บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 595 อสูรไก่ฟ้าทมิฬสายเลือดบริสุทธิ์
บทที่ 595 อสูรไก่ฟ้าทมิฬสายเลือดบริสุทธิ์
บทที่ 595 อสูรไก่ฟ้าทมิฬสายเลือดบริสุทธิ์
“นี่มันปราณกระบี่อันใดกัน?”
มันรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด ราวกับธารปราณกระบี่ที่ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ทั้งกว้างใหญ่ รุนแรง เต็มไปด้วยพลังที่สั่นคลอนฟ้าดิน ทำให้มันสามารถบดขยี้ตะวัน จันทรา หรือแม้แต่หยินหยางได้!
ศาสตร์เต๋า …เคล็ดกระบี่ฝังวิญญาณบงการนภา!
เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ท่ามกลางสายตาที่ประหลาดใจและตกตะลึงของทุกคนที่อยู่ที่นั่น อสูรสี่ตนที่ท่องไปมาอย่างอิสระเสรีอยู่นานหลายปี กลับถูกปราณกระบี่นี้ทำลายล้างโดยตรง และพวกมันก็สลายหายไปจากโลกใบนี้
“เต๋า… นี่มันศาสตร์เต๋า!?” เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนล้วนตกตะลึงจนกล่าวอะไรไม่ออก บางคนถึงกับตกใจจนริมฝีปากสั่นและฟันก็กระทบกันอย่างช่วยไม่ได้ ทำให้เกิดเสียงกึก ๆ ที่ดังก้องท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด
ด้วยศาสตร์เต๋ามีอยู่ในกลุ่มกองกำลังที่ไม่ธรรมดาเท่านั้น ไม่ต้องกล่าวถึงเมืองรอยจันทรา แม้ว่าทั่วแคว้นสือทั้งหมดก็ตาม พวกมันก็เป็นดั่งเขากิเลนและขนปักษาเพลิงที่หาได้ยากยิ่ง
ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ศาสตร์เต๋าไม่เพียงแต่จะหายากเท่านั้น แต่ยังบ่มเพาะและทำความเข้าใจได้ยากด้วย ยกตนอย่างเช่น กองกำลังที่ไม่ธรรมดาอย่างนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง มีเพียงศิษย์ชั้นสูงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถบรรลุศาสตร์เต๋าได้ ตนอย่างเช่น ตู้เซวียนซึ่งเป็นหนึ่งในห้าศิษย์ชั้นสูงผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ก็เพิ่งบรรลุศาสตร์เต๋าเพียงเคล็ดเดียวในตอนนี้
แต่อานุภาพของศาสตร์เต๋านั้นไร้ข้อกังขา เพราะหากใครได้บรรลุศาสตร์เต๋าแล้ว มันก็จะสามารถข้ามขอบเขตเพื่อทำลายล้างศัตรูได้!
เพียงชั่วพริบตาเดียว สายตาของทุกคนที่จ้องมองไปที่เฉินซีก็เปลี่ยนไป การจ้องมองที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงของพวกเขา มีร่องรอยของความเคารพที่ไม่อาจปกปิดได้ ในขณะที่ใจของพวกเขาดูเหมือนว่าจะยอมรับชายหนุ่มเป็นศิษย์ที่มาจากนิกายซึ่งไม่ธรรมดาไปแล้ว
ยิ่งกว่านั้น เขาควรค่าแก่การเป็นศิษย์ชั้นสูงเสียด้วย!
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ชายหนุ่มที่สามารถบรรลุศาสตร์เต๋า และกวาดล้างอสูรห้าตนได้อย่างไม่ตึงมือนั้น จะต้องได้รับการส่งเสริมโดยกลุ่มนิกายที่ไม่ธรรมดาเท่านั้น
เฉินซีเพิกเฉยต่อสายตาเหล่านี้โดยสิ้นเชิง การใช้เคล็ดกระบี่ฝังวิญญาณบงการนภาเพื่อทำลายล้างอสูรทั้งสี่ตนก่อนหน้านี้ ทำให้เขารู้สึกตกใจ เนื่องจากชายหนุ่มไม่เคยคิดเลย ว่าการใช้มันโจมตีเพียงครั้งเดียว กลับกินปราณแท้ไปถึงครึ่งหนึ่ง!
