บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 61 มู่ขุย
บทที่ 61 มู่ขุย
บทที่ 61 มู่ขุย
เทือกเขาทั้งใหญ่โตมโหฬารและสวยงามดุจเกลียวคลื่นที่ทอดยาวติดต่อกัน
ในแนวเทือกเขาที่ทอดยาว ยอดเขามากมายมีความสูงจากระดับพื้นดินเฉลี่ย 66 ลี้ ด้วยลักษณะสูงบ้างต่ำบ้างต่างกันไปของภูเขาแต่ละลูกดูแล้วช่างน่ามหัศจรรย์ ขณะเดียวกันภูเขาที่ว่านี้มีสัตว์อสูรแห่งบรรพกาลมากมายปักหลักอยู่กันอย่างเงียบเชียบ
ขณะนี้อากาศขมุกขมัว ด้วยแสงสุดท้ายแห่งดวงอาทิตย์ที่ลอยคว้างอยู่บนท้องฟ้าสาดแสงแดงฉานทาบทับลงไปบนเมฆและหมอกจนทำให้แลดูมัวหมอง ภูเขาลูกใหญ่ตั้งตระหง่านถูกฉาบด้วยแสงพระอาทิตย์ยามอัสดง เกิดเป็นภาพวาดสุดแสนยิ่งใหญ่อลังการ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ที่นี่ที่ไหน?”
ชายหนุ่มกำลังยืนอยู่บนหน้าผาสูงชันราวหกสิบลี้เห็นจะได้ เขาพึมพำกับตนเอง รูปหน้าซูบตอบทว่าหล่อเหลา ความแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวปรากฏขึ้นบริเวณหว่างคิ้วเข้ม ซึ่งบ่งบอกอุปนิสัยที่แกร่งดังเหล็กกล้าของเจ้าตัวอย่างน่าฉงน เขาคือเฉินซี
กลุ่มเมฆที่ถูกกระแสลมพัดพาเคลื่อนตัวประหนึ่งปุยฝ้ายอยู่เหนือหน้าผา เสียงลมภูเขาพัดดังหวีดหวิวจนราวกับเจ้าตัวกำลังยืนอยู่ท่ามกลางทะเลหมอก เสื้อผ้าปลิวสะบัดตามแรงลมเหมือนจะหลุดออกจากตัวเต็มที
ถึงกระนั้นยามนี้เฉินซีกลับนิ่วหน้าเล็กน้อย แววตามีรอยครุ่นคิดลึกซึ้งอยู่เต็มเปี่ยม “ข้าจำได้ว่าตอนที่ที่พำนักเซียนกระบี่ถล่มลงมา ข้าพยายามหนีอย่างสุดชีวิต และคิดในใจว่าเห็นทีคงต้องตายอยู่ที่นั่น แต่พริบตาเดียวข้ากลับมาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครสักคนซึ่งเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจเลิศล้ำ ฉีกทะลุมิติมาช่วยชีวิตทุกคนเอาไว้” ท่ามกลางก้อนเมฆใหญ่น้อยที่ลอยอยู่เหนือขอบหน้าผา จี้อวี๋ตอบ และเขาเองก็รู้สึกฉงนสนเท่ห์อยู่เช่นเดียวกัน
‘ฉีกทะลุมิติอย่างนั้นหรือ? ผู้มีพลังอำนาจเลิศล้ำอย่างนั้นหรือ?’
เฉินซีรับฟังด้วยความตกตะลึง เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าผู้ที่มีพลังอำนาจเลิศล้ำนั้นเป็นผู้บ่มเพาะระดับใดจึงได้มีความสามารถอันน่าสะพรึงกลัวขนาดฉีกมิติได้ถึงเพียงนี้
ครู่ต่อมาเขาเริ่มสะกิดใจบางอย่าง เมื่อครู่จี้อวี๋บอกว่า ‘พวกเจ้า’ ถ้าอย่างนั้นพวกไฉ่เล่อเทียนและซูเจียวก็ต้องรอดชีวิตออกมาด้วยเหมือนกันล่ะสิ?
