บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 624 การต่อสู้ที่สะท้านทั้งยอดเขาจรัสเทวะ
บทที่ 624 การต่อสู้ที่สะท้านทั้งยอดเขาจรัสเทวะ
บทที่ 624 การต่อสู้ที่สะท้านทั้งยอดเขาจรัสเทวะ
“ทลายซะ!” เมื่อเผชิญกับลูกธนูที่สามารถสะท้านท้องฟ้าได้ เฉินซีก็ไม่กล้าที่จะเพิกเฉยอีกต่อไป แสงศักดิ์สิทธิ์พลันปะทุออกมาจากระหว่างนิ้วของเขา และก่อตัวเป็นมหาเต๋าแห่งการทำลายล้าง ซึ่งภายในอักขระยันต์ก็ควบแน่นเป็นสัญลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัว
นี่คือเพลงหมัดมหาทำลายล้างที่ได้รับคำสั่งจากเต๋าแห่งยันต์อักขระ และเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ลึกล้ำ ทำให้มันมีพลังมากขึ้น
ทันทีที่มันปรากฏขึ้น ทำให้ฝุ่น แสง หรือแม้แต่กระแสลมในบรรยากาศก็ยังถูกกำจัดและกลายเป็นความว่างเปล่าในทันที
ปัง!
อักขระยันต์ทำลายล้างหมุนวนอย่างดุเดือดและต้านทานลูกธนูที่ทะลวงผ่านท้องฟ้ามายังเฉินซี ก่อนจะเปล่งแสงแห่งการทำลายล้างที่เจิดจรัสเพื่อต่อสู้กับมัน
เคร้ง!
ในที่สุด ลูกธนูนี้ก็สึกกร่อนและแตกเป็นเสี่ยง ๆ อยู่ท่ามกลางอากาศ จากนั้นมันก็กลายเป็นคลื่นแสงห้าสีที่ส่องแสงแพรวพราวไปทั่วฟ้าดิน
ซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบ ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งและไม่ขยับเลยสักก้าว
ดวงตาของหวังจ้งฮ่วนหรี่ลง จากนั้นก็ครุ่นคิดในใจว่า ‘เขาสามารถต้านทานการโจมตีของข้าได้จริง ๆ ความแข็งแกร่งของเขาถือว่าไม่เลวเลย อย่างน้อยบนยอดเขาจรัสเทวะนี้ก็มีไม่กี่คนที่สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดาย’
“เท่าที่ข้ารู้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะเพิ่งบรรลุขอบเขตสถิตกายากระมัง?” เขาถามอย่างสงสัย
“แล้วมันแตกต่างหรือไม่?” อีกฝ่ายตอบอย่างเฉยเมย
หัวใจของหวังจ้งฮ่วนสั่นไหว เขาบรรลุขอบเขตสถิตกายามาหลายปีแล้ว แต่เฉินซีกลับสามารถต่อสู้กับเขาได้หลังจากที่เพิ่งบรรลุขอบเขตสถิตกายาได้ไม่นาน …จึงอาจกล่าวได้ว่าพรสวรรค์ของอีกฝ่ายนั้นไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง!
“ฮ่า ๆ อย่าได้กังวลไป การที่สามารถต้านทานพลังโจมตีสามส่วนของข้าได้นั้น มันไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไร และเจ้าสามารถเพลิดเพลินไปอย่างช้า ๆ ได้ตั้งแต่จากนี้เป็นต้นไป”
หวังจ้งฮ่วนกลับสู่ความเย็นชาเหมือนเก่า ดวงตาของเขาเป็นประกาย เผยให้เห็นถึงความชั่วร้ายที่ทอประกายแวววาว
พรึ่บ!
สายธนูสั่นสะเทือนดั่งเสียงระฆังขนาดใหญ่ ก่อนที่ลูกธนูแสงอีกดอกที่ก่อตัวขึ้นจากพลังสวรรค์จะพุ่งออกไปจากสายธนู มันเขย่าสายลมและเมฆที่อยู่โดยรอบ ในขณะที่แสงห้าสีอันสว่างไสวก็ขดตัวอยู่รอบ ๆ มันและสร้างพลังทะลุทะลวงเป็นเกลียวแหลมคม ซึ่งเพียงแค่มองมันจากระยะไกล ความรุนแรงของมันก็บันดาลให้ผู้คนรู้สึกหมดหนทางและสิ้นหวังเป็นอย่างมาก
นี่คือการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของหวังจ้งฮ่วน แม้ว่าเขาจะดูถูกเฉินซี แต่ในการต่อสู้ เขาก็ไม่กล้าประเมินอีกฝ่ายต่ำไปเลย และอานุภาพของลูกธนูนี้ก็น่ากลัวกว่าครั้งก่อน ๆ เป็นอย่างมาก
ทว่าสีหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงเสียงเต๋าคำรามก้องไปทั่วร่างกายของเขา ในขณะที่วงแหวนศักดิ์สิทธิ์หลายสิบวงได้ล้อมรอบตัวชายหนุ่ม พวกมันเป็นอักขระยันต์ที่สร้างขึ้นจากเต๋ารู้แจ้งมากมาย และพวกมันก็กลายเป็นดั่งพระอาทิตย์แผดเผา ซึ่งแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา ทำให้กลิ่นอายอันองอาจของชายหนุ่มยิ่งใหญ่กว่าเดิม
นี่คือทักษะการควบคุมเต๋ารู้แจ้งด้วยเต๋าแห่งยันต์อักขระของเขา และเพียงแค่สะบัดมือ มันก็ทำให้เขามีกลิ่นอายที่ทรงพลัง เสมือนกับควบคุมทุกสิ่งในสวรรค์และปกครองโลกใบนี้ได้!
แดนฮุ่นตุ้นในร่างกายของเขาในเวลานี้กำลังโคจรอย่างดุเดือด ในขณะที่ปราณแท้ พลังงาน และวิญญาณของเขาก็อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมเสมือนกับพระจันทร์เต็มดวง ร่างกายทั้งหมดของเขาดูจะกลายเป็นทะเลแห่งอักขระยันต์ ซึ่งกำลังบรรยายถึงความลึกล้ำไร้ขอบเขตของมหาเต๋าในฟ้าดิน อีกทั้งยังเป็นภาพที่น่าสยดสยองนัก
“นี่มัน…”
หวังจ้งฮ่วนตกตะลึง ฝีมือของเฉินซีนั้นเกินความคาดหมายของเขา เนื่องจากทั่วทั้งร่างกายของชายหนุ่มมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวและน่าเกรงขามอย่างน่าประหลาดใจ จนทำให้แม้แต่หวังจ้งฮ่วนก็ยังรู้สึกถึงความน่ากลัวของอีกฝ่าย
“นี่มันพลังอันใดกัน?”
ตู้ม!
สวรรค์สั่นสะเทือนจนเกิดเสียงดังก้องไปทั่วหล้า ในขณะที่ลำแสงระเบิดออกไปอย่างไร้ขอบเขต มันหมุนเป็นวงกลมแล้วกลายเป็นคลื่นถาโถมออกจากร่างของเฉินซี ราวกับว่าเขาเป็นตาพายุในมหาสมุทร ซึ่งทำให้เกิดพายุนับไม่ถ้วนกระจายออกไปและยับยั้งลูกธนูแสงเอาไว้
ในที่สุด ลูกธนูแสงก็ยังมาไม่ถึงเฉินซี ปลายศรเริ่มสลายไปทีละนิด จากนั้นมันก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ และกลายเป็นผงห้าสีที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า ก่อนที่จะสลายหายไปในความว่างเปล่า!!
