บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 596 เปลวเพลิงวารีทมิฬ
บทที่ 596 เปลวเพลิงวารีทมิฬ
บทที่ 596 เปลวเพลิงวารีทมิฬ
เจียวเหลียงที่สวมชุดคลุมสีดำขมวดคิ้วน้อย ๆ คล้ายกำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าตัวตนของเขาได้ถูกเปิดเผยจนหมดสิ้นในสายตาของผู้อื่น
“หากข้าคำนวณเวลาไม่ผิด การขัดเกลาควรจะเริ่มขึ้นแล้ว ตราบใดที่ผู้อาวุโสเสวียนเจิงทำได้สำเร็จ ข้าก็จะสามารถใช้แก่นวิญญาณของตัวเองเข้ายึดร่างของเจ้าเด็กน้อยวิหคเพลิงนภา เช่นนั้นข้าจะสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของแสงแห่งบาปได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลานั้น แล้วข้าจะไม่สามารถท่องไปอย่างอิสระในโลกอันกว้างใหญ่ได้อย่างไร?” เจียวเหลียงพึมพำ และดวงตาที่เย็นชาก็ลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งความปรารถนาอันแรงกล้า
ผู้บ่มเพาะที่ชั่วร้ายนั้นแตกต่างจากผู้บ่มเพาะทั่วไป แม้พวกเขาจะสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วมหาศาล แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคาของการพรากชีวิตของคนอื่นไป ยิ่งการบ่มเพาะของพวกเขาก้าวหน้าไปมากเท่าใด สิ่งมีชีวิตก็ยิ่งต้องถูกสังหารมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาจะต้องทนทุกข์จากการถูกเต๋าแห่งสวรรค์ปฏิเสธ อีกทั้งมันยังส่งแสงแห่งบาปลงมา ซึ่งจะส่งผลห้พวกเขาไม่สามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์ได้ในอนาคต
เจียวเหลียงเหลือเพียงอีกก้าวเดียวก็จะบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายา และเขาไม่เต็มใจอย่างยิ่งที่จะหยุดอยู่เพียงแค่นี้ ดังนั้นเขาจึงคิดหาวิธีการอันยอดเยี่ยม และมันก็คือการยึดร่างของคนอื่น!
แต่หากเขาต้องการหลบหนีจากแสงแห่งบาป การยึดร่างของคนอื่นนั้นยังไม่เพียงพอ ผู้ถูกยึดร่างจะต้องมีร่างกายที่ยอดเยี่ยมและได้รับพรจากเต๋าแห่งสวรรค์
ในบรรดาเผ่าพันธุ์อสูร ผู้ได้รับความโปรดปรานและพรจากเต๋าแห่งสวรรค์ ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตสายเลือดบริสุทธิ์ซึ่งมีบรรพบุรุษที่กลายเป็นเทพเจ้าที่แท้จริง ด้วยวิธีนี้ เงื่อนไขจึงหนักหนามาก
ยกตัวอย่างเช่น เผ่าวิหคเพลิงนภา เผ่าวิหคเพลิง …ทุกเผ่าเหล่านี้ล้วนมีบรรพบุรุษที่กลายเป็นเทพเจ้าที่ทรงพลังยิ่ง แต่หลังจากผ่านการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ผู้มีสายเลือดบริสุทธิ์ของเผ่าเหล่านี้ก็หาได้ยากเฉกเช่นเขากิเลนและขนวิหคอมตะ
ด้วยเหตุนี้ เพื่อประโยชน์ในการยึดร่างดังกล่าว เจียวเหลียงจึงได้วางแผนมามากมายนับปีไม่ถ้วน แต่เขากลับเพิ่งได้พบกับวิหคเพลิงนภาที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ และเมื่อยึดร่างของชิงอวี่ได้สำเร็จ ตัวเขาก็ย่อมสามารถหลุดพ้นจากแสงแห่งบาปได้ ดังนั้นจะไม่ให้เขาตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร?
“ด้วยความช่วยเหลือของผู้อาวุโสเสวียนเจิง ครั้งนี้ข้าจะทำสำเร็จอย่างแน่นอน!” เขาลอบกำหมัดแน่นขณะที่หายใจเข้าลึก และบังคับตัวเองให้สงบลงอย่างช้า ๆ
ฟุ่บ!