ในความเป็นจริงนั้น ยิ่งอานุภาพของศาสตร์เต๋าแข็งแกร่งมากเท่าใด อัตราการดูดกลืนปราณแท้ของมันจะมหาศาลยิ่งขึ้น และด้วยการบ่มเพาะที่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ของเขา หากเฉินซีไม่ได้พึ่งพาความช่วยเหลือจากโอสถเพื่อเติมเต็มปราณแท้ ชายหนุ่มจะใช้มันได้อย่างมากที่สุดก็เพียงแค่สองสามครั้ง ก่อนที่ปราณแท้ของเขาจะเหือดแห้งจนหมดสิ้น
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องเตรียมโอสถเพิ่มในภายหน้า…”
เฉินซีลอบถอนหายใจ แต่ทว่ามันก็ไม่น่าแปลกใจ ด้วยยิ่งฐานการบ่มเพาะสูงขึ้นเท่าใด การพัฒนาความแข็งแกร่งก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น เพราะเหตุนี้เอง อัตราการดูดกลืนเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะหยุดความก้าวหน้าของคนส่วนใหญ่ได้แล้ว
ฟุ่บ!
เพียงพริบตาต่อมา เฉินซีก็ได้มาถึงที่หน้าศพของชวีมู่ ก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อคว้าแก่นวิญญาณของชวีมู่ และปิดผนึกมันเอาไว้ หลังจากนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปยังอู่จือฉงที่อยู่ไกลออกไป ทันใดนั้น ความเย็นเยียบก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา “อู่จือฉงหรือ?”
ในบรรดาผู้คนที่อยู่ในตอนนี้ มีเพียงอู่จือฉงเท่านั้นที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา ดังนั้นเฉินซีจึงคาดเดาได้ไม่ยากและสามารถยืนยันตนตนของคนผู้นี้ได้
“ใช่แล้ว” อู่จือฉงสูดลมหายใจเข้าลึก และระงับความตื่นตะหนกในใจอย่างเต็มที่ จากนั้นจึงกำหมัดแน่นและกล่าวว่า “ขออภัยที่ข้านั้นมีตาหามีแววไม่ แต่ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าผู้กล้าน้อยมาจากนิกายใดกัน?”
“โอ้? นี่เจ้าไม่รู้ว่าข้ามาจากไหนหรือ?” สายตาของชายหนุ่มจดจ้องไปที่อีกฝ่ายราวกับใบมีดที่แหลมคม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงมาหาเจ้า?”
เสียงของเฉินซีแผ่วเบามาก
แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของอู่จือฉงกลับรู้สึกหนาวเยือก เพราะเขาสามารถสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าอันร้ายกาจที่อยู่ในน้ำเสียงของอีกฝ่าย!
“นี่…” อู่จือฉงจ้องไปที่เฉินซี และสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมา
“ข้ารู้ว่าศิษย์พี่ชิงอวี่ไม่ได้อยู่ที่นี่” เฉินซีกวาดสายตาไปยังบริเวณโดยรอบของนิกายวายุม่วง และก็ดูเหมือนจะมองเห็นความลับทั้งหมดของที่นี่แล้ว “แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า ดังนั้นข้าจะปล่อยเจ้าไป หากเจ้าบอกว่าผู้ใดเป็นคนบงการให้เจ้ากระทำเช่นนี้ มิฉะนั้น วันนี้นิกายวายุม่วงทั้งหมดจะถูกฝังไปพร้อมกับเจ้า!”
สีหน้าของอู่จือฉงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เพราะเฉินซีผู้บรรลุศาสตร์เต๋าทำให้เขาหวาดกลัวเป็นอย่างมาก และเขาก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้กล่าวเกินจริง ประจวบกับมีนิกายที่น่าสะพรึงกลัวหนุนหลังเฉินซีอยู่ จึงทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่าตนเองไม่มีโอกาสให้เลือกนัก
แต่หากเขาบอกทุกอย่างกับเฉินซี ตนเขาก็จะตกอยู่ในภาวะที่สิ้นหวังเช่นเดียวกัน เพราะเรื่องนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเท่านั้น!
“ข้าควรทำอย่างไรดี?”
