บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 600 ทุบตีอย่างน่าสมเพช
บทที่ 600 ทุบตีอย่างน่าสมเพช
บทที่ 600 ทุบตีอย่างน่าสมเพช
หากมองลงมาจากฟากฟ้า จะสังเกตเห็นว่าปราณวิญญาณและปราณเซียนที่แต่เดิมล่องลอยอยู่อย่างเงียบงันในฟ้าดินโดยรอบของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ดูเหมือนจะถูกเรียกตัวออกมาอยู่ในขณะนี้ และพวกมันก็พุ่งไปบรรจบกันบนท้องฟ้าเหนือยอดเขาจรัสตะวันตก
แรงดึงดูดของมันดูเหมือนกับปรากฏการณ์ที่มวลเมฆถูกดึงมาจากทุกทิศทุกทาง และทำให้ทุกคนในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองตื่นตระหนกทันที
“สวรรค์! ผู้อาวุโสของนิกายคนใดที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวได้”
“นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว! เขาหยิบยืมพลังของฟ้าดินและเปลี่ยนปราณวิญญาณที่อยู่ในสภาพแวดล้อมให้เป็นประโยชน์กับเขา พลังที่ไม่ธรรมดาดังกล่าวนี้ …นี่มันช่างอัศจรรย์อย่างแท้จริง!”
“ตามที่ตำนานเล่าขาน คุนเผิงที่เป็นสัตว์ในยุคบรรพกาลสามารถดูดกลืนมหาสมุทรทั้งหมดได้ด้วยการหายใจเพียงครั้งเดียว และแรงดึงดูดที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ก็ไม่ได้ด้อยกว่าคุนเผิงเลยแม้แต่น้อย”
ร่างจำนวนมากได้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากยอดเขาต่าง ๆ ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และพวกเขาล้วนมองไปที่ยอดเขาจรัสตะวันตกที่อยู่ไกลออกไป พร้อมกับอุทานซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความชื่นชม เพราะปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ช่างน่าตกตะลึงเสียแท้จริง
แต่ในเวลาไม่นาน ธงสีเหลืองก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าและเต็มไปด้วยปราณเซียนที่น่าสะพรึงกลัว ทันทีที่มันปรากฏขึ้น แสงศักดิ์สิทธิ์ก็สว่างวาบขึ้น มันปกคลุมท้องฟ้าในขณะที่เคลื่อนตัวลงมา และได้ปกปิดทุกสิ่งที่อยู่ในระยะหมื่นลี้รอบ ๆ ยอดเขาจรัสตะวันตก
ฉากภายในม่านพลังนี้ไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป
“แท้จริงแล้วมันคือธงฟ้าดินโกลาหล! ซึ่งเป็นหนึ่งในสมบัติอมตะพิทักษ์นิกายของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง!
“ดูเหมือนว่าท่านประมุขได้ลงมือแล้ว เพราะเขาเกรงว่าความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นจะใหญ่เกินไปและอาจสร้างปัญหาได้”
“ช่างน่าเสียดาย เราไม่อาจเห็นอะไรได้อีกแล้ว ข้าสงสัยนักว่าเป็นผู้ใดที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ เพราะแม้แต่ท่านประมุขยังต้องลงมือด้วยตัวเองและถึงขนาดต้องใช้สมบัติอมตะเพื่อป้องกันบริเวณโดยรอบ”
เมื่อห็นสมบัติอมตะธงฟ้าดินโกลาหลที่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและปกปิดสภาพแวดล้อมภายในเอาไว้ ทุกคนในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองล้วนตกตะลึงและถอนหายใจ เพราะต่างก็รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถมองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในได้อีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงทยอยกันจากไป
อย่างไรก็ตาม ในใจของพวกเขาก็ถูกครอบงำด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่อาจสลัดออกไปได้ “ใครกันที่ทำสามารถให้เกิดความโกลาหลเช่นนี้บนยอดเขาจรัสตะวันตกได้?”
