บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 613 ศิษย์ชั้นยอด
บทที่ 613 ศิษย์ชั้นยอด
บทที่ 613 ศิษย์ชั้นยอด
ศิษย์ทั้งหมดของยอดเขาจรัสตะวันออกที่เข้าร่วมในการทดสอบ รวมถึงเหลิ่งชิว ผางโจวและตู้เซวียน ล้วนพ่ายแพ้และถูกกำจัด! ซึ่งคนที่ทำเรื่องทั้งหมดนี้คือเฉินซีเท่านั้น
ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ในยอดเขาสัประยุทธ์ทั้งหมดต่างตกตะลึง ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกหรือศิษย์ชั้นสูงคนอื่น ๆ ต่างสนทนากันอย่างมีชีวิตชีวา บรรยากาศพลันตกอยู่ในความวุ่นวาย ราวกับพวกเขาได้เห็นการกำเนิดของปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน และมันก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงสุดขีด
เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมนิกายได้ไม่ถึงสามเดือน จะสามารถทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ!
ณ แท่นซึ่งอยู่บนยอดเขาสัประยุทธ์
ศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกที่เข้าร่วมในการทดสอบได้ถอนตัวออกไปแล้ว จึงเหลือเพียงศิษย์ของยอดเขาจรัสใต้และยอดเขาจรัสเหนือเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ที่นั่น ทว่ากลับไม่มีใครกล่าวอะไร พวกเขาต่างมองไปที่เฉินซีซึ่งอยู่บนสนามประลองหนึ่งและอีกสองสนามที่ว่างเปล่า
บรรยากาศดูผิดแปลกไปเล็กน้อย
สนามประลองว่างเปล่าเหล่านั้นเดิมเป็นของเหลิ่งชิวกับผางโจว แต่ตอนนี้ทั้งคู่ถูกกำจัดไปแล้ว ดังนั้นพวกมันจึงไม่มีเจ้าของในตอนนี้
ในทางกลับกัน จากลักษณะภายนอกของเฉินซี ดูเหมือนว่าเขาใกล้จะหมดแรงแล้ว หลังจากที่ชายหนุ่มเผชิญกับการต่อสู้สะท้านฟ้าสะเทือนดิน และดูเหมือนว่า… ตราบเท่าที่มีอีกคนหนึ่งท้าทายชายหนุ่ม คนคนนั้นก็จะสามารถเอาชนะเขาได้!
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสดำเนินมาถึงจุดนี้ พร้อมกับการที่เหลิ่งชิวและผางโจวถูกกำจัด อีกทั้งเฉินซียังใช้พลังต่อสู้ไปอย่างมากมายมหาศาล ดูเหมือนว่าโอกาสสำหรับศิษย์คนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงหน้าแท่นจะเพิ่มขึ้น!
ตราบเท่าที่คว้าโอกาสนี้ไว้ในกำมือ พวกเขาย่อมได้รับตำแหน่งและกลายเป็นศิษย์ชั้นยอดอย่างแน่นอน!
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน เพราะในการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสครั้งก่อน ตำแหน่งของศิษย์ชั้นยอดทั้งห้าได้ถูกเตรียมไว้สำหรับยอดศิษย์ชั้นสูงทั้งห้า และเป็นเรื่องยากสำหรับคนอื่นที่จะได้รับตำแหน่งมา
ทว่าตอนนี้มันแตกต่างออกไป สนามประลองทั้งสองกลับว่างเปล่า ในขณะที่สนามประลองอีกแห่งมีร่างที่ดุร้าย แต่ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะไม่สามารถทนต่อการต่อสู้ได้อีกต่อไปเพราะความเหนื่อยล้าที่มากเกินไป …ด้วยเหตุนี้ จึงดูเหมือนว่ามีอีกสามตำแหน่งที่สามารถต่อสู้เพื่อแย่งชิงได้!