อู่จือฉงอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาเป็นเพียงประมุขนิกายของนิกายชั้นสอง และเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเขาไม่อาจรั้งให้อีกฝ่ายอยู่ที่นี่ได้ตลอด ดังนั้นถ้าเขาไม่เร่งตัดสินใจโดยเร็ว นับประสาอะไรกับตนเขา แม้แต่นิกายวายุม่วงก็ต้องเผชิญกับหายนะในอนาคต!
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ได้สมรู้ร่วมคิดกับอสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ดเพื่อทำร้ายศิษย์ชั้นสูงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง การกระทำเช่นนั้นเพียงพอที่จะทำให้เขาต้องตกอยู่หายนะไปชั่วนิรันดร์…
“จงบอกทุกอย่างแก่ข้า แล้วเจ้าจะได้จากไปอย่างมีชีวิต หากเจ้ายังดื้อดึงขัดขืน เจ้าก็จะไม่มีโอกาสได้รอดชีวิต!” เสียงของเฉินซีเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่รัดคออูฐจนตาย และทำให้อู่จือฉงยอมจำนนในที่สุด
“นิกายวิถีกระแสสวรรค์ นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง…” เมื่อได้ทราบเรื่องราวทุกอย่างจากอู่จือฉง ดวงตาของเฉินซีพลันหรี่ลงและเย็นยะเยือก ราวกับพร้อมที่จะกลืนกินศัตรู!
ในที่สุดเขาก็เข้าใจทุกอย่าง กลายเป็นว่าที่ศิษย์พี่ชิงอวี่ประสบคราวเคราะห์ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเขา และชิงอวี่เป็นเพียงเหยื่อล่อเพื่อใช้ในการขู่เท่านั้น!
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่บงการทั้งหมดนี้ก็คือเยว่ฉือ ผู้เป็นปรมาจารย์สูงสุดของยอดเขาจรัสตะวันออกแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง โดยร่วมมือของนิกายวิถีกระแสสวรรค์!
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เยว่ฉือได้ทำข้อตกลงกับบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในนิกายวิถีกระแสสวรรค์เพื่อจัดการกับเขา
แม้ว่าอู่จือฉงจะไม่ได้บอกว่าใครคือบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในนิกายวิถีกระแสสวรรค์ แต่เฉินซีไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิด ก่อนที่จะตัดสินใจว่า คนผู้นั้นย่อมคือปิงซื่อเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย!
…
ในวันนี้ นิกายวายุม่วงที่ก่อตั้งอยู่ในเมืองรอยจันทรามาหลายร้อยปีกลับถูกเฉินซีโค่นล้มอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันครั้งใหญ่ ทำให้ประมุขนิกายอู่จือฉงได้หายตนไปอย่างไร้ร่องรอย ในขณะที่เหล่าศิษย์ก็กระจัดกระจายและออกจากเมืองรอยจันทราไป
ในวันนี้ นอกจากเจียวเหลียงแล้ว อสูรอีกหกตนจากอสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ดแห่งเทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้า ผู้ก่อกรรมทำเข็ญอย่างร้ายแรงและท่องไปมาอย่างอิสระเป็นหลายปีก็ถูกสังหารสิ้น
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการกระทำของชายหนุ่มที่มาจากนิกายอันไม่ธรรมดา
ตนตนของชายหนุ่มคนนั้นก็ได้รับระบุแล้วเช่นกัน แน่นอนว่าเขาย่อมเป็นศิษย์ของหนึ่งในสิบนิกายเซียนอันยิ่งใหญ่ ซึ่งคือกระบี่เก้าเรืองรองและเขามีนามว่าเฉินซี!