“แต่เหตุใดผู้เลิศล้ำคนนั้นจึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือด้วยเล่า?” เฉินซีถามกลับ
ฝ่ายที่ถูกถามส่ายหน้าพลางถอนใจ “เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีเขาอาจจะบังเอิญผ่านเข้ามาเจอพวกเจ้ากำลังเฉียดตายพอดี จึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการสั่งสมคุณงามความดีให้แก่ตัวเองบ้างกระมัง”
‘สั่งสมคุณงามความดี มันจะไม่บังเอิญเกินไปหน่อยหรือ?’
เฉินซีคิดเท่าไรก็คิดเหตุผลดังกล่าวไม่ออก ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดใจไม่คิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป จากนั้นเขาก็รำพึงออกมาแผ่วเบา “ข้ารอดตัวได้เพราะโชคแท้ ๆ และยังมาอยู่ท่ามกลางยอดเขามหึมาสลับซับซ้อน ทั้งยังยาวต่อเนื่องสุดลูกหูลูกตานี่อีก แล้วข้าจะหาทางกลับเมืองหมอกสนได้อย่างไร?”
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด สถานที่แห่งนี้น่าจะอยู่ลึกเข้ามาในเทือกเขาป่าเถื่อนตอนใต้ราวหนึ่งหมื่นลี้ ดูทางโน้น… มีปราณปีศาจหนาแน่นจนพวยพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้าไม่หยุด มันจะต้องเป็นที่สถิตของอสูรระดับสูงเป็นแน่แท้” จี้อวี๋ชี้มือไปยังเขาสูงตระหง่านไกลลิบ
ในใจของคนฟังไหววูบขณะหันไปมองตามทิศทางที่จี้อวี๋ชี้ให้ดู บนยอดเขาในเวลานี้ปรากฏหมอกดำทะมึนม้วนตัวเป็นเกลียวดุจลูกคลื่นที่มองเห็นได้จากในระยะไกล หมอกดำทะมึนนั้นกลั่นตัวลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ามิได้กระจายหายไปราวกับสัญญาณควัน
ถึงแม้สัตว์อสูรขอบเขตก่อกำเนิดจะสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่พวกมันไม่มีทางขจัดปราณปีศาจออกจากร่างกาย และยิ่งมันบ่มเพาะพลังล้ำลึกมากเท่าไร ปราณปีศาจในร่างของมันก็จะยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น
ปราณปีศาจที่กลั่นตัวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าที่เห็นจากภูเขาอันไกลโพ้นเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า อสูรที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้นอาศัยอยู่ตรงนั้น แม้แต่จี้อวี๋เองก็ยังอาจระบุถึงพลังแข็งแกร่งของมันได้อย่างชัดเจนนับประสาอะไรกับเฉินซี
“หืม” ราวกับคนผู้นั้นจะสังเกตเห็นอะไรเข้า หัวคิ้วของจี้อวี๋จึงขมวดเข้าหากันหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง หัวคิ้วของเขาค่อย ๆ คลายลงและสีหน้ากลับมาเรียบเฉยเหมือนเคย แล้วเขาก็พูดว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะวิ่งเข้าหาถิ่นที่พวกสัตว์อสูรใช้เป็นพื้นที่ล่าเข้าให้แล้ว” จากนั้นร่างของผู้พูดก็สั่นเล็กน้อยก่อนหายวับไป
“พวกเจ้า…เป็นมนุษย์…จริง ๆ!”
