดูถูกเฉินซีอย่างสิ้นเชิง!
ใบหน้าของเฉินซียังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย และไม่ผันผวนแม้แต่น้อย เขาจ้องตรงไปที่ตู้เซวียน และรอยยิ้มบางก็ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก จากนั้นชายหนุ่มก็กล่าวว่า “แล้วในความเห็นของศิษย์พี่ตู้เซวียน ข้าต้องมีคุณสมบัติเยี่ยงใด จึงจะคู่ควรแก่การรับตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุดได้?”
“หึ มันง่ายมาก เจ้าต้องมีความแข็งแกร่งและศักดิ์ฐานะเพียงพอที่จะโน้มน้าวใจของทุกคนได้” ตู้เซวียนกอดอก ก่อนจะกล่าวอย่างเฉยเมย
“ข้าเพิ่งมาถึงนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ดังนั้นอาจมีผู้อาวุโสหลายคนที่ยังไม่รู้จักข้า ดังนั้นถ้าเป็นในแง่ของศักดิ์ฐานะ ข้าไม่มีเลยจริง ๆ แต่ข้ากล้าพูดได้เลยว่า หนึ่งร้อยปีต่อจากนี้ จะไม่มีผู้ใดนอกจากตัวข้าที่คู่ควรกับตำแหน่งของปรมาจารย์สูงสุด!” น้ำเสียงที่แผ่วเบาและไม่เร่งรีบของเฉินซีได้ล่องลอยไปในอากาศและเผยให้เห็นความมั่นใจที่แข็งแกร่ง ทำให้หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ประหลาดใจยิ่ง เพราะพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าศิษย์น้องของพวกเขาจะมีด้านที่ดื้อรั้นเช่นนี้
คำพูดเหล่านี้อาจกล่าวได้ว่าค่อนข้างหยิ่งผยอง เนื่องจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ของแดนภวังค์ทมิฬ อีกทั้งยังมีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนอยู่มากมาย ดังนั้นการยืนหยัดอยู่เหนือผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายเพื่อที่จะเป็นปรมาจารย์สูงสุด …จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!
“ช่างหยิ่งหยองเสียจริง!” ตู้เซวียนหัวเราะเยาะ “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงกล้าเย่อหยิ่งเช่นนี้ได้!?”
“ท่านจะได้รู้ในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้าว่าข้านั้นเย่อหยิ่งหรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าหวังว่าศิษย์พี่ตู้จะถอนคำพูดของท่านซะ” เฉินซียิ้มบางขณะที่กล่าว
“ฮึ่ม! เจ้ากล้าปฏิเสธที่จะละทิ้งความทะเยอทะยาน! ด้วยการบ่มเพาะอันอ่อนด้อยของเจ้า ต่อให้มีเวลาถึงหนึ่งพันปี เจ้าก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้!” จู่ ๆ ตู้เซวียนก็ก้าวไปข้างหน้า และกลิ่นอายอันท่วมท้นของเขาก็ระเบิดออกมา ซึ่งดูเหมือนเขาจะเย็นชาและดุร้ายอย่างไม่มีใครเทียบได้ “ในเมื่อเจ้ามั่นใจขนาดนั้น เช่นนั้นเจ้ากล้าสู้กับข้าตอนนี้หรือไม่?”
หัวใจของหั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ต่างสั่นสะท้านทันทีเมื่อได้ยินเสียงนี้ จากนั้นพวกเขาก็หันไปมองเฉินซีด้วยความกังวล เพราะตู้เซวียนนั้นไม่เหมือนใคร อีกฝ่ายเป็นหนึ่งในห้าศิษย์ชั้นสูงที่ยิ่งใหญ่ พลังและฝีมือของคนคนนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีนิสัยที่โหดเหี้ยมและไร้ความปรานี ดังนั้นการที่เฉินซีจะต่อสู้กับคนผู้นี้ การคาดเดาผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นจะเป็นไปได้ยาก
เมื่อเฉินซีได้ยินสิ่งนี้ ก็ดูเหมือนเขาได้คาดการณ์ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นมานานแล้ว สีหน้าของชายหนุ่มจึงยังคงไร้อารมณ์ สงบนิ่งและไม่แยแส เขาก้าวไปข้างหน้าและประสานมืออย่างสบาย ๆ “ศิษย์พี่ตู้เซวียน โปรดชี้แนะข้าด้วย!”
ที่เฉินซีทำเช่นนี้เป็นเพราะเขารู้ดีว่า ไม่ว่าจะเพื่อแก้แค้นให้กับตู้กวน หรือเพื่อกดดันให้เขาสละตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุด ตู้เซวียนจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน!
ในเมื่อการต่อสู้เป็นวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้… ดังนั้นแทนที่จะปะทะฝีปากกันด้วยคำพูดไร้สาระมากมาย เหตุใดจึงไม่เปิดศึกกันเสียเลยเล่า?!
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินซีเองก็อยากจะสัมผัสกับฝีมือของตู้เซวียนที่เป็นหนึ่งในห้าศิษย์ชั้นสูงของนิกายกระบี่เรืองรองว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงใดเช่นกัน!