สิ่งนี้ทำให้เหล่าศิษย์ที่ไม่ได้ขึ้นไปท้าสู้บนสนามประลอง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระสับกระส่ายในใจ แม้แต่จังหวะหายใจของพวกเขาก็เร็วขึ้นมาก
“สนามประลองนี้เป็นของข้า!” ท่ามกลางบรรยากาศที่แปลกประหลาดและบีบคั้นนี้ จู่ ๆ ร่างสีแดงเพลิงอันงดงามก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับลำแสงเปลวเพลิง ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นบนสนามประลองที่หนึ่งในพริบตา
สตรีผู้นี้อยู่ในอาภรณ์สีแดงเพลิง ผมเงาสลวยสวยงามถูกปล่อยทิ้งลงมาบนบ่า โฉมสะคราญยังดูอ่อนเยาว์ บริสุทธิ์และงดงาม ผิวของนางเป็นผลึกสีขาวและอ่อนนุ่ม รูปร่างของนางก็สูงและสง่างาม ทำให้นางงดงามและมีเสน่ห์ นางคือ อันเคอ ศิษย์หญิงของยอดเขาจรัสเหนือ
สนามประลองที่นางยืนอยู่นั้นบังเอิญอยู่ใกล้ ๆ กับสนามประลองของอันเวยผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของนาง พวกนางต่างยืนอยู่บนสนามประลองของตนเอง ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามอย่างหาที่เปรียบมิได้และบุคลิกที่แตกต่างกันก็มีข้อดีของตัวเอง จึงทำให้เกิดทิวทัศน์ที่งดงาม
แต่เหล่าศิษย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าแท่น หาได้มีอารมณ์ที่จะชื่นชมมัน และอารมณ์ของพวกเขากลับขุ่นมัวแทน
ความแข็งแกร่งของอันเคอถือได้ว่าเยี่ยมยอดเช่นกัน ถึงแม้จะเทียบกับศิษย์พี่ใหญ่ของนางไม่ได้ แต่ในหมู่ศิษย์ชั้นสูงของทั้งสี่ยอดเขา นางก็อยู่ในอันดับต้น ๆ เมื่อรวมกับศิษย์พี่ใหญ่ของนางซึ่งเป็นอันดับหนึ่งที่มีฝีมือเหนือศิษย์ชั้นสูงทุกคน เมื่อพวกเขาเห็นนางปรากฏตัวบนสนามประลองตอนนี้ จะมีใครคิดที่จะท้าประลองกับนางกันเล่า?
เพราะมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาทำให้อันเวยขุ่นเคืองจากเหตุนี้?
แม้ว่าพวกเขาเสี่ยงที่จะล่วงเกินอันเวยและท้าประลองกับอันเคอ แต่ก็มีไม่กี่คนที่กล้ากล่าวว่าพวกเขาสามารถเอาชนะอันเคอได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นทุกคนจึงตระหนักได้ในทันทีว่า สนามประลองนี้เป็นของอันเคออย่างไม่ต้องสงสัย และแม้ว่าพวกเขาจะท้าประลองนาง ก็คงไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้
ฟิ้ว!
ในขณะที่ทุกคนตกตะลึงกับรูปลักษณ์ของอันเคอ ร่างอีกร่างหนึ่งก็พุ่งออกไปที่สนามประลองที่ว่างเปล่าอีกแห่ง
คนผู้นี้คือศิษย์ของยอดเขาจรัสใต้ที่มีนามว่า เชอสวิน มาจากเผ่าพยัคฆ์ขาเดียว เขาเป็นผู้ขัดเกลากายาซึ่งบรรลุขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ และความแข็งแกร่งของเขาก็ค่อนข้างน่าเกรงขาม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นเชอสวินปรากฏตัว ทุกคนต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้ว่าความแข็งแกร่งของคนผู้นี้จะไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่เหมือนกับอันเคอที่ยังมีอันเวยให้พึ่งพา นอกจากนี้ ทุกคนล้วนรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชายหนุ่มคนนี้ ดังนั้นจึงมีคนมากมายที่เตรียมจะท้าประลองกับเชอสวิน
ในทางกลับกัน มีบางคนจ้องมองไปที่เฉินซีด้วยท่าทางลังเลและไม่แน่ใจ แม้ว่าพวกเขาจะต้องการเอาชนะเฉินซีและยึดสนามประลอง แต่ก็ยังกังวลว่าจะถูกอีกฝ่ายโต้กลับและถูกกำจัดแทน
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านี้ เฉินซีกลับยืนอย่างสงบอยู่เงียบ ๆ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยมั่นใจและไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าทุกคนไม่คู่ควรกับศิษย์น้องเฉินซี อย่าลืมว่าเขาก็เป็นผู้ขัดเกลากายาเช่นเดียวกับเรา”
ในขณะนี้ บนสนามประลองอีกแห่งหนึ่ง เซี่ยอี้ที่มักจะเงียบขรึมก็กวาดสายตามองไปยังศิษย์ของยอดเขาจรัสใต้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าแท่นก่อนจะกล่าว
ศิษย์ของยอดเขาจรัสใต้เหล่านั้นมีจำนวนมากกว่ายี่สิบคน และพวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ขัดเกลากายา เมื่อได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็ต่างตกตะลึงอยู่ในใจ และทันใดนั้น คนทั้งหมดก็นึกขึ้นได้ว่าตามข่าวลือ เฉินซีได้ใช้เคล็ดวิชาขัดเกลากายาเพื่อเอาชนะตู้เซวียนเมื่อสามเดือนก่อน…
หากข่าวลือนี้เป็นจริง แม้ว่าปราณแท้ของชายหนุ่มจะเหือดแห้งและไม่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะเวลาสั้น ๆ แต่เฉินซีก็ยังสามารถใช้ปราณจ้าววิญญาณในการต่อสู้ได้!