ก่อนที่เฉินซีจะสามารถประมวลความคิดได้ว่าคำพูดของจี้อวี๋หมายถึงอะไร ทันใดนั้นก็มีเสียงกระโชกโฮกฮากดังมาแต่ไกล มันเป็นเสียงพูดขาด ๆ หาย ๆ ไม่ปะติดปะต่อราวกับว่าเจ้าของเสียงเพิ่งหัดพูดกระนั้น
สถานที่ที่เฉินซียืนอยู่นี้เป็นหน้าผาสูงชันบนยอดเขาที่รายล้อมด้วยหมอกหนาและปุยเมฆ ส่วนด้านหลังจะเป็นพื้นที่เต็มด้วยก้อนหินขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ
ณ เวลานั้นเอง ตรงบริเวณที่เป็นลานหินมีชายหนุ่มสวมชุดดำ ผู้มีใบหน้าถมึงทึงน่ากลัว และร่างสูงใหญ่กำลังยืนอยู่ที่นั่น ดวงตาสีเขียวหยกแวววาวฉายแววดุร้ายและเหี้ยมเกรียมอย่างไม่ปิดบัง
“อสูรขอบเขตก่อกำเนิด?”
ครั้งหนึ่งเฉินซีเคยสังหารสัตว์อสูรขอบเขตก่อกำเนิดในเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้มาแล้ว ดังนั้น เมื่อชำเลืองหางตามองแวบเดียวเขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนสวมชุดดำผู้นี้แท้จริงคือสัตว์อสูร
“อ้อ นึกอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นมนุษย์… ข้าคือมู่ขุย ข้าเฝ้าฝึกบ่มเพาะพลังมานานร่วมพันปี และเพิ่งได้เจอะเจอมนุษย์ครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่เคยได้ยินว่าเนื้อมนุษย์มีรสสัมผัสนุ่มลิ้นเหลือเกิน ข้ายังนึกสงสัยว่ามันจะจริงไหม” คนชุดดำที่เรียกตัวเองว่ามู่ขุยพึมพำแผ่วเบา ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น จากนั้นก็พลันแลบลิ้นสีแดงสดดั่งเลือดนกเลียริมฝีปากแผล็บ จึงเผยให้เห็นซี่ฟันแหลมคมถนัดตา
“อยากกินข้าสินะ สัตว์อสูรก็ยังเป็นสัตว์อสูรวันยังค่ำ ต่อให้กลายร่างเป็นคนแล้วก็ตาม แต่ก็ยากที่จะเปลี่ยนสันดานกระหายเลือดที่ฝังลึกจนเข้ากระดูกดำของตนเอง” เฉินซีส่ายหน้าเล็กน้อย ทันใดนั้นชายหนุ่มก็กดปลายเท้าลงไปที่พื้นดิน พร้อมกับกระตุ้นเคล็ดวิชาแปดก้าวมังกรสวรรค์ทันที จากนั้นร่างกายประหนึ่งเสือชีตาห์ของเขาก็พุ่งทะยานเข้าหามู่ขุยทันที
มู่ขุยไม่คิดว่าเฉินซีจะลงมือก่อน ทว่าเขาเพียงแค่รู้สึกตระหนกเล็กน้อยในครั้งแรก ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายเคลื่อนมาใกล้จึงเท่ากับได้ปิดช่วงระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายแล้ว
เปรี้ยง!
พลังหมัดกระแทกออกไปจนร่างมู่ขุยปลิวกระเด็นไปทันที อย่างไรก็ตามก่อนที่ร่างที่ลอยละลิ่วจะตกลงกระแทกพื้นดิน เฉินซีก็ได้กระทืบฝ่าเท้า ดีดตัวทะยานตามไปติด ๆ จากนั้นเขาก็งอข้อศอกและเหวี่ยงท่อนแขนลงไปเต็มแรง หมัดของเขาไม่ต่างกับสว่านเจาะทะลวงฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
มู่ขุยกระเด็นไปกระแทกพื้นหินแข็งจนเกิดเสียงดังสนั่น ร่างของเขาจมหายเข้าไปในชั้นดินทันที บัดนี้ที่มุมปากของเขาปรากฏคราบโลหิตแดงเข้มไหลเป็นทาง
ฟิ้ววววว!
