บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 616 ไม่คำนึงผลที่ตามมา
บทที่ 616 ไม่คำนึงผลที่ตามมา
บทที่ 616 ไม่คำนึงผลที่ตามมา
ยอดเขาจรัสเทวะ นอกตำหนักเมฆคราม
ขณะที่มองไปยังบรรดาศิษย์ที่ชี้มาทางเขาพร้อมสายตาเย้ยหยัน เฉินซีรู้สึกราวกับเข้าไปในป่าดงดิบที่มีสัตว์ร้ายเดินเตร่อยู่ทั่ว
กฎเกณฑ์และข้อจำกัดทั้งหมดถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของพละกำลัง ผู้ที่มีการบ่มเพาะต่ำทำได้แต่ทนรับคำดูถูกดูแคลน ในขณะที่ผู้ที่มีการบ่มเพาะสูงจะได้ทรัพยากรมากกว่า อยู่ในตำแหน่งสูง และมีสถานะที่ดีกว่า
กล่าวคือ คนที่หมัดหนักกว่าย่อมมีพื้นที่และสิทธิ์ในการพูดมากกว่า!
“ไปกันเถิด จะไม่มีใครกล้าหาเรื่องเจ้าระหว่างที่เจ้ามากับข้า” ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงที่เห็นเหตุการณ์นี้ไม่ได้สนใจอะไรนัก เพียงแต่สั่งด้วยเสียงที่แผ่วเบาเท่านั้น
“อย่างนั้นพวกเขาจะมาหาเรื่องข้าทันทีที่ท่านจากไป?” เฉินซีพลันถาม
“นี่…” เลี่ยเผิงตกตะลึง แต่ก็เห็นด้วยโดยปริยาย
“ท่านผู้อาวุโส ท่านกลับไปได้เลย ที่เหลือให้ข้าจัดการเอง ตอนนี้ข้าเป็นศิษย์ชั้นยอดแล้ว การเผชิญหน้ากับอุปสรรคมากมายจึงย่อมไม่ใช่สิ่งไกลตัว” เฉินซียิ้มบาง เขาผสานกำปั้นพลางกล่าว
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเจ้าไม่สามารถตั้งหลักที่นี่ได้ เจ้าจะถูกบีบให้ออกจากยอดเขาจรัสเทวะ? และถ้าเจ้าสะดุดไปแม้แต่นิดเดียว มันจะถึงขนาดที่เจ้าจะได้เพียงตำแหน่งผู้อาวุโสสายนอกหรือสายในเท่านั้น และตลอดชีวิตของเจ้าก็จะดำเนินไปเช่นนี้?” เลี่ยเผิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วพลางตักเตือนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปฏิเสธเจตนาดีของเขา
“ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวลไป ถ้ามีใครทำให้ข้าเฉินซีคอตกกลับบ้านไป คนผู้นั้นจะต้องมีความสามารถจริง ๆ” เฉินซียิ้ม
“ย่อมได้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่บังคับเจ้า” เลี่ยเผิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากหัวเราะออกมา “ข้าลืมได้อย่างไรกัน? เจ้าไม่ใช่ศิษย์ชั้นยอดทั่วไปที่เพิ่งก้าวมาถึงนี่”
ทันทีที่เขาพูดจบ เลี่ยเผิงก็เหลือบมองไปยังเฉินซีอย่างลึกซึ้งก่อนจะหันหลังจากไป
…
“เฮ้ ศิษย์ใหม่คนนี้ปฏิเสธเจตนาดีของผู้อาวุโสเลี่ยเผิงจริง ๆ หรือนี่ เขาจะหยิ่งยโสอะไรเพียงนี้?”
“เหอะ! เขาคงคิดว่าเขาเป็นคนพิเศษมากเพราะสามารถเป็นศิษย์ชั้นยอดได้ ช่างน่าหัวเราะเสียจริง! รู้หรือไม่ว่าที่นี่ที่ไหน? รากฐานของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง พื้นที่ฟ้าประทานซึ่งมีเพียงผู้อาวุโสและศิษย์ชั้นยอดของนิกายเท่านั้นที่สามารถอาศัยอยู่ได้!”
“เจ้าเด็กนี่คงไม่ได้มาจากยอดเขาจรัสเหนือ ใต้ หรือตะวันออก มิฉะนั้นจะต้องมีคนทักทายเขา เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขามาจากยอดเขาจรัสตะวันตก?”
“ยอดเขาจรัสตะวันตก? ฮ่า ๆ เป็นสถานที่ที่วิเศษยิ่งสำหรับพวกเศษสวะ พวกเราต้องทำให้เขารู้แล้วว่าใครแน่กว่ากัน มิฉะนั้น ผู้คนอาจคิดว่ายอดเขาจรัสเทวะของเรารับพวกสวะแบบไหนเข้ามาก็ได้”
“ถูกต้อง เพราะเขาเป็นศิษย์ใหม่ จึงต้องได้รับการสั่งสอนให้หลาบจำ ให้รู้จักเชื่อฟังบ้าง เราต้องเล่นงานเขาในน่วมเพื่อที่เขาจะได้ทำทุกอย่างตามที่พวกเราสั่งให้เหมือนกับที่เราทำกับศิษย์ยอดเขาจรัสตะวันตกคนก่อน ๆ แน่นอน มันย่อมไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการใช้เขาเยี่ยงทาสแล้ว!”
“ฮิฮิ ถ้าอย่างนั้นให้ข้าลองสัมผัสดูเสียหน่อยว่าศิษย์ใหม่จากยอดเขากองขยะนั้นแข็งแกร่งแค่ไหนกัน!”
ในตอนที่เฉินซีกำลังจะก้าวสู่ตำหนักเมฆคราม ชายหนุ่มร่างกำยำในชุดม่วง คางกว้าง ดวงตาเสือดาวพลันปรากฏกายปิดกั้นเส้นทางของเฉินซีจนไม่เหลือที่ให้หนี
ส่วนที่เดือดดาลที่สุดคือหลังจากที่ชายหนุ่มคนนั้นขวางเส้นทางของเฉินซี เขายืนตระหง่าน ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย คล้ายต้องการที่จะชนอีกฝ่าย เต็มไปด้วยท่าทางดุร้าย ตั้งใจที่จะกระแทกเขาให้กระเด็นออกไปอย่างแรง
ปั้ง!
ก่อนที่พวกเขาจะปะทะกัน จู่ ๆ กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวก็ปะทุออกมาจากร่างของชายหนุ่ม มันเป็นดั่งหุบเขา สูงตระหง่านและหนักอึ้ง ทำให้แผ่นดินโดยรอบสั่นสะเทือนจนแทบจะจมลงและเกือบแตกเป็นเสี่ยง ๆ
นี่คือศาสตร์เต๋าอันน่าเกรงขามที่ใช้ประโยชน์จากแรงกดดันในการโจมตี หากเป็นคนธรรมดาที่เผชิญกับแรงกระแทกนี้ คนผู้นั้นจะถูกหุบเขาบดขยี้ในทันทีและจุดจบจะต้องน่าสังเวชอย่างยิ่ง
ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มชุดม่วงที่จงใจมาสร้างปัญหากับเฉินซี เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง!
“ไสหัวไป!” ดวงตาของเฉินซีลุกวาวด้วยแสงเย็นวาบ เขาตะโกนออกมาเสียงดัง จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือตบอย่างดุดัน ส่งฝ่ามือนี้ซึ่งแฝงความล้ำลึกของฝ่ามือหมื่นคลื่นใต้พิภพออกไป แม้จะดูเหมือนธรรมดาแต่มากด้วยพลังสูงสุด ทั้งโหดเหี้ยม ทรงพลัง สามารถบดภูเขา และแยกปฐพีออกจากกันได้!
ปั้ง!