…
“ทุกคน เราไปกันเถอะ” หลังจากที่เวินหัวถิงใช้ธงฟ้าดินโกลาหล เขาก็มองไปยังการต่อสู้ที่อยู่ห่างไกลออกไป ก่อนที่จะกล่าวอย่างเฉยเมย
เฉินซีอยู่ในสภาวะของการรู้แจ้งเต๋าขณะอยู่ในการต่อสู้ และชายหนุ่มก็ไม่อาจถูกรบกวนได้ มิฉะนั้นจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่ไม่สามารถชดเชยได้ ดังนั้นเวินหัวถิงจึงใช้สมบัติอมตะเพื่อช่วยชายหนุ่มปกปิดทุกอย่าง
เพราะสำหรับผู้บ่มเพาะทุกคนนั้น สภาวะของการรู้แจ้งเต๋านั้นเป็นโชคที่สวรรค์ประทานมาให้และอาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญเท่านั้น ซึ่งมันก็มีค่ามาก ดังนั้นหากใครถูกรบกวนขณะที่อยู่ภายใต้สภาวะนี้ ความสูญเสียก็จะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครทานทนได้
…
บนท้องฟ้าเหนือยอดเขาจรัสตะวันตก
เมื่อการต่อสู้ยิ่งยืดเยื้อ ความตกใจของไป๋กังก็เพิ่มมากขึ้น และแรงกดดันที่เขารู้สึกก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
สายตาของเขานั้นเฉียบแหลมมาก ดังนั้นจึงสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วว่า อีกฝ่ายได้เข้าใจศาสตร์เต๋าไม่ต่ำกว่าหลายสิบเคล็ด ยิ่งไปกว่านั้น ทุกศาสตร์เต๋าล้วนมีพลังที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่ธรรมดา และพวกมันอาจถือได้ว่าเป็นมรดกศาสตร์เต๋าอันดับต้น ๆ ของแดนภวังค์ทมิฬทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ศาสตร์เต๋าธรรมดาทั่วไปไม่อาจเทียบได้อย่างสิ้นเชิง!
‘ชายคนนี้บ่มเพาะอย่างไรกัน?’
‘เหตุใดเขาถึงเชี่ยวชาญศาสตร์เต๋าที่น่ากลัวมากมายได้กัน?’
‘ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬหรอกหรือ? เป็นไปได้หรือไม่ว่า แม้แต่โลกใบเล็กก็ยังมีมรดกศาสตร์เต๋าเช่นกัน?’
คำถามมากมายผุดเข้ามาในหัวใจของเขาไม่หยุด ทำให้ไป๋กังไม่กล้าเชื่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า และมันถึงขั้นที่เขาคิดว่าตนเองกำลังฝันอยู่!
ถึงอย่างไร เขาเป็นหนึ่งในศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลไป๋ และได้ใช้ทรัพยากรอันล้ำค่าของตระกูลไป๋เป็นจำนวนมหาศาล เพื่อให้ตนเองสามารถบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่กลับเพียงเข้าใจและเชี่ยวชาญในมรดกศาสตร์เต๋าเพียงสามเคล็ดวิชา
ในทางกลับกัน เฉินซีผู้เป็นชายหนุ่มที่มาจากโลกใบเล็ก ชายที่ไม่รู้มาก่อนว่าศาสตร์เต๋าคือสิ่งใดก่อนหน้านี้ กลับเข้าใจศาสตร์เต๋าได้หลายสิบเคล็ดวิชาแล้ว!
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ผู้ใดก็คงรู้สึกยากที่จะเชื่อได้จริงไหม?
จิตใจของไป๋กังปั่นป่วนไปมา และเขาไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เป็นเวลานาน
ยิ่งกว่านั้นเมื่อการต่อสู้ดำเนินไป แรงกดดันที่เขารู้สึกก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เขาใช้พลังของขอบเขตสถิตกายาออกไปโดยไม่รู้ตัว และมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่เขาจะสามารถต่อสู้กับเฉินซีได้อย่างเท่าเทียมกัน
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกละอายใจเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้เขากล่าวอย่างแข็งขันยิ่งว่า ตราบใดที่เฉินซีสามารถต้านทานกระบวนท่าของเขาได้ร้อยครั้ง เขาก็จะถือว่าผ่านการทดสอบ แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่า อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะต้านทานกระบวนท่าเหล่านี้ได้ แต่ยังบังคับให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องใช้พลังของขอบเขตสถิตกายาเพื่อต่อสู้กับเฉินซีได้อย่างเท่าเทียมกัน
แต่สิ่งที่ทำให้ไป๋กังรู้สึกโล่งใจก็คือ เฉินซีอยู่ที่ขอบเขตจุติเท่านั้น แม้ว่าพลังต่อสู้ของอีกฝ่ายจะแข็งแกร่ง แต่เนื่องจากการบ่มเพาะของเขาต่ำและขาดความเชี่ยวชาญในศาสตร์เต๋าที่ศึกษา ดังนั้นหากการต่อสู้ยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ ปราณแท้ของเฉินซีก็คงจะเหือดแห้งไปในเวลาไม่นาน
ดังนั้นไป๋กังจึงมีความมั่นใจที่จะได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้กลับทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวในทันที และแทบจะกัดลิ้นตัวเองตาย เพราะเฉินซีได้ตกอยู่ภายใต้สภาวะของการรู้แจ้งเต๋า! อีกฝ่ายกำลังหยิบยืมพลังฟ้าดินในระหว่างการต่อสู้และเข้าสู่สภาวะของการรู้แจ้งเต๋า!