เมืองรอยจันทราเป็นเพียงหนึ่งในสามร้อยกว่าเมืองของแคว้นสือ ซึ่งธรรมดาแถมยังไม่โดดเด่น แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ตำนานและวีรกรรมของเฉินซีจะถูกเล่าขานในอีกพันปีนับจากนี้
บางคนกล่าวว่า เฉินซีนั้นเกลียดความชั่วร้ายดั่งยาพิษ เป็นคนกล้าหาญและมีคุณธรรม เขาเป็นดั่งวีรบุรุษของผู้คน ซึ่งการที่เขาทำลายทำลายล้างอสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ดนั้น ทำให้ผู้คนต่างยินดีมีความสุขมาก
บางคนกล่าวว่า เขาเป็นเทพเจ้าที่พเนจรไปในฟ้าดินและเห็นความอยุติธรรมระหว่างทาง เขาจึงทนไม่ได้ที่จะเห็นผู้คนบริสุทธิ์ต้องทนทุกข์ทรมานจากการก่อกรรมทำเข็ญของเหล่าอสูร ดังนั้นเขาจึงบัญชาทัณฑ์สวรรค์ให้จุติลงมาเพื่อทำลายล้างอสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ดตน
ตำนานจากมุมมองที่หลากหลายเหล่านี้ ถูกรวบรวมเป็นเรื่องราวโดยโรงน้ำชาและเผยแพร่ไปตามท้องถนน ซึ่งผู้คนก็ยินดีที่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้
…
แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของอนาคต ในตอนนี้ เฉินซีได้ใช้ปีกนภาดารกะอยู่ท่ามกลางม่านหมอกอันมืดมิดของราตรี เขารีบเร่งเดินทางด้วยกำลังทั้งหมด เพื่อไปยังเทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้าซึ่งอยู่ห่างจากเมืองรอยจันทราอยู่หลายพันลี้
เขาถือแก่นวิญญาณไว้ในมือขวา ซึ่งมันเป็นของอสูรตนที่เจ็ดชวีมู่ เพราะก่อนหน้านี้มีเพียงแก่นวิญญาณของชวีมู่เท่านั้นที่เหลืออยู่ ส่วนแก่นวิญญาณของอสูรตนอื่น ๆ นั้นถูกเคล็ดกระบี่ฝังวิญญาณบงการนภาทำลายจนไม่เหลือ
“เจ้าจะกล่าวหรือไม่”
“ถุ๊ย ฆ่าข้าซะ ถ้าเจ้ายังเป็นลูกผู้ชาย!”
“ฮึ่ม! ข้าจะให้โอกาสครั้งสุดท้ายแก่เจ้า มิฉะนั้น ข้าจะขัดเกลาแก่นวิญญาณของเจ้าซะ ทำให้เจ้าไม่สามารถเกิดใหม่ได้ตลอดกาลและหายไปในโลกนี้โดยสมบูรณ์”
“ฝันไปเถอะ!”
“อ๊าก!!” เสียงร้องโหยหวนและน่าสมเพชดังขึ้น ซึ่งหากมีผู้ใดได้ยินก็อาจถึงขั้นขนลุกโดยไม่รู้ตน
“ข้ากล่าวแล้ว! ข้าจะกล่าวแล้ว! โปรดเมตตาให้ข้าได้จากไปอย่างฉับพลัน! ได้โปรด…” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แก่นวิญญาณของชวีมู่ก็ไม่สามารถทนต่อวิธีทรมานที่โหดเหี้ยมของเฉินซีได้ และร้องขอความเมตตาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้น เขาก็สารภาพทุกอย่างโดยไม่ลังเล
และก็เป็นไปตามที่เฉินซีได้คาดการณ์ไว้ ชิงอวี่ไม่ได้ถูกอสูรพวกนี้กิน แต่ถูกขังอยู่ในเทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้า และหากไม่มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เขาก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่และปลอดภัยดีในตอนนี้
เหตุผลที่มันเป็นเช่นนี้ ก็เพราะไม่ได้มีเพียงอสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ดที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้า แต่ยังมีอสูรไก่ฟ้าทมิฬที่มีสายเลือดบริสุทธิ์อาศัยอยู่ด้วย!