ชายหนุ่มชุดสีม่วงเย้ยหยัน ร่างกายของเขาถอยกลับเพื่อหลีกเลี่ยงฝ่ามือของเฉินซีและตบอีกฝ่ายให้ปลิวไปด้วยฝ่ามือของเขา แต่เจ้าตัวไม่เคยคิดเลยว่าก่อนที่จะทันได้ตอบสนอง ฝ่ามือของคู่ต่อสู้ก็มาถึงใบหน้าเสียแล้ว และมันก็เร็วดั่งการใช้กลเคลื่อนย้าย สายเกินไปที่จะหลบหลีก ทำให้มันปะทะเข้ากับแก้มขวาของเป้าหมายโดยตรง ส่งร่างสูงใหญ่ให้ปลิวกระเด็นออกไป
“อ๊า!” เขาส่งเสียงร้องโหยหวนและน่าสมเพช ขณะปลิวออกไปราวกับว่าวสายขาด ก่อนที่จะตกลงยังพื้นที่ห่างไกลไปร้อยจั้งกระแทกเสียงดัง ‘ปั้ง’ และนอนราบกับพื้นเหมือนสุนัขที่ตายแล้ว กระอักเลือดคำใหญ่ออกมาไม่หยุด ใบหน้าด้านขวาถูกตบจมดิน เป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง
แม้ความเจ็บปวดต่อร่างกายนั้นจะไม่สะทกสะท้านเลย แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือความอับอายที่เขาเผชิญอยู่ มันทำให้เขาโกรธจนเกือบจะเป็นบ้า!
เขาพยายามดิ้นรนเพื่อที่จะยืนขึ้น ทว่าจู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีเท้ากระทืบลงบนร่างอย่างรุนแรง ราวกับมีภูเขาจำนวนมหาศาลกดทับ มันกดทับจนกระดูกในร่างกายแหลกละเอียด ทำให้ตอนนี้เขาเจ็บจนไม่มีแรงแม้แต่จะร้องโหยหวนออกมา จะมีก็เพียงฟองเลือดไหลออกมาจากปาก ในขณะที่ร่างกายสั่นเทา ซ้ำยังมีอาการชักอีกด้วย
“อะไรกัน!? ศิษย์พี่สยงถูกตบกระเด็นออกไปจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
“ศิษย์พี่สยงมาจากตระกูลหมีแดง มีพลังกายภาพที่เหนือธรรมชาติ ซ้ำยังชำนาญศาสตร์เต๋ายักษ์ขยี้เวหาตั้งแต่ช่วงเก่าก่อน การกระแทกเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ภูเขาสูงหมื่นจั้งแตกเป็นเสี่ยง ๆ เหตุใดเขาจึงถูกฝ่ามือตบกระเด็นไปไกลถึงพันจั้งได้เล่า?”
“ช่างเป็นคนที่ดุร้ายเสียจริง! เขาไม่เพียงแต่สยบศิษย์พี่สยงด้วยการฟาดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ยังกระทืบศิษย์พี่สยงจนไม่อาจขยับตัวได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนคนนี้กล้าเดินทางไปยังตำหนักเมฆครามด้วยตัวเอง คนผู้นี้มีความสามารถจริง ๆ”
“ฮ่า ๆ มันต้องน่าสนใจมากแน่ ๆ แม้แต่ศิษย์ใหม่จากยอดเขาจรัสตะวันตกยังกล้าที่จะหยิ่งยโสและจองหองเยี่ยงนี้ อัจฉริยะที่ไร้เทียมทานแห่งยอดเขาจรัสเทวะของพวกเราจะต้องตื่นตัวแล้วอย่างแน่นอน…”
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ชายหนุ่มชุดม่วงถูกปราบราบคาบในชั่วพริบตา ในขณะที่ศิษย์โดยรอบต่างจ้องมองด้วยตาที่เบิกกว้างและเริ่มถกเถียงกันดังสนั่น
“ข้าจะทิ่มตาเจ้าให้บอดถ้ายังกล้าอีก!” เฉินซีชำเลืองมองชายหนุ่มชุดม่วงอย่างเย็นชา ก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมาพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทำให้เหล่าศิษย์ชั้นยอดที่ตั้งใจกลั่นแกล้งเขาในตอนแรกพากันหลบเลี่ยงสายตานี้ไม่หยุด และไม่กล้ายั่วยุชายหนุ่มอีกต่อไป
ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงกล่าวไว้จริง ๆ มีเพียงการแสดงพลังอันยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะสามารถตั้งหลักได้อย่างปลอดภัย มิฉะนั้นก็จะถูกรังแก กดขี่ข่มเหง สุดท้ายก็ตกสู่การเป็นทาสรับใช้ การสัมผัสกับเหตุการณ์นี้ทำให้เฉินซีเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการแข่งขันในหมู่ศิษย์ชั้นยอดนั้นโหดร้ายเพียงใด หากไม่มีพลังที่น่าเกรงขามพอ มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีชีวิตรอดที่นี่
“เจ้ากล้าจริง ๆ! กล้าที่จะฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่ทันตั้งตัวเพื่อจู่โจมฉับพลัน! เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” เขาเพิ่งหันกลับด้วยความตั้งใจที่จะจากไป ทว่าศิษย์พี่สยงกลับกระโดดขึ้นจากพื้น ร่างกายของเขาส่องสว่างไปด้วยแสงโลหิต ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ตัวคนกางมือออกก่อนที่จะจู่โจมอีกฝ่ายจากด้านหลัง
เขาตั้งใจจะสู้อย่างสุดชีวิต!
โครม!
การโจมตีครั้งนี้ของศิษย์พี่สยงเป็นการใช้กำลังอย่างเต็มที่ มือของเขาคว้าออกไป ทำให้เมฆโลหิตนับไม่ถ้วนลอยขึ้นไปบนท้องนภา ลำแสงโลหิตพุ่งขึ้นเเตะขอบฟ้าเปลี่ยนเป็นหุบเขาซากศพ ทะเลโลหิต กองกระดูก ธรณีเปื้อนเลือด และปรากฏการณ์อื่น ๆ อีกมากมาย
“ฝ่ามือหมีโลหิตแยกนภา!”
“นี่คือเคล็ดวิชาโดยกำเนิดของตระกูลหมีแดง ศิษย์พี่สยงตั้งใจที่จะสู้สุดชีวิตจริง ๆ ในระหว่างภารกิจเมื่อไม่นานมานี้ เขาเพิ่งจะฉีกร่างผู้บ่มเพาะวิถีมารขอบเขตสถิตกายาออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยเคล็ดวิชาที่น่าสะพรึงกลัวนี้!”
ศิษย์บางคนล่าถอยอย่างต่อเนื่องเมื่อเห็นฉากนี้ เพราะพวกเขากลัวจะถูกลูกหลงอย่างยิ่ง
“เศษสวะจากยอดเขาจรัสตะวันตกบังอาจทำให้ข้าขายหน้ารึ? จงคุกเข่าซะ!” ศิษย์พี่สยงพุ่งไปข้างหน้า ลำแสงโลหิตปะทุเดือด ราวกับนักรบผู้กล้าหาญชาญชัยที่เหยียบย่ำบนกองศพและทะเลโลหิต ทำให้โลหิตปนเปื้อนแม่น้ำตลอดสายหลายพันลี้ ดุเดือดเลือดพล่านที่สุด
“เจ้านี่สมองน้อยเสียจริง!” เฉินซีหันกลับมาโดยเอามือไพล่หลัง มือไม่ได้ขยับแต่เท้าก้าวไปข้างหน้าพลางเปิดใช้เคล็ดนพก้าวพิฆาตโกลาหล ส่งจิตสังหารให้พวยพุ่งออกมา หยินและหยางแพร่กระจายไปพร้อมกับเสียงโครมคราม!
โครม!
เมฆและแสงโลหิตแตกจางหาย กองซากศพ กองกระดูก ทะเลโลหิต และปรากฏการณ์อื่น ๆ ถูกบดขยี้จนสิ้นซาก
ร่างของศิษย์พี่สยงที่พุ่งเข้ามานั้นถูกปราณสังหารเฉือนโดยตรงจนได้รับบาดเจ็บ เลือดพุ่งกระฉูดออกจากร่างของเขาราวกับน้ำพุ เจ้าตัวส่งเสียงร้องโอดครวญพลางตกลงมาจากกลางอากาศ ลมหายใจเริ่มแผ่วเบา อยู่ในช่วงระหว่างความเป็นความตาย คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีกว่าที่จะฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์
“เจ้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียเลย หากไม่ใช่เพราะพวกเรามาจากนิกายเดียวกัน ข้าคงสังหารเจ้าไปนานแล้ว” เฉินซีไม่แม้แต่เหลียวมองศิษย์พี่สยง แล้วเดินตรงไปยังตำหนักเมฆคราม
“น…นั่นมันเคล็ดวิชาอันใดกัน? เพียงโจมตีครั้งเดียวก็ทำให้จิตสังหารพวยพุ่งออกมาแล้ว และยังทำลายเคล็ดวิชาโดยกำเนิดของศิษย์พี่สยงโดยตรงได้อีก?”
“เขาดุร้ายและทรงพลังยิ่ง! นี่เขาเป็นศิษย์ใหม่จริงหรือ?”
“คาดไม่ถึงจริง ๆ เร็วเข้า รีบไปแจ้งเหล่าศิษย์พี่คนอื่น ๆ ศิษย์ใหม่ที่น่าเกรงขามเยี่ยงนี้ได้มาที่ยอดเขาจรัสเทวะของพวกเราแล้ว ข้าคิดว่าทุกคนคงสนใจมากแน่”
ศิษย์ชั้นยอดเหล่านั้นไม่อาจยืนดูได้อีกต่อไปเมื่อเห็นฉากนี้ และแยกย้ายกันไปทุกทิศทุกทางเพราะเกรงกลัวอย่างยิ่งว่าเฉินซีจะจัดการพวกเขาอย่างไร้ความปรานี เพราะศิษย์ใหม่คนนี้โหดเกินไป และพวกเขาก็ไม่ต้องการตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับศิษย์พี่สยง!
เฉินซีไม่ได้สนใจเรื่องทั้งหมดนี้พลางเดินเข้าไปในตำหนักเมฆคราม เขากวาดสายตามองออกไปพลางรุดฝีเท้าไปยังภายในตำหนัก
ตรงหน้ามีกลุ่มผู้อาวุโสที่มีกระบวนยุทธ์อันแกร่งกล้านั่งอยู่ และพวกเขาก็ต่างเห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เช่นกัน ดังนั้นทุกคนจึงพากันแสดงความชื่นชมเมื่อเห็นศิษย์ใหม่ที่กำลังเข้ามาผู้นี้ เพราะทราบดีว่าเจ้าเด็กนี่เก่งกาจไม่น้อยเลย!
“ใครบังอาจทำร้ายศิษย์พี่สยง!?” จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากนอกตำหนัก เสียงนี้อ่อนโยนไร้ซึ่งน้ำหนัก ทำให้จิตใจของผู้คนรู้สึกสงบเมื่อได้ยิน เหมือนกับการฟังนักปราชญ์อธิบายความล้ำลึกของมหาเต๋า
จากนั้นลำแสงแห่งสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว แสงสีทองหมุนวนในขณะที่สายฝนโปรยปราย ชายหนุ่มชุดน้ำเงินเดินออกมาจากแสงนี้ มีกระบี่อยู่บนหลัง เส้นผมสีดำสนิทพลิ้วไหวอยู่ข้างหลัง เผยท่าทางโหดเหี้ยม สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งการกดขี่!
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือชายหนุ่มชุดฟ้าผู้นี้มีดวงตาสีทองคำขาวและในขณะที่เขากลอกลูกตา พวกมันก็ได้เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองซึ่งดูเหมือนใบมีดที่ผ่าทะลุมิติ ทำให้ไม่มีผู้ใดอาจกล้าที่จะจ้องมอง
“ศิษย์พี่อวิ๋นเยี่ย!” ม่านตาของเหล่าศิษย์ชั้นยอดในตำหนักเมฆครามหดลงเมื่อเห็นคนคนนี้ปรากฏตัว ก่อนที่พวกเขาจะพากันแสดงความเคารพอย่างจริงใจ
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในหมู่ศิษย์ชั้นยอด มิฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้!