ทว่าในขณะนี้ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเองหนาวเย็นไปทั้งตัว ขนลุกชูชันอย่างควบคุมไม่ได้ สัญชาตญาณที่เขาขัดเกลาผ่านการต่อสู้มาหลายปี ทำให้เจ้าตัวกระแทกทิ้งกายลงพื้นโดยไม่ลังเล และตั้งใจที่จะพุ่งไปข้างหน้า
การเคลื่อนไหวของเขาไม่อาจถือได้ว่าช้า และปฏิกิริยาตอบสนองก็นับว่าเหนือกว่าผู้บ่มเพาะทั่วไปถึงสองสามเท่า เหล่าศัตรูมากมายที่ต้องการฆ่าเขาด้วยการลอบจู่โจมล้วนเสียชีวิตหมดสิ้น ก็สืบเนื่องมาจากปฏิกิริยาตอบสนองที่ตื่นตัวยิ่งยวดนี้นี่เอง
แต่ครั้งนี้เขากลับล้มเหลว เพราะไม่เพียงแต่ไม่อาจพุ่งไปข้างหน้าเท่านั้น เขายังไม่กล้าที่จะขยับร่างกายเลยแม้แต่น้อย เพราะมีมือหนึ่งกดลงบนหน้าผากของเขาแล้ว!
‘มารดามันเถอะ นี่มันความเร็วอะไรกัน! ราวกับเขาปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น!’
มันแทบจะเกินจินตนาการของเจียวเหลียงไปแล้ว เพราะในความคิดของเขา มีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้นที่จะสามารถเคลื่อนย้ายผ่านมิติ จึงจะสามารถสร้างผลลัพธ์เช่นนี้ได้!
“หรือว่าผู้ที่ลงมือกับข้าอยู่ในตอนนี้คือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี?”
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ชายวัยกลางคนก็รู้สึกราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็น ร่างกายของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ราวกับได้ตกลงไปในบ่อน้ำแข็งอันเยือกเย็น
เขามีชื่อเสียงดังกระฉ่อน เคยทำร้ายสิ่งมีชีวิตมานับไม่ถ้วน และเคยเผชิญกับอันตรายน้อยใหญ่มามากมายมหาศาล แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เผชิญกับอันตรายที่ร้ายแรงถึงชีวิตเช่นนี้!
“มันเป็นใครกัน? หรือว่ามันเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีจริง ๆ?”
เจียวเหลียงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และเบื้องหน้านั้นก็ได้มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอยู่ข้างกายเขา
ร่างสูงยืนหลังตรงดุจกระบี่และเผยให้เห็นกลิ่นอายที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้ออกมา
คนผู้นี้ย่อมคือเฉินซีอย่างแน่นอน และการที่สามารถสยบเจียวเหลียงอย่างเงียบ ๆ ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หากไม่ใช่เพราะจิตใจของอีกฝ่ายกำลังหมกมุ่นอยู่กับการครุ่นคิดก่อนหน้านี้ มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเฉินซีที่จะสยบอสูรผู้ยิ่งใหญ่ที่มือโชกไปด้วยเลือดคนนี้
“พี่น้องทั้งหกคนของเจ้าล้วนตกตายด้วยมือข้าแล้ว ดังนั้น เจ้าไม่ควรใช้เล่ห์เหลี่ยมใด ๆ กับข้า เพราะมันจะทำให้เจ้าตายเร็วขึ้นเท่านั้น” เพียงประโยคธรรมดา ๆ แต่กลับไม่ต่างอะไรกับเสียงฟ้าร้องสะท้อนก้องอยู่ในหูของเจียวเหลียง และมันทำให้เขาตกใจจนเกือบจะเสียความสำรวม ในขณะที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาอย่างไม่รู้จบ
“ตาย..?”
“พี่น้องทั้งหกคนของข้าตายหมดแล้วหรือ?”
“มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!?”
เจียวเหลียงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อข่มความหวาดกลัวในใจ จากนั้นดวงตาที่มืดมนของเขาก็จับจ้องไปที่ชายหนุ่มคนนี้ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวอย่างฉับพลัน และเอ่ยปากถามว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่? พี่น้องของข้าทุกคนไปทำให้เจ้าขุ่นเคืองมาตั้งแต่เมื่อใด?”
“เฉินซีจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างเฉยเมย ในขณะนี้ เขาไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวตนของตนเองอีกต่อไป
“เจ้ามาจากนิกายเดียวกับเจ้าเด็กของเผ่าวิหคเพลิงนภา ไม่น่าแปลกใจ ไม่น่าแปลกใจเลย…” เจียวเหลียงขมวดคิ้วและถอนหายใจเบา ๆ แต่หัวใจของเขากลับเจ็บปวดจนแทบหลั่งเลือด
“อีกเพียงก้าวเดียว อีกเพียงก้าวเดียวแท้ ๆ ข้าก็จะสามารถยึดร่างของเจ้าเด็กนั่นและได้รับชีวิตใหม่แล้ว ทว่ากลับมีมารผจญปรากฏขึ้นในตอนนี้ หรือนี่เป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์สำหรับข้า?”
“บอกมาว่าเจ้าขังศิษย์พี่ของข้าไว้ที่ใด?” เฉินซีกวาดสายตามองโดยรอบ เขาเคยใช้จิตสัมผัสเทพเพื่อตรวจสอบเทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้าทั้งหมดก่อนหน้านี้ แต่กลับไม่พบร่องรอยของชิงอวี่กับหลิงไป๋เลย
“ถ้าข้าบอก เจ้าจะปล่อยข้าไปหรือไม่?” เจียวเหลียงยิ้มอย่างน่าสมเพช
“แล้วเจ้าคิดเช่นไรเล่า?” เฉินซีตอบคำถาม
“ข้าคิดว่าเจ้าจะต้องฆ่าข้าอย่างแน่นอน และมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น” เจียวเหลียงในขณะนี้กลับสงบใจได้ เพราะเมื่อกล่าวถึงชะตากรรมของตนเอง เขากลับแสดงท่าทีเฉยเมย ราวกับรู้มานานแล้วว่า ตัวเองจะต้องถูกชะตาลิขิตให้มาพบจุดจบเช่นวันนี้
“ศิษย์พี่ของเจ้าถูกคุมขังอยู่ที่ใต้ดิน และข้าสามารถพาเจ้าไปได้” ในขณะที่กล่าว เจียวเหลียงก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่กังวลเลยว่า มือที่กดอยู่บนศีรษะจะออกแรงเพื่อปลิดชีวิตเขาหรือไม่
และแม้เฉินซีจะไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าเจียวเหลียงจะยอมรับชะตากรรมโดยง่าย ในฐานะผู้นำของอสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ด หากยอมจำนนอย่างง่ายดาย มันคงเป็นที่ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
…
ณ ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในทางเดินที่มืดสลัวและเงียบสงบซึ่งนำไปสู่ใต้ดิน ข้างใน… มีทางเดินที่คดเคี้ยวเลาะเลี้ยวซึ่งนำไปสู่ใต้ดินที่ลึกถึงยี่สิบลี้ และหลังจากที่เดินลงมาอยู่ระยะหนึ่ง ขอบเขตการมองเห็นของเฉินซีก็กว้างขึ้นในทันใด
น่าตกใจยิ่ง! ที่นี่คือถ้ำที่อยู่ลึกลงไปในใต้ดิน ซึ่งทั้งกว้างขวาง เงียบสงบ และครอบครองพื้นที่ถึงสามลี้
ส่วนบริเวณตรงกลางก็เป็นสระเปลวเพลิงที่เต็มไปด้วยหินหลอมเหลวสีแดงเข้ม มันพวยพุ่งและเดือดปุด ๆ เป็นฟอง อีกทั้งยังปล่อยควันสีขาวออกมา ทำให้บริเวณโดยรอบกลายเป็นสีแดงเข้ม
แต่อุณหภูมิโดยรอบกลับเย็นยะเยือกสุดขั้ว และมีไอเย็นที่เสียดแทงลึกเข้าไปในกระดูกดำ
สระเปลวเพลิงนั้นไม่ธรรมดาเลย!