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ศิษย์ของยอดเขาจรัสใต้บางคนก็ละทิ้งความคิดที่จะท้าประลองชายหนุ่มในทันที และก็จ้องมองไปที่สนามประลองของเชอสวินแทน
แต่ก็ยังมีศิษย์กลุ่มเล็กของยอดเขาจรัสใต้ที่ไม่เชื่อ และพวกเขายังคงเพิกเฉยต่อคำพูดของเซี่ยอี้ ยังคงคิดยืนกรานที่จะเอาชนะเฉินซีและยึดสนามประลองมา ด้วยทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรที่พวกเขาเชี่ยวชาญที่สุด
“หากพวกเจ้าทุกคนต้องการท้าประลองกับศิษย์น้องเฉินซี ก็จะเป็นการดีที่สุดหากพวกเจ้าเตรียมใจที่จะล้มเหลว” ในขณะเดียวกัน อันเวยก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา ซึ่งทั้งอ่อนโยน เย็นชา ไพเราะ และน่าฟัง
เป้าหมายของคำพูดของนางคือเหล่าศิษย์หญิงของยอดเขาจรัสเหนือ ด้วยนางรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของเฉินซีเป็นอย่างดี และนางก็รู้ว่าหากอีกฝ่ายใช้เนตรเทวะแห่งความจริง ศิษย์น้องของนางเหล่านั้นจะไม่อาจต้านทานได้อย่างแน่นอน
ศิษย์หญิงเหล่านั้นต่างตกตะลึง ก่อนจะเหลือบมองหน้ากันและกัน ในที่สุดพวกนางก็เลือกที่จะฟังคำพูดของอันเวยผู้เป็นศิษย์พี่ และละทิ้งความคิดที่จะท้าทายเฉินซีไป
กล่าวโดยเปรียบเทียบ ผลลัพธ์ของยอดเขาจรัสเหนือของพวกนางนั้นเกินความคาดหมายไปมากแล้ว อันเวยกับอันเคอต่างก็มาจากยอดเขาจรัสเหนือ และถ้าทั้งคู่สามารถเป็นศิษย์ชั้นยอดได้ พวกนางย่อมรู้สึกเป็นเกียรติจากความสำเร็จของคนทั้งสอง
ฟุ่บ!
ศิษย์คนหนึ่งของยอดเขาจรัสใต้ไม่สามารถยับยั้งความปรารถนาในใจได้ในที่สุด ในช่วงเวลาต่อมา เขาได้ขึ้นไปบนสนามประลองของเฉินซี จากนั้นจึงประสานมือและกล่าวว่า “ข้าคือ เซี่ยเฟิ่งจากยอดเขาจรัสใต้ ศิษย์น้องเฉินซีโปรดชี้แนะข้าด้วย”
เซี่ยเฟิ่งมีรูปร่างที่กำยำและมีใบหน้าคมคาย การขัดเกลากายาของเขานั้นอยู่ที่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ ในเวลานี้ เขายืนตัวตรงอยู่บนสนามประลองด้วยท่าทางสำรวม ให้ความรู้สึกค่อนข้างไม่ธรรมดา
“เชิญ ศิษย์พี่เซี่ยเฟิ่ง” เฉินซีพยักหน้า ในช่วงเวลาต่อมา เลือดในร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะเทือน ในขณะที่ปราณจ้าววิญญาณก็พลุ่งพล่านขึ้นมาฉับพลัน ซึ่งเขาก็ปล่อยกลิ่นอายที่อ้างว้าง ลึกลับ ทรงพลัง และยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่งออกมา!