อสูรไก่ฟ้าทมิฬสายเลือดบริสุทธิ์นั้น เป็นสัตว์ร้ายที่ไร้เทียมทานในยุคบรรพกาล ตัวตนของมันก็เหมือนกับกระเรียนโลกันตร์และนกกระจอกกลืนกินสวรรค์ มันน่าสะพรึงกลัวจนถึงขนาดที่สามารถกลายเป็นเจ้าเหนือหัวที่มองลงมาบนผืนดินอันกว้างใหญ่อย่างหยิ่งยโส และมันดุร้ายถึงขนาดกล้าต่อกรกับเทพเจ้า
แต่ตามที่ชวีมู่ได้กล่าวมา อสูรไก่ฟ้าทมิฬสายเลือดบริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่บนเทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้านั้น มีความแข็งแกร่งอยู่ที่ขอบเขตสถิตกายาและยังไม่เติบโตเต็มที่
นอกจากนั้น จุดประสงค์ที่จับตัวชิงอวี่นั้น เป็นเพราะอสูรไก่ฟ้าทมิฬสายเลือดบริสุทธิ์ตั้งใจจะใช้ร่างกายของเขา เพื่อขัดเกลาสมบัติวิเศษอันน่าเกรงขาม! เหตุผลก็เพราะชิงอวี่เป็นผู้สืบทอดของเผ่าวิหคเพลิงนภา และก็เป็นวิหคเพลิงนภาสายเลือดบริสุทธิ์ที่หาได้ยาก ซึ่งการดำรงอยู่เช่นนี้ก็หาได้ยากแม้แต่ในเผ่าวิหคเพลิงนภา
เพราะเหตุนี้เองที่อสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ดได้หลอกอู่จือฉงและบอกว่าพวกมันได้กินชิงอวี่ไปแล้ว ซึ่งพวกมันก็ไม่เต็มใจที่จะมอบชิงอวี่ให้เขาจัดการ
ส่วนเรื่องที่ว่าอสูรไก่ฟ้าทมิฬสายเลือดบริสุทธิ์กำลังหลอมสมบัติวิเศษชิ้นใดอยู่นั้น แม้แต่ชวีมู่ก็ไม่อาจรู้ได้ชัด ด้วยความแตกต่างภายในเผ่าของพวกเขา พวกเขาทั้งเจ็ดมาจากสาขาหนึ่งของเผ่าไก่ฟ้าทมิฬเท่านั้น และไม่มีสายเลือดบริสุทธิ์
ตู้ม!
หลังจากได้รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว เฉินซีก็ทำลายแก่นวิญญาณของชวีมู่ทันที ก่อนจะเร่งความเร็วและมาถึงที่เบื้องหน้าเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ
เทือกเขาลูกนี้เหมือนสัตว์ร้ายที่ทอดกายคดเคี้ยวอยู่บนผืนดิน มันปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำที่พวยพุ่งและปล่อยปราณอสูรขึ้นสู่ท้องฟ้า อีกทั้งยังปล่อยกลิ่นอายที่ชั่วร้ายและเย็นยะเยือกออกมา เมื่อมองจากระยะไกล มันสามารถทำให้รู้สึกสยดสยองพองขนเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือเทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้าที่สิงสถิตของอสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ด และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดกล้าเข้าใกล้ในระยะหนึ่งพันลี้ ทำให้มันน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
“น่าแปลกนัก ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงไป๋และศาสตร์เต๋าของนิกายกระบี่แดนนิพพานที่เขาครอบครองอยู่ เขาควรจะไม่กลัวอสูรไก่ฟ้าทมิฬสายเลือดบริสุทธิ์ที่มีฐานการบ่มเพาะแค่ขอบเขตสถิตกายา เหตุใดหลิงไป๋จึงปล่อยให้ศิษย์พี่ชิงอวี่ถูกขังอยู่ที่นี่…?” เฉินซีมองไปที่เทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้าจากระยะไกลและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้น ร่างของเขาก็สว่างวาบราวกับลำแสง และเขาก็มาถึงเทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้าอย่างเงียบ ๆ
ในเวลาเดียวกัน จิตสัมผัสเทพของเขาก็แผ่ออกไปปกคลุมเทือกเขาทั้งหมด หลังจากค้นหาอยู่เป็นเวลานาน ดวงตาของชายหนุ่มก็สว่างขึ้นอย่างฉับพลัน
แท้จริงแล้วมีที่พำนักอันกว้างขวางและเงียบสงบอยู่ภายในไหล่เขา นอกจากนี้ยังมีชายวัยกลางคนที่มีลักษณะเหี่ยวแห้ง คิ้วคม และริมฝีปากบาง กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในนั้น
ชายวัยกลางคนคนนั้นสวมชุดคลุมสีดำ นิ้วของเขาบางเหมือนไม้ไผ่ และเล็บที่แหลมคมของเขาก็อาบไปด้วยแสงสีดำที่เย็นยะเยือก แสงแห่งบาปหมุนวนอยู่รอบร่างกายของคนผู้นี้ นอกจากนี้เขายังดูชั่วร้ายและเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
หากเฉินซีจำไม่ผิด คนคนนี้น่าจะเป็นพี่ใหญ่ของบรรดาอสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ดตน …เจียวเหลียง!!