ขณะนั้นเฉินซีเงื้อกำปั้นขึ้นอีกครั้ง
“หยุด…พอแล้ว! ยอมแล้ว! ขอร้องล่ะ ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย! ยกโทษให้ข้าด้วยขอรับ!” มู่ขุยร้องห้ามด้วยความหวาดกลัว แต่กระนั้นร่องรอยความโกรธเคืองและเหี้ยมเกรียมก็เล็ดลอดออกมาในแววตาของเขา
‘จะเล่นไม่ซื่อกับข้าอย่างนั้นหรือ?’
เฉินซีนึกเย้ยหยันในใจ ชายหนุ่มไม่ได้สนใจท่าทางวิงวอนขอความเมตตาของมู่ขุยแต่อย่างใด จากนั้นเขาก็ตัดสินใจฟาดกำปั้นใส่เจ้านั่นอีกนับสิบครั้ง ทุกหมัดที่เหวี่ยงลงมาเขาทุ่มสุดแรงเกิดจนกายเนื้อของมู่ขุยปริแตก อีกทั้งกระดูกกระเดี้ยวก็หักไปแล้วหลายท่อน
ยามนั้นบริเวณยอดเขาทั่วไปมีแต่เสียงร้องโหยหวนของมู่ขุยดังกึกก้อง เสียงของเขาน่าสมเพชเสียจนใครก็ตามที่ได้ยินต่างก็มีสีหน้าเหยเกด้วยความรู้สึกเวทนาเป็นที่สุด
จากนั้นไม่นาน เฉินซียืนจังก้าสายตาจ้องมองมู่ขุยที่นอนหายใจรวยรินรอความตาย ก่อนจะถามอย่างเยือกเย็น “ตอนนี้เจ้ายังอยากกินข้าอยู่อีกหรือไม่”
อันที่จริง เขาไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ อีกทั้งความรู้สึกที่มีต่อสัตว์อสูรยังไม่ถึงขนาดไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แต่มู่ขุยคนนี้เจ้าเล่ห์เกินไป ตอนแรกที่บอกว่าจะยอมแพ้นั้น เห็นได้ชัดว่ามันแกล้งหลอก ถ้าเฉินซีไม่ซัดมันจนน่วมเพื่อให้เกิดความกลัวจนจับขั้วหัวใจแล้วละก็ ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
แท้ที่จริงโลกของสัตว์อสูรป่าเถื่อนยิ่งกว่าโลกมนุษย์เสียอีก มันเป็นกฎแห่งความอยู่รอด ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงได้รับความเคารพและมักจะต้องออกมาจากภายใน คนที่หมัดหนักที่สุดจึงจะได้เป็นนายและพวกนี้จะไม่ฟังเหตุผลใดทั้งสิ้น
“ข้าไม่กล้า ข้ากลัวแล้ว…ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่หวังว่าผู้อาวุโสจะให้อภัยความผิดของข้าในครั้งนี้!” น้ำเสียงของมู่ขุยแสดงถึงการให้ความเคารพและเกรงกลัวในที ใบหน้าของมันแดงก่ำและบวมปูดจากการถูกเฉินซีสั่งสอน รูปลักษณ์หน้าตาที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวอยู่แล้วบัดนี้กลับมีสภาพน่าเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม
“ได้ อย่างนั้นข้าจะถามอะไรสักอย่าง ถ้าเจ้าตอบได้และทำให้ข้าพอใจ ข้าจึงจะปล่อยเจ้าไป เอาล่ะ ลุกขึ้น” เฉินซีกล่าวกับอีกฝ่ายพลางยืดตัวตรง มือสองข้างไพล่หลัง
ฝ่ายมู่ขุยได้ยินดังนั้นจึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นทันที ขณะเดียวกันก็ต้องข่มความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นบนร่างกายพลางพยักหน้าหงึกหงัก “ได้…ได้…ข้าน้อยรับรองว่าจะตอบตามความจริงโดยไม่ลังเลเลย และผู้อาวุโสต้องพอใจอย่างแน่นอนขอรับ”
“ที่นี่คือที่ใด?”
