บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 64 บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล
บทที่ 64 บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล
บทที่ 64 บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล
“จงควบแน่นปราณแท้ผ่านเส้นชีพจรนับร้อยเส้นทั่วทั้งร่างกาย หลอมรวมลมปราณและวิญญาณ จากนั้นค่อยใช้ทักษะปรับลมหายใจเพื่อควบคุมกระแสของลมหายใจ… เมื่อบ่มเพาะจนถึงขีดสุด จะสามารถยับยั้งกลิ่นอายและเร้นกายหายไปได้อย่างไร้ร่องรอย นับเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่ไร้จิตสัมผัสเทพหากจะสัมผัสรู้ถึงตัวตนเจ้า” เฉินซีถือเคล็ดวิชารัศมีไร้ร่องรอยและซึมซับถ้อยคำแต่ละคำในขณะที่อ่านมัน ดวงตาของเขาค่อย ๆ เปล่งประกายเมื่อกาลเวลาได้ผ่านพ้นไป
ช่างทรงพลังเหลือเกิน!
เฉินซีไม่อาจหยุดอุทานได้ด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ หลังจากที่เขาอ่านแผ่นหยกจบแล้ว
เคล็ดวิชารัศมีไร้ร่องรอยนับเป็นเคล็ดวิชาลับที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ยามที่บ่มเพาะจนบรรลุแล้ว ไม่เพียงแต่เขาจะสามารถยับยั้งกลิ่นอายภายในร่างกาย ทว่าทั้งร่างยังโปร่งใสและหายไปราวกับว่าเขาสลายไปในอากาศ
สิ่งที่ควรให้ความสนใจมากที่สุดคือ หลังจากใช้เคล็ดวิชารัศมีไร้ร่องรอยแล้ว เว้นแต่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะที่ครอบครองจิตสัมผัสเทพ มิฉะนั้น ก็เป็นการยากที่ผู้บ่มเพาะทั่วไปจะสังเกตถึงร่องรอยของผู้ใช้ เพราะจิตสัมผัสเทพเป็นความสามารถที่จะได้รับมาเมื่อผู้บ่มเพาะบรรลุถึงขอบเขตจุติแล้วเท่านั้น!
อย่างไรก็ตาม เคล็ดวิชารัศมีไร้ร่องรอยนี้สามารถใช้ได้ยามที่ปราศจากการเคลื่อนไหวเท่านั้น เมื่อใดที่ขยับกายจะถูกเปิดเผยในทันที และด้วยข้อบกพร่องนี้เอง จึงทำให้เฉินซีรู้สึกว่าน่าเสียดายยิ่งนัก
หากเขาสามารถใช้เคล็ดวิชารัศมีไร้ร่องรอยขณะที่พุ่งทะยานก็จะสามารถออกจากส่วนลึกของเทือกเขาโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น และย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกหนึ่งในเจ็ดราชาอสูรผู้ยิ่งใหญ่ฆ่า
โดยสรุป การที่เฉินซีครอบครองเคล็ดวิชารัศมีไร้ร่องรอย จะช่วยส่งเสริมจุดแข็งในปัจจุบันของตัวเขา และได้รับวิธีการเอาชีวิตรอดมาเพิ่มเติมอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังเป็นอาวุธที่สามารถใช้ในการลอบจู่โจมและจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวได้ด้วย!
“ความต้องการขั้นต่ำในการบ่มเพาะแผ่นหยกเหล่านี้ก็คือการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลเป็นอย่างน้อย ดูเหมือนว่าข้าจะต้องบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลให้ได้เสียก่อน…”
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะวางแผ่นหยกลงบนพื้น จากนั้นก็หยิบขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยมออกจากแหวนมิติ จากนั้นวางบงกชจิตเยือกแข็งไว้ข้างกาย และโคจรปราณแท้ในร่างเพื่อดูดซับเส้นชีพจรวิญญาณชั้นยอดซึ่งอยู่ที่ใต้เบาะนั่ง
บงกชจิตเยือกแข็ง เป็นสมบัติวิเศษที่สามารถสยบปีศาจที่เกิดขึ้นภายในจิตใจระหว่างการบ่มเพาะ ในขณะนั้นดูเหมือนว่ามันเริ่มปลดปล่อยพลังออกมาจึงทำให้จิตใจของเฉินซีสงบลง
ภายใต้บรรยากาศอันเงียบสงบนี้ อารมณ์อันพลุ่งพล่านของเฉินซีค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบ
ขวดทรงแปดเหลี่ยมนี้ไม่เพียงแต่บรรจุของเหลวที่กลั่นมาจากปราณปรโลกอันชั่วร้ายถึงหนึ่งร้อยห้าสิบจิน แต่ยังมีวารีวิญญาณเกือบเจ็ดร้อยห้าสิบจินบรรจุอยู่ด้วย วารีวิญญาณเหล่านี้ถูกรวบรวมมาจากห้องโถงสมุนไพรร้อยแปดภายในที่พำนักของเซียนกระบี่ และหากไม่ใช่เพราะว่าดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดวงจิตทองคำที่เติบโตจากการดูดซับน้ำพุวิญญาณ เฉินซีคงจะสามารถรวบรวมวารีวิญญาณได้มากกว่าเจ็ดร้อยห้าสิบจิน
อย่างไรก็ตาม วารีวิญญาณเหล่านี้ก็เพียงพอต่อการบ่มเพาะของเขาไปอีกสักระยะ
วู้ววววว!
ขวดทรงแปดเหลี่ยมก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นปากขวดก็เอียงลงและเทวารีวิญญาณออกมาราวกับสายน้ำ ในขณะที่เฉินซีอ้าปากและกลืนมันเข้าไป
วารีวิญญาณมักถูกใช้โดยผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลเพื่อก่อสร้างรากฐานแห่