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้ชมที่อยู่ในระยะไกลต่างก็ตกตะลึง เพราะที่จริงแล้ว เฉินซีสามารถต้านทานการโจมตีขั้นสูงของธนูเบญจธาตุได้ โดยอาศัยเต๋ารู้แจ้งที่ดังก้องและพลังชีวิตในร่างกายของเขา ซึ่งท่าทางที่อหังการดังกล่าวก็ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง!!!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!? เจ้าเด็กคนนี้เพิ่งบรรลุขอบเขตสถิตกายา แต่มันกลับสามารถควบคุมเต๋ารู้แจ้งในการต่อสู้ได้แล้ว!?” ดวงตาของหวังจ้งฮ่วนหรี่ลงและสว่างวาบด้วยแสงเจิดจ้า
เนื่องจากการบ่มเพาะของเขาได้บรรลุถึงขอบเขตสถิตกายาขั้นสูงในปัจจุบัน ความสามารถในการแยกแยะของเขาจึงแม่นยำมาก และเขาสังเกตได้ทันทีว่า การโจมตีของเฉินซีนั้นแฝงไปด้วยทักษะในการควบคุมเต๋ารู้แจ้ง! ยิ่งกว่านั้น เฉินซีในตอนนี้ดูจะเริ่มเข้าใจวิธีการต่อสู้เช่นนี้…
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
แต่ไม่ว่าจะตกตะลึงสักแค่ไหน แต่ปฏิกิริยาของหวังจ้งฮ่วนก็รวดเร็วยิ่งนัก เขาง้างคันธนูและยิงลูกธนูแสงห้าสีที่พร่างพรายออกไปอีกครั้ง พวกมันกลายเป็นลำแสงที่ยาวถึงหนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง ดูคล้ายสายรุ้งพุ่งผ่านท้องนภา!
ฟิ้ว!
ทันทีที่หวังจ้งฮ่วนโจมตี ร่างของเฉินซีก็หายไปทันที และในชั่วพริบตาต่อมา เขาก็อยู่ห่างจากอีกฝ่ายเพียงหนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง
“ลองรับกระบวนท่าข้าซะ!” เมื่อเสียงที่เย็นชาและไม่แยแสของเฉินซีดังก้องอยู่ในอากาศ กลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง มันกลายเป็นความดุร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และด้วยเจตจำนงกระบี่ที่พลุ่งพล่าน มันก็ทำให้เขาเป็นเหมือนราชากระบี่ที่มองโลกอย่างเย้ยหยัน!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ในชั่วพริบตาเดียวกันนั้น ประกายกระบี่นับไม่ถ้วนซึ่งแหลมคมก็สว่างวาบออกมาจากความว่างเปล่า อีกทั้งพวกมันยังแฝงไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง ในขณะที่ถูกฟันออกไปด้วยความเร็วสูง
ปราณกระบี่เหมือนกับห่าฝนที่โหมกระหน่ำ ซึ่งในแง่ของพลังทำลาย พวกมันไม่ได้ด้อยไปกว่าลูกธนูแสงของหวังจ้งฮ่วนเลยแม้แต่น้อย พลังทั้งสองปะทะกันที่กลางอากาศและระเบิดเป็นดวงแสงพร่างพราวลูกยักษ์ ราวกับภูเขาไฟได้ปะทุขึ้น และกระจายไปทั่วฟ้าดินทันที
ความสับสนวุ่นวายที่เกิดจากการต่อสู้แทบจะกระจายไปทั่วยอดเขาจรัสเทวะทั้งหมดในทันที ทำให้เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงพลังต่างสามารถสัมผัสถึงมันได้ พวกเขาจึงแผ่จิตสัมผัสเทพออกไปเพื่อตรวจสอบว่ามันเกิดอะไรขึ้น
โดยเฉพาะบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ในหมู่ศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ทุกคนต่างต้องการเห็นว่า หวังจ้งฮ่วนซึ่งเป็นบุคคลระดับสูงที่ร้ายกาจอย่างไม่มีใครเทียบได้ จะสามารถบดขยี้เฉินซีผู้เป็นศิษย์ใหม่ได้หรือไม่?
ยอดเขาจรัสเทวะเป็นภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ใต้สวรรค์ และเป็นเหมือนที่ประทับของเหล่าทวยเทพ สถานที่แห่งนี้ได้รับการดูแลโดยบุคคลที่ยิ่งใหญ่ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเป็นเวลาเนิ่นนาน ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่ามันกว้างใหญ่เพียงใดหรือมีมิติว่างเปล่าและดินแดนเร้นลับมากมายเพียงใด
แม้ว่าความสับสนวุ่นวายที่เกิดจากการต่อสู้ระหว่างเฉินซีกับหวังจ้งฮ่วนจะยิ่งใหญ่ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เล็ก ๆ ที่ศิษย์ชั้นยอดครอบครองเท่านั้น และถึงแม้มันจะเป็นเพียงพื้นที่เล็ก ๆ แต่แท้จริงแล้วกลับกว้างใหญ่ไพศาลและเทียบได้กับแคว้นขนาดย่อม
หวังจ้งฮ่วนสวมเสื้อคลุมสีทองและควบคุมสมบัติกึ่งอมตะธนูเบญจธาตุ ทุกครั้งที่เขาง้างสายธนู จะทำให้ลูกธนูแสงไหลออกมา และแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ระเบิดขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะลุผ่านเก้าชั้นฟ้าสิบชั้นดิน ทำให้ตัวคนดูเป็นดั่งบุตรแห่งทวยเทพที่ปรารถนาจะทำลายล้างโลก และพลังของเขาก็น่าอัศจรรย์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ในขณะเดียวกัน เฉินซีก็โคจรแดนฮุ่นตุ้นและควบคุมมหาเต๋ามากมายที่เขาได้หยั่งถึง ทุกการโจมตีของชายหนุ่มจึงแฝงไปด้วยพลังที่สามารถทำลายล้างฟ้าดิน และกระบวนท่าทำลายล้างก็ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกท่วงท่าของเฉินซีดูจะเหนือกว่าพลังธรรมชาติ เพราะพวกมันมีความลึกล้ำเหลือประมาณยิ่งนัก
ศาสตร์เต๋าทั้งหมดที่เขาได้ครอบครองอยู่ตอนนี้ล้วนมาจากดินแดนเร้นลับที่ด้านบนสุดของแท่นดอกบัว ซึ่งนอกจากศาสตร์เต๋าทั้งสี่สิบเก้าเคล็ด ยังมีมรดกสุดยอดอีกมากมายในสัจธรรมสวรรค์ แม้ว่าเขาจะไม่ได้บ่มเพาะมันจนถึงขั้นสมบูรณ์ แต่พลังของมันก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน
กระบวนท่าลึกล้ำล้วนถูกเฉินซีใช้ออกไปอย่างชำนาญและง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดกระบี่ฝังวิญญาณบงการนภาหรือศาสตร์เต๋ามหาพันธนาการและเคล็ดนพก้าวพิฆาตโกลาหล… พวกมันต่างถูกเขาใช้ออกไป ทำให้ผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ในระยะไกลต่างตกตะลึงและมึนงง เพราะพวกเขายังแยกแยะไม่ได้ว่าพวกมันคือศาสตร์เต๋าอะไร!
อย่างไรก็ตาม หวังจ้งฮ่วนก็คู่ควรแก่การเป็นบุคคลชั้นนำที่มีวาสนาอันยิ่งใหญ่ เพราะเมื่อเผชิญกับเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำมากมายของเฉินซี เจ้าตัวกลับไม่ตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย อันที่จริง เขากลับแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน
เห็นได้ชัดว่า แม้หวังจ้งฮ่วนจะมีร่างกายที่ยอดเยี่ยม มีวาสนายิ่งใหญ่ และได้รับความโปรดปรานจากผู้อาวุโสในนิกายอย่างมาก เนื่องจากเขากล้าที่จะหยิ่งยโสและตั้งใจที่จะบดขยี้เฉินซีซึ่งเป็นศิษย์ใหม่ เขาย่อมมีบางอย่างที่สามารถพึ่งพาได้
“เฉินซี เจ้าคิดหรือว่าจะสามารถสู้กับข้าด้วยฝีมืออันต่ำต้อยเช่นนี้ได้? ด้วยกระบี่สรรค์สร้างขจีซึ่งเป็นสมบัติอมตะของข้า กำลังได้รับการหล่อเลี้ยงและขัดเกลาภายในร่างกายของข้าอยู่ และอีกแค่เพียงครึ่งเดือน มันก็จะได้รับการขัดเกลาอย่างสมบูรณ์ หากข้าใช้สิ่งนั้น ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ข้าย่อมสามารถบดขยี้เจ้าได้อย่างง่ายดาย”
หลังจากต่อสู้มาเนิ่นนาน หวังจ้งฮ่วนดูจะโกรธเกรี้ยวที่ไม่สามารถเอาชนะเฉินซีได้ น้ำเสียงที่เคยเย็นชาและหยิ่งยโสของเขาพลันไร้ความรู้สึกและไร้ความปรานี ซึ่งดูเหมือนว่าตราบใดที่เจ้าตัวเต็มใจ เขาจะควักสมบัติอมตะออกมาได้ตลอดเวลาและบดขยี้เฉินซีให้แหลกลาญ
“ดูเหมือนว่าหวังจ้งฮ่วนจะโกรธเกรี้ยวเสียแล้ว ข้านึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าศิษย์ใหม่อย่างเฉินซีจะทรงพลังถึงขนาดนี้ และเขาจะสามารถต่อกรกับการโจมตีของหวังจ้งฮ่วนโดยไม่เสียเปรียบเลยสักนิด”
“ใช่แล้ว เฉินซีได้ปกปิดความแข็งแกร่งของเขาเอาไว้อย่างลึกซึ้ง เขาใช้ศาสตร์เต๋าระดับสูงสุดหลายสิบเคล็ดอย่างต่อเนื่อง จนข้าไม่สามารถแยกแยะได้ว่ามันถูกสืบทอดมาจากที่ใด เขาช่างเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง”
“ฮึ่ม! ไม่ว่าเขาจะมีศาสตร์เต๋ามากมายเพียงใด แต่ศิษย์พี่ใหญ่หวังก็เป็นอัจฉริยะจากสวรรค์ที่มีวาสนายิ่งใหญ่ ว่ากันว่าในระหว่างที่เขาออกไปฝึกฝนที่โลกภายนอก ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับมรดกของที่พำนักเซียน อีกทั้งแดนฮุ่นตุ้นของเขาเองก็แข็งแกร่งและกว้างใหญ่มาก จนถึงจุดที่เหนือกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาทั่วไปถึงสิบหรือร้อยเท่า และด้วยบ่มเพาะที่ท้าทายสวรรค์ เขาย่อมสามารถใช้พลังครึ่งหนึ่งของสมบัติอมตะได้!”
“สมบัติอมตะ? ฮ่า ๆ ทั้งหมดที่ข้าเห็นก็คือ เฉินซีนั้นมือเปล่าและไม่ได้ใช้สมบัติวิเศษใด ๆ แต่กลับต่อสู้กับหวังจ้งฮ่วนที่ถือสมบัติกึ่งอมตะได้อย่างเท่าเทียม ด้วยเหตุนี้ ความแข็งแกร่งของเขาก็เพียงพอที่จะอยู่ในอันดับต้น ๆ ของศิษย์ชั้นยอดแล้ว!”
ผู้ชมในระยะไกลต่างสนทนากันอย่างมีชีวิตชีวา และทุกคนต่างตกตะลึงกับการต่อสู้อันน่าหวาดหวั่นที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกเขา
…
“ข้าสงสัยนักว่าใครจะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด!”
“แต่ดูเหมือนเฉินซีจะด้อยกว่าเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไร ศิษย์พี่ใหญ่หวังก็มีความสามารถมากมายและมีการบ่มเพาะที่น่าอัศจรรย์อย่างมากเช่นกัน ไม่นานมานี้เขาได้ต่อสู้กับหลงเจิ้นเป่ย ซึ่งเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่ทั้งคู่ก็ไม่สามารถทำอะไรกับอีกฝ่ายได้”
“ใช่ หลงเจิ้นเป่ยเป็นตัวตนที่ไร้เทียมทานจากเผ่ามังกรอสรพิษและค่อนข้างมีชื่อเสียงในแดนภวังค์ทมิฬ ถึงแม้หวังจ้งฮ่วนจะเพิ่งเข้าร่วมกับนิกายได้เพียงสิบกว่าปี แต่เขาสามารถต่อสู้กับหลงเจิ้นเป่ยได้อย่างสูสี ดังนั้นจึงไม่อาจประเมินเขาต่ำไปได้เลย”
“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่านิกายเซียนทั้งสิบจะจัดงานชุมนุมกันในไม่ช้า และอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดจะได้รับเลือกจากพวกเราศิษย์ชั้นยอด ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่ได้รับชัยชนะก็จะได้รับความโปรดปรานจากเซียนสวรรค์ อีกทั้งยังได้รับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะและสมบัติอมตะ!”
“งานชุมนุมวิถีเซียน? เคล็ดวิชาที่เซียนสวรรค์ถ่ายทอดให้? ช่างเป็นเกียรติอะไรเช่นนี้!?”
ภายในที่พำนักบนยอดเขาจรัสเทวะที่ห่างไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา ผู้เยี่ยมยุทธ์สองคนในหมู่ศิษย์ชั้นยอดกำลังจิบชา ในขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการต่อสู้ที่สูสีของทั้งสองคน
…
“หืม? เจ้าศิษย์ใหม่ที่หยิ่งยโสคนนั้นกลับเกิดความขัดแย้งกับหวังจ้งฮ่วนอย่างรวดเร็วขนาดนี้เลยหรือ?”
อวิ๋นเยี่ยผู้ครอบครองเนตรทองคำขาวของจักรพรรดิพิสุทธ์กำลังปิดด่านบ่มเพาะภายในที่พำนักของเขา แต่จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง ทำให้เจ้าตัวลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วและกวาดสายตาออกไป ก่อนจะมองเห็นการต่อสู้ในระยะไกลได้อย่างชัดเจน
“ไม่แปลกใจเลยที่เขากล้ากล่าวเรื่องต่อสู้กับข้า ที่แท้เขาก็มีความสามารถพอจริง ๆ หวังจ้งฮ่วนผู้ดุร้ายคนนั้นกลับไม่สามารถสยบเขาได้ ดูเหมือนว่าข้าต้องประเมินความสามารถของคนผู้นี้อีกครั้ง…”
โอม!
ในขณะที่ผู้คนต่างกำลังพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวาทั่วยอดเขาจรัสเทวะ จู่ ๆ ความผันผวนอันน่าสะพรึงกลัว เย็นยะเยือกและลึกลับอย่างสุดขั้วพลันถาโถมและแผ่ออกจากสนามรบในท้องฟ้าเหนือเส้นชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดสีชาด
ทุกคนที่อยู่ในนั้นต่างรู้สึกหายใจไม่ออกทันที ในขณะที่ปราณแท้และเลือดภายในร่างกายของพวกเขาก็แสดงอาการผิดปกติและกำลังไหลย้อนกลับ!
หลังจากนั้น ทุกคนก็เห็นว่า มีปีกคู่หนึ่งซึ่งปกคลุมด้วยเงาสีเทาและหมอกได้ปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ อยู่ที่ด้านหลังของเฉินซีซึ่งอยู่กลางอากาศ และมันก็ถูกปกคลุมด้วยแสงสีเทาที่ทำให้ดูเหมือนว่ามันกำลังแผ่กระจายปราณโกลาหลออกมา!