“แจ้งผู้อาวุโส สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาใหญ่โตมหึมากว่าหนึ่งหมื่นลูกในเขตเทือกเขาป่าเถื่อนตอนใต้ ซึ่งมีชื่อว่าขุนเขาวงจันทราเป็นที่ซุ่มฝึกบ่มเพาะพลังของข้ามาช้านาน” มู่ขุยตอบอย่างตรงไปตรงมา
“อย่างนั้นหรือ แล้วเจ้ารู้ไหมว่าจะออกจากที่นี่ได้อย่างไร” เฉินซียังคงไม่สะทกสะท้าน เขาถามเสียงเรียบทำให้ไม่มีใครอ่านความคิดในใจของเขาตอนนี้ได้
เมื่อเห็นสีหน้าอันเรียบเฉยของผู้ที่อยู่เบื้องหน้า มู่ขุยจึงเข้าใจไปว่า ชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้ต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เผอิญหลงมาที่นี่โดยไม่ตั้งใจ
อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินคำถามของเฉินซีอีกครั้ง มู่ขุยก็อดที่จะชะงักไปชั่วขณะไม่ได้ จากนั้นจึงย้อนถามอย่างตกใจเล็กน้อย “ผู้อาวุโสท่านไม่รู้หรือว่าตนเองมาที่นี่ได้อย่างไร?”
“เออ” น้ำเสียงหงุดหงิดของเฉินซีทำให้มู่ขุยถึงกับสั่นเทาด้วยความกลัว แต่เขาก็ยังตอบด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ “ผู้อาวุโส ข้าน้อยฝึกบ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อย ในช่วงหนึ่งพันปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยออกไปไกลจากเขาวงจันทราเกินหนึ่งพันลี้เลยขอรับ เรื่องนี้ข้าน้อยจึงตอบไม่ได้จริง ๆ”
“เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว” เฉินซีฟังแล้วครุ่นคิดอยู่เป็นครู่หนึ่งก่อนจะโบกมือไล่อีกฝ่าย
มู่ขุยมองอย่างแปลกใจ ‘เขายอมปล่อยข้าไปง่าย ๆ อย่างนี้หรือ?’ เขาแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองจึงนิ่งเงียบไปราวกับนึกอะไรไม่ออกและไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
ตอนนั้นเองก็ได้ปรากฏเสียงแหบห้าวทั้งทรงพลังราวเสียงกลอง ดังระรัวมาจากเชิงเขา “เจ้ามู่ขุย ไอ้ตัวแสบ! วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า! รีบไสหัวมาหาปู่ของเจ้าผู้นี้เสียดี ๆ!”
เสียงนั้นดังสนั่น สะท้อนก้องไปทั้งขุนเขาวงจันทราแห่งนั้น
“ข…ข้าถึงจุดจบแล้ว…หลีหู่มาที่นี่แล้ว” ยามนี้สีหน้าของมู่ขุยบ่งบอกความทุกข์ยากในใจของเจ้าตัวอย่างหาใดเปรียบ ท่าทางของเขาดูหวาดกลัวอย่างมาก
เฉินซีสังเกตเห็นดังนั้นจึงอดถามอย่างสงสัยไม่ได้ “ผู้มาใหม่นี้น่าเกรงขามมากอย่างนั้นหรือ”
มู่ขุยยอมรับเสียงอ่อยหมดสภาพผู้ทรงอำนาจ พลางยิ้มอย่างขมขื่น “พลังของมันก็เท่ากับข้านั่นแหละ แต่สภาพของข้าในเวลานี้จะสู้มันได้อย่างไร โธ่เอ๋ย ถ้าก่อนหน้าไม่ถูกผู้อาวุโส…”
“จะโทษข้า หาว่ามาทำร้ายเจ้าสินะ?” เสียงเฉินซีขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
มู่ขุยตาเหลือกด้วยความหวาดกลัว บัดนี้เขาตระหนักแน่แล้วว่าชายหนุ่มตรงหน้าน่าจะโหดเหี้ยมยิ่งกว่าหลีหู่ จึงรีบลนลานอธิบายเสียงรัวเร็ว “ผู้อาวุโส ใจเย็นก่อน ๆ ข้าน้อยไม่ได้หมายความอย่างนั้น ไม่เด็ดขาด!”