เมื่อเห็นปราณวิญญาณที่หลอมรวมจากทุกทิศทุกทางและกำลังหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเฉินซีอย่างไม่หยุด ความมั่นใจที่จะได้รับชัยชนะของไป๋กังก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว
‘ชายคนนี้ผิดปกติเกินไปแล้ว!’
‘แม้ว่าข้าต้องการที่จะปราบปรามเขาอย่างรุนแรงด้วยการบ่มเพาะของข้า แต่เขากลับไม่เปิดโอกาสให้ข้า’
ไป๋กังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมขื่นในใจ จากนั้นจิตวิญญาณของเขาก็กลับมาสดชื่นอีกครั้ง เขาเป็นคนที่เย่อหยิ่งและทะนงตัวไปถึงกระดูกของเขาเช่นกัน และเขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในความระส่ำระสาย
เขาเลิกคิดฟุ้งซ่าน และทุ่มพลังทั้งหมดในการต่อสู้
แต่ในเวลาไม่นาน ไป๋กังก็ไม่สามารถสงบจิตใจได้อีกและยังรู้สึกมีโทสะอยู่เล็กน้อย เพราะเมื่อเผชิญหน้ากับเฉินซีซึ่งอยู่ในสภาวะของการรู้แจ้งเต๋า ความกดดันที่เขาเผชิญนั้นก็เริ่มเพิ่มขึ้นทีละน้อยอีกครั้ง!
มันถึงขนาดที่เขาต้องใช้พลังเกินขีดจำกัดถึงสิบสองส่วน เพื่อคงสภาวะที่เท่าเทียมกัน
ตู้ม!
ทันใดนั้น หมัดก็ระเบิดออกมาจากความว่างเปล่าที่อยู่ด้านข้างและระเบิดไปที่แขนขวาของไป๋กังโดยตรง ทันทีที่เจ้าตัวเหม่อลอย อานุภาพของหมัดปะทุขึ้นมาราวกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากและระเบิดใส่เขาจนกระเด็นไปไกลถึงหกลี้
“ไอ้สารเลว!”
ไป๋กังกัดฟันแน่น การโจมตีในครั้งนี้ทำเอาเขาเลือดลมสูบฉีดอย่างต่อเนื่อง และถ้าไม่แก้ไขให้ทันเวลา เขาอาจได้รับบาดเจ็บ
ไป๋กังคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ในขณะที่ร่างของเขาทะยานออกไปด้วยการเคลื่อนไหวที่สง่างาม เขาทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับซัดศาสตร์เต๋าซึ่งเป็นดั่งกระแสน้ำขนาดใหญ่และทรงพลังไหลผ่านท้องฟ้า โจมตีใส่เฉินซีอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด!
ตู้ม!
มิติที่กว้างใหญ่ถูกระเบิดออกจากกัน และเขาก็ได้เดินผ่านมิติที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับราชาผู้ครองโลกอย่างมั่นใจ ในขณะที่มือของเขาก็กำลังควบแน่นการโจมตีที่ไม่อาจเทียบได้ ซึ่งมีอานุภาพรุนแรงอย่างหาที่เปรียบมิได้
นี่คือเคล็ดวิชาปราณม่วงดาราวิญญาณ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาขั้นสุดยอดของตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง และเป็นหนึ่งในเก้าศาสตร์เต๋าที่สืบทอดกันมา มันมีความลึกล้ำที่ไม่อาจหยั่งถึงได้ มีความดุร้ายในการฆ่าฟัน อีกทั้งยังสามารถเขย่าสวรรค์ทั้งเก้าได้
ปราณม่วงที่พลุ่งพล่านเหมือนน้ำตกได้ไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำที่ทะลุผ่านมิติและพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายในทันที
ไป๋กังในขณะนี้กำลังโกรธจัด และเขาได้ใช้กระบวนท่าไม้ตายออกไปโดยไม่ยั้งมือเลยแม้แต่น้อย
ฟุ่บ!