ยิ่งกว่านั้นได้มีชายผิวขาววัยกลางคนในชุดสีม่วง มีหนวดเครายาวสามเส้นอยู่ใต้คาง ดูสง่าและประณีตเป็นอย่างยิ่ง กำลังนั่งสมาธิอยู่ที่ข้างสระเปลวเพลิงนั้น เขาสร้างผนึกที่ซับซ้อนและลึกล้ำอย่างรวดเร็วด้วยมือ เพื่อดึงเปลวเพลิงสีฟ้าออกมาจากสระเปลวเพลิง ซึ่งลุกโชนและส่องวูบวาบอย่างน่าสะพรึงกลัว
ถึงขนาดที่เขาสามารถสังเกตได้ว่า เปลวเพลิงสีฟ้าเหล่านั้นดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณและกำลังดิ้นรนอย่างรุนแรง ราวกับว่าพวกมันต้องการที่จะหลบหนีจากการควบคุมของชายวัยกลางคน แต่ภายใต้การควบคุมโดยเคล็ดวิชาของชายวัยกลางคน การดิ้นรนทั้งหมดนี้กลับไร้ประโยชน์
เฉินซีจดจำได้ทันทีว่า เปลวเพลิงสีฟ้าที่ดูมีจิตวิญญาณเหล่านี้ แท้จริงแล้วคือเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในฟ้าดิน …เปลวเพลิงวารีทมิฬ!
เปลวเพลิงนี้เย็นเหมือนน้ำและเสียดแทงจนถึงกระดูก แต่มันคือเปลวเพลิงประเภทหนึ่ง ซึ่งลึกลับสุดขั้ว ยิ่งกว่านั้น มันยังหายากมากและใกล้จะสูญพันธุ์เต็มที
แต่หลังจากนั้นการจ้องมองของเฉินซีก็เปลี่ยนไป เพราะมีชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ข้าง ๆ ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีม่วง ชายหนุ่มคนนี้มีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาและอ่อนโยน แท้จริงแล้วเขาคือชิงอวี่! ในขณะนี้ อีกฝ่ายดูเหมือนหุ่นเชิดที่ไร้วิญญาณ ซึ่งนั่งอยู่ที่นั่น ในขณะที่จ้องมองอย่างว่างเปล่า และดูเหมือนจะหมดสติอยู่
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ เฉินซีถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และเขาก็ยืนยันทันทีว่าชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงนั้นคืออสูรไก่ฟ้าทมิฬสายเลือดบริสุทธิ์!
“ผู้อาวุโสเสวียนเจิง โปรดช่วยข้าด้วย!” เมื่อมาถึงที่นี่ เจียวหลิงก็ชิงร้องขอความช่วยเหลือออกมาทันที
“หืม?” ชายวัยกลางคนหันกลับมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ดวงแสงอันคมกริบก็ระเบิดออกมาจากดวงตาของเขา พุ่งเข้าหาเฉินซี ก่อนที่เจ้าตัวจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดในทันที!
ชู่ว!
ทันทีที่เขาเสียสมาธิ เปลวเพลิงสีฟ้าก็รีบดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการและกระโจนกลับลงไปในสระเปลวเพลิง ก่อนจะหายไปในพริบตา
“เจ้าขยะบัดซบ! นี่เจ้าบังอาจรบกวนข้าหรือ?! เจ้าสมควรตายเสียจริง ๆ!” เสวียนเจิงก่นด่าสาปแช่งอย่างรุนแรง เพราะเขาได้ใช้พละกำลังไปอย่างมากเพื่อดึงเปลวเพลิงวารีทมิฬออกมา แต่มันกลับล้มเหลว ทำให้เขาในขณะนี้ไม่ต้องการสิ่งใด นอกจากอาละวาดและเข่นฆ่ามันทุกผู้!