“แล้วเหตุใดคนที่ชื่อหลีหู่จึงอยากฆ่าเจ้า” ความจริงเฉินซีตั้งใจจะขู่ให้มันกลัวเท่านั้น พอเห็นว่าฝ่ายนั้นยอมอ่อนลงมากแล้ว ชายหนุ่มก็อดไม่ไหวและอยากเห็นทีท่าทรมานของอีกฝ่ายต่อไป
“อะไรเสียอีก มันอยากจะมายึดที่พำนักของข้าน่ะซี!”
มู่ขุยพูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ผู้อาวุโส บอกท่านตามตรงก็ได้ใต้เคหาของข้ามีเส้นชีพจรวิญญาณชั้นยอด ข้าไม่รู้ว่าเจ้าหลีหู่ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน ดังนั้นมันจึงอยากมายึดเคหาของข้า และตอนนี้ข้าจึงต้องระเหเร่ร่อนกลายเป็นเจ้าไม่มีศาล”
“มาบอกข้าทำไม ไม่กลัวหรือว่าข้าจะยึดไว้เสียเอง” เฉินซีชำเลืองมองมู่ขุยอย่างมีความหมายลึกล้ำบางประการ
มู่ขุยรู้แล้วเช่นกันว่าอย่างไรเสียคงไม่สามารถใช้สติปัญญาอันชาญฉลาดที่มีอยู่น้อยนิดปกปิดความจริงจากเฉินซีได้ จึงจำต้องตอบอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าผู้อาวุโสสามารถสังหารหลีหู่ได้ ข้ายินดีจะมอบเคหาของข้าให้แก่ผู้อาวุโสอย่างไม่ลังเลเลยขอรับ”
“เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไปอยู่หนใด?” เฉินซีใช้วิธีบีบคั้นทีละขั้น ๆ เพื่อให้มู่ขุยพูดออกมาให้หมด
พลันคนถูกถามทรุดลงคุกเข่าอย่างแรงและค้อมศีรษะลงจรดพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกันนั้นเขาก็กล่าวออกมาด้วยเสียงอันดัง “ข้าจะขอติดตามผู้อาวุโส ยืนหยัดออกหน้าปกป้องผู้อาวุโส และจะเป็นสัตว์อสูรวิญญาณคอยทำตามคำสั่งของผู้อาวุโสทุกอย่างและรับใช้ท่านไปตลอดชีวิตขอรับ!”
เฉินซีมองพลางเบิกตากว้าง ชายหนุ่มคิดไม่ถึงว่ามู่ขุยจะมาไม้นี้
สัตว์อสูรที่รับรู้คนเป็นนายไม่ต่างอะไรกับการให้สัตย์สาบานภายใต้เต๋าแห่งสวรรค์ด้วยหัวใจ สัตว์อสูรต้องติดตามผู้เป็นนายของมันไปตลอดชีวิต ชีวิตหรือความตายของพวกมันจะอยู่ในกำมือนายของมัน เว้นแต่ภายใต้สถานการณ์พิเศษไม่มีสัตว์อสูรตัวใดที่ปรารถนาจะให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
“มู่ขุย ไอ้ตัวแสบ! เจ้าหลบข้าไม่ได้หรอกโว้ย! ออกมารอรับความตายได้แล้ว!”
เสียงอันทรงพลังดังสนั่นกึกก้องขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นบนเขาลูกหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากขุนเขาวงจันทรา ได้ปรากฏร่างสีแดงดั่งเปลวเพลิงกำลังพุ่งทะยานขึ้นไปที่จุดสูงสุดของเขานั้นอย่างรวดเร็ว