ตู้ม!
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของเซี่ยเฟิ่งพลันหรี่ลง แต่เขากลับไม่กลัวและก้าวไปข้างหน้า ก่อนที่จะชกหมัดออกไปเหมือนกับหางของมังกร มันคือหมัดซึ่งแฝงจิตวิญญาณที่จะทำลายภูเขาและแยกทะเลออกจากกัน มันทลายอากาศและทุบเข้าใส่อีกฝ่ายโดยตรง
หมัดนี้ทรงพลังและตรงไปตรงมา เรียบง่ายแต่ก็หนักหน่วง หมัดของเขาพุ่งออกมาราวกับมังกรสะบัดหาง และมันได้ปิดล้อมพื้นที่โดยรอบพร้อมกับเปล่งเสียงคำรามของมังกรขนาดมหึมาที่สั่นคลอนหัวใจของทุกคนออกมา
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ ร่างของเฉินซีก็ทะยานออกไป ในขณะที่กำมือแน่น ทันใดนั้นพายุสายฟ้าก็พวยพุ่งออกมา จากนั้นชายหนุ่มก็ฟาดฝ่ามือดุจสายฟ้าลงไปและปะทะกับเซี่ยเฟิ่งโดยตรง
ตู้ม!
เกิดเสียงอู้อี้ดังก้องออกมาก่อนที่คลื่นลมจะโหมกระหน่ำออกไป มันเหมือนกับคลื่นยักษ์และแผ่นดินไหวได้ปะทุขึ้น ร่างของเซี่ยเฟิ่งเซถอยหลังไปมากกว่าสิบก้าวอย่างควบคุมไม่ได้ ตัวคนถูกกระแทกจนสั่นทะท้าน แขนขวาชา ในขณะที่หน้าอกก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
เฉินซีกลับยืนอยู่บนจุดนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อนและมีสีหน้าที่นิ่งสงบ แต่กลิ่นอายของเขาดูจะมีพลังมากยิ่งขึ้น เขาเป็นดั่งภูเขาสูงตระหง่านที่ไม่อาจสั่นคลอน และชายหนุ่มก็แผ่ความรู้สึกกดดันอย่างรุนแรงออกมา
ด้วยการฟาดฝ่ามือเพียงครั้งเดียว ความแตกต่างระหว่างทั้งสองก็ปรากฏให้เห็นทันที!
ไม่มีคนโง่เขลาสักคนเดียวในบรรดาศิษย์ที่สามารถเข้าร่วมการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสได้ ในทางกลับกัน พวกเขาทุกคนล้วนแข็งแกร่งและมีสายตาที่เฉียบแหลมมากกว่าคนอื่น ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า เซี่ยเฟิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินซีอย่างแน่นอน
ส่วนสิ่งที่ทำให้เหล่าศิษย์ของยอดเขาจรัสใต้ต้องตกตะลึงเป็นพิเศษก็คือ ทักษะขัดเกลากายาของเฉินซีนั้นบริสุทธิ์และเข้มข้นยิ่ง มันกระทั่งทรงพลังยิ่งกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ฝึกฝนทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรเสียอีก!
“นี่มัน… สัตว์ประหลาด!”
การบ่มเพาะปราณแท้ของเขานั้นน่าสะพรึงกลัวมาก และแม้แต่การขัดเกลากายาของเขาก็ยังเทียบได้กับมัน สิ่งนี้จะไม่ให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงได้อย่างไร?
พวกเขาทั้งหมดต่างรู้ดีว่า มีคนจำนวนมากที่บ่มเพาะทั้งปราณแท้และขัดเกลาร่างกายในเวลาเดียวกัน แต่มีเพียงไม่กี่คนหรือหนึ่งในล้านเท่านั้นที่สามารถบ่มเพาะทั้งสองสิ่งจนถึงจุดที่ไม่ธรรมดาอย่างเฉินซีได้!