“ผู้อาวุโส นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของข้า แต่เป็น… เขาต่างหากที่บังคับข้า” เจียวเหลียงกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือ ซึ่งในขณะที่กล่าว เจ้าตัวก็ได้ใช้การส่งเสียงผ่านกระแสปราณเพื่อเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้แก่เสวียนเจิงฟัง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง…” เสวียนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงน่ากลัว ท่าทางที่สง่าและประณีตของเขาได้หายไปอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่ทั่วทั้งกายของคนผู้นี้จะถูกปกคลุมด้วยจิตสังหาร “ไอ้หนู ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร วางเจียวเหลียงลงซะ จากนั้นคุกเข่าลงและขอขมาข้า แล้วข้าจะให้เจ้าได้ตายอย่างไม่ทรมาน”
“เจ้าไม่กังวลว่าข้าจะฆ่ามันหรือ?” เฉินซีมองไปที่เสวียนเจิงและกล่าวอย่างเฉยเมย
“ศิษย์จากนิกายของเจ้ายังอยู่ในมือข้า เจ้ากล้าหรือ?” เสวียนเจิงหัวเราะอย่างเย็นชา ขณะที่เหลือบมองชิงอวี่ที่อยู่ใกล้ ๆ และคำพูดของเขาก็เต็มไปด้วยน้ำเสียงที่คุกคาม
โพละ!
เฉินซีทุบศีรษะของเจียวเหลียงโดยตรงและทำลายแก่นวิญญาณของเขาโดยสิ้นเชิง ซึ่งการกระทำที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ มันก็เป็นการแสดงถึงปณิธานของเขาอย่างที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย
การกระทำที่เด็ดขาดของชายหนุ่มทำให้เสวียนเจิงตกใจจนม่านตาของเขาหดตัว จากนั้นเจ้าตัวก็ระเบิดความโกรธและชี้ไปที่เฉินซี พร้อมกับคำรามว่า “ช่างเป็นเด็กน้อยที่กล้าหาญนัก ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการให้ศิษย์นิกายเจ้ามีชีวิตอยู่ ข้าก็จะฆ่ามันซะ!”
ขณะที่กล่าว เขาก็เงื้อมือขึ้นและฟาดไปทางชิงอวี่โดยตรง แต่เมื่อฝ่ามือกำลังจะฟาดลงที่ศีรษะของชิงอวี่ เสวียนเจิงก็สังเกตเห็นว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบเลยแม้แต่น้อยและไม่แม้แต่จะกะพริบตา เฉินซีผู้นี้สงบนิ่งจนดูเหมือนเรื่องตรงหน้าไม่เกี่ยวกับตน
“เจ้า… นี่เจ้าไม่สนใจชีวิตของศิษย์จากนิกายเจ้าหรือ? หรือว่าเจ้าจะไม่ใช่ศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง?” เสวียนเจิงขมวดคิ้วและตะโกนเสียงดัง
“เจ้ายังไม่ฆ่าเขาอีกหรือ?” เฉินซีตอบอย่างเฉยเมย
ชายวัยกลางคนตกตะลึง ในขณะที่ความสับสนก็ผุดขึ้นมาภายในหัวใจของเขาระลอกแล้วระลอกเล่า “หรือเจ้าเด็กนี่มันรู้ว่า หากข้าลงมือสังหารวิหคเพลิงนภาตัวนั้น ข้าก็จะไม่สามารถขัดเกลาได้…”
“จู่โจมได้!” ขณะที่เสวียนเจิงกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เฉินซีก็ตะโกนออกมาและขัดจังหวะการครุ่นคิดของอีกฝ่าย ทำให้ชายคนนั้นตกตะลึงอีกครั้ง “จู่โจมหรือ? หรือว่าเจ้าเด็กคนนี้ยังมีผู้ช่วยอยู่อีก?”
ฟิ้ว!
หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจทุกสิ่ง เพราะที่ด้านหลังของเสวียนเจิงในขณะนี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงแหลมคมที่ฉีกความว่างเปล่าออกจากกันดังขึ้นมา!
“ที่แท้ก็มีข้าศึกคอยดักซุ่มอยู่ใกล้เคียงข้า …มาตั้งนานแล้ว!?”
การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดนี้ ทำให้เขาตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง และขนทั่วทั้งร่างกายก็พลันร่วงหลุดอย่างไม่อาจควบคุม