ร่างของเฉินซีหยุดอยู่ที่กลางอากาศ จากนั้นเขาก็ฟาดฝ่ามือออกไป และช่องว่างมิติก็ปรากฏขึ้น ทำให้การโจมตีทั้งหมดของไป๋กังตกลงไปในเหวลึกและถูกลบล้างจนหมดสิ้น!
นี่คือศาสตร์เต๋าเช่นเดียวกัน และมันถูกเรียกว่าเคล็ดวิชาไร้แสงนภา มันสามารถแบ่งหยินหยางและเปลี่ยนพื้นที่ให้กลายเป็นความว่างเปล่า ทำให้การโจมตีทั้งหมดถูกลบล้างจนหมด เมื่อมันได้รับการบ่มเพาะสู่จุดสูงสุด มันยังสามารถเปิดช่องว่างมิติที่พาดผ่านฟ้าดิน จมทุกสิ่งลงไปอยู่ในนั้น ทำให้มันน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
“ไอ้สารเลวนี่! มันอาศัยสภาวะของการรู้แจ้งเต๋าเพื่อหยิบยืมปราณวิญญาณที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทำให้ปราณแท้ของมันไม่มีที่สิ้นสุด และมันยังเข้าใจศาสตร์เต๋าอีกมากมาย แล้วข้าจะต่อกรกับมันได้อย่างไร!?” ไป๋กังโกรธแค้นจนเดือดดาล หลังจากที่เห็นไม้ตายของเขาถูกลบล้างจนหมด ถ้าไม่ใช่เพราะเกรงว่าจะพ่ายแพ้ให้แก่เฉินซี เขาคงไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากจะหันหลังกลับและจากไปในตอนนี้
“นี่มันข่มเหงกันเกินไปแล้ว!”
“มันใช้พลังอันยิ่งใหญ่ของสภาวะแห่งการรู้แจ้งเต๋าเพื่อสยบข้า แต่ข้าไม่สามารถปลุกมันได้ นี่มันเหมือนกับทำให้ข้าเป็นกระสอบทราย!”
ไป๋กังเสียใจจนแทบน้ำตาไหล
เพราะเขาตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า หากเฉินซีไม่ตื่นจากสภาวะของการรู้แจ้งเต๋านี้ เขาก็ทำได้เพียงทนทุกข์ต่อไป เนื่องจากสภาวะการรู้แจ้งเต๋าของไอ้สารเลวนี่เกิดขึ้นในระหว่างที่ต่อสู้กับเขา!
‘เมื่อข้าพ่ายแพ้หรือหันหลังกลับและจากไป ไอ้สารเลวคนนี้จะตื่นจากสภาวะของการรู้แจ้งเต๋าของมันอย่างแน่นอน’
โครม!
เฉินซีจู่โจมอีกครั้ง ทำให้ไป๋กังไม่มีเวลาคิดอีกต่อไป เขาพยุงตัวเองก่อนที่จะเคลื่อนไหวเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของอีกฝ่าย และทั้งสองคนก็ถูกขังอยู่ในการต่อสู้ที่เข้มข้นอีกครั้งในทันที
หลังจากผ่านไปนาน ไป๋กังได้กินโอสถวิญญาณที่พกติดตัวมาจนหมด และไม่สามารถเติมปราณแท้ภายในร่างกายของเขาอีกต่อไป เขาจึงทำได้เพียงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวและไม่พอใจ เพื่อให้เฉินซีหยุดมือในที่สุด
เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว หากการต่อสู้ยังเป็นเช่นนี้อีกต่อไป หลังจากที่ปราณแท้ของเขาเหือดแห้ง เขาจะต้องถูกทุบตีจนได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน และแทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันก็คงจะเป็นการดีกว่าที่จะหยุดการต่อสู้ให้ทันเวลา ด้วยวิธีนี้ เขาจึงยังรักษาหน้าบางส่วนไว้ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาต้องการที่จะหยุดการต่อสู้ แต่เฉินซีกลับไม่ได้สนใจและยังคงโจมตีต่อไปราวกับสายฟ้าฟาด และการโจมตีของเฉินซีก็เหมือนกับพายุที่รุนแรงและไม่มีความตั้งใจที่จะหยุดแม้แต่น้อย
ตู้ม!