“ศิษย์น้องเฉินซี ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า” สีหน้าของเซี่ยเฟิ่งเปลี่ยนไป เขายิ้มอย่างขมขื่นออกมาและประสานกำปั้นเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้ การปะทะกันก่อนหน้านี้ทำให้เขาตระหนักถึงความห่างชั้นระหว่างฝีมือของตนเองกับเฉินซีได้อย่างชัดเจน ดังนั้นการฝืนต่อสู้ต่อไปก็ย่อมไร้ประโยชน์
“นับเป็นการต่อสู้ที่ดี” เฉินซีผสานกำปั้นของเขาจากระยะไกล
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ศิษย์เหล่านั้นที่ตั้งใจจะท้าทายชายหนุ่ม ต่างก็ละทิ้งความคิดเหล่านี้ทันที และพวกเขาก็เปลี่ยนเป้าหมายไปที่เชอสวินแทน
…
เมื่อเทียบกับการต่อสู้ครั้งก่อน การต่อสู้สองสามครั้งถัดไปดูน่าเบื่อและไม่น่าสนใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เฉินซี อันเวย อันเคอและเซี่ยอี้ต่างยืนอยู่บนสนามประลองโดยไม่มีใครท้าทายพวกเขา ทำให้ดูแล้วเงียบเหงาเป็นอย่างมาก
ในทางกลับกัน สนามประลองของเชอสวินกลับไม่เคยขาดแคลนผู้ท้าชิง ทำให้ตำแหน่งของผู้ยึดสนามประลองถูกผลัดเปลี่ยนอยู่บ่อยครั้ง ในที่สุด มันก็ถูกครอบครองโดยศิษย์ของยอดเขาจรัสใต้ที่มีนามว่าอวี๋เจ๋อ และเขาเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย
จนถึงจุดนี้ การทดสอบแห่งยอดเขาจรัสก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว
ผลลัพธ์คือเฉินซี อันเวย อันเคอ เซี่ยอี้ และอวี๋เจ๋อได้รับตำแหน่งศิษย์ชั้นยอดอย่างไม่ต้องสงสัย
อันที่จริง ความแข็งแกร่งของอันเคอและอวี๋เจ๋อด้อยกว่าเหลิ่งชิว ผางโจวและตู้เซวียนเสียด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่เหลิ่งชิวและคนอื่น ๆ พ่ายแพ้ในการท้าประลองกับเฉินซี และทำให้พวกเขาสูญเสียโอกาสที่จะเป็นศิษย์ชั้นยอดในท้ายที่สุด
บางที นี่อาจเป็นวัฏจักรของกรรม ซึ่งนี่ก็คือกรรมสนอง เป็นเพราะพวกเขาต้องการทำร้ายเฉินซี จึงนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายในที่สุด
“อันเวย อันเคอ เซี่ยอี้ อวี๋เจ๋อ และเฉินซี เจ้าทั้งห้าคนมากับข้า ผู้อาวุโสบางคนของยอดเขาจรัสเทวะ ต้องการพบพวกเจ้าทุกคนที่เพิ่งได้เป็นศิษย์ชั้นยอด จากนั้นพวกเขาจะจัดสถานที่บ่มเพาะให้แก่พวกเจ้า” หลังจากการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสสิ้นสุดลง ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงได้เรียกเฉินซีและคนอื่น ๆ มาเข้าพบ จากนั้นจึงแนะนำก่อนจะพาพวกเขาไปที่ยอดเขาจรัสเทวะ
“บัดซบ! อย่างน้อยข้าก็ได้อะไรกลับคืนมาบ้างในครั้งนี้ และก็ได้รู้ว่าเจ้าเด็กเฉินซีคนนี้ได้ครอบครองมหาเต๋าแห่งปารมิตาและมหาเต๋าแห่งการลืมเลือนที่มาจากยมโลก…” เมื่อเฝ้าดูพวกเขาจากไป สีหน้าของผู้อาวุโสเยว่ฉือก็ดูมืดมนยิ่ง และดวงตาของเขาก็ทอประกายด้วยแสงอันเยียบเย็น ราวกับเจ้าตัวนึกอะไรบางอย่างออก ขณะที่มุมปากของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มคลุมเครือและลึกลับ
“ไอ้หนู นี่มันแค่จุดเริ่มต้น แต่มันยังไม่จบ ถ้าข้าเปิดเผยข่าวนี้กับนิกายอสูรพร้อมกับปิงซื่อเทียนแห่งนิกายวิถีกระแสสวรรค์แล้วละก็… ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”