ไป๋กังถูกระเบิดจนปลิวว่อนอีกครั้ง ร่างของเขาเซไปเซมา ในขณะที่ผมสีแดงเข้มของเขาก็ยุ่งเหยิง
“สารเลว! เจ้าไม่ได้ยินที่ข้ากล่าวอย่างชัดเจนหรือไร?” ไป๋กังลุกเป็นไฟด้วยความโกรธ และไม่ต้องการสิ่งอื่นใดนอกจากผ่าเฉินซีและกลืนกินเขาเข้าไป
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะทันได้ตอบโต้ การโจมตีของเฉินซีก็ใกล้เข้ามา ฟาดไป๋กังจนปลิวว่อนอีกครั้งและฉีกเสื้อผ้าขาดเป็นชิ้น ๆ
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ไป๋กังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะหยุดเฉินซีเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ แต่อีกฝ่ายกลับเพิกเฉยโดยสิ้นเชิง และการโจมตีของชายหนุ่มก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย อีกทั้งยังทุบเขาไปรอบ ๆ เหมือนลูกหนังที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างเจ็บปวดเหลือเกิน!
ไป๋กังโกรธจนแทบจะระเบิด แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องหมดหนทางก็คือ จนถึงตอนนี้ เขาได้ใช้ปราณแท้ที่มีอยู่ทั้งหมดไปกับการต่อสู้จนหมดแล้ว แต่เฉินซีกลับหยิบยืมปราณวิญญาณเพื่อเติมเต็มพลังและยังคงดุร้ายมาก ทำให้เขากระวนกระวายเหลือเกิน
“มารดามันเถอะ! หากเจ้ายังไม่หยุดมือ ข้าจะทำลายแผ่นหยกนี้ซะ!” ไป๋กังผู้ถูกบังคับให้อยู่ในสภาพที่ไร้ประโยชน์ ในที่สุดก็ใช้ไม้เด็ดของเขา… แผ่นหยกที่เขาได้รับคำสั่งให้มอบให้แก่เฉินซี!
แน่นอนว่า หลังจากที่ได้คำพูดเหล่านี้ เฉินซีก็หยุดมือทันที ในขณะที่จิตต่อสู้ในดวงตาของเขาก็จางหายไปราวกับกระแสน้ำ และฟื้นคืนสติจากสภาวะการรู้แจ้งเต๋าได้อย่างรวดเร็ว
“เราจะหยุดมือกันเพียงนี้หรือ?” เฉินซีส่ายศีรษะก่อนจะมองไปที่ไป๋กังซึ่งอยู่ไกลออกไป จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที เพราะเขาแทบจะจำไป๋กังไม่ได้
เสื้อผ้าของไป๋กังอยู่ในสภาพขาดวิ่น ร่างกายไหม้เกรียม ผมกระเซิง และใบหน้าก็ฟกช้ำดำเขียว… เขาดูน่าสมเพชและน่าอนาถยิ่งกว่าขอทานที่ร้องขอทานเพื่อเลี้ยงชีพในโลกมนุษย์เสียอีก และเขาไม่หลงเหลือความภาคภูมิใจของศิษย์ตระกูลไป๋เลยสักนิด!
“บัดซบ นี่เจ้ายังคิดจะสู้อีกหรือ!?” เมื่อได้ยินสิ่งนี้ มุมปากของไป๋กังก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกอย่างรุนแรง จากนั้นเขาก็โยนแผ่นหยกไปทางเฉินซีด้วยความโกรธ ก่อนที่จะกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าขอตัวก่อน เจ้านี่มัน… ไอ้สารเลวจริง ๆ…”
ขณะที่กล่าว เขาก็หันหลังกลับและจากไป ซึ่งเขาจะไม่หยุด ไม่ว่าเฉินซีจะตะโกนเรียกอย่างไรก็ตาม เพราะมันช่วยไม่ได้ วันนี้ตัวเขาเสียหน้าไปแล้ว จะให้หน้าด้านอยู่ต่อได้อย่างไร?
เขาไม่ต้องการสิ่งอื่นใดนอกจากภาวนาว่าอย่าได้พบเจอกับเฉินซีอีกเลย!
“มันไม่ใช่แค่การทุบตี ทว่าเขากลับไม่สามารถต้านทานแม้แต่การโจมตีเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ได้…” เฉินซีส่ายศีรษะ ขณะที่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่แผ่นหยกบนฝ่ามือ
“ท่านน้าไป๋… นางเหลือสิ่งใดให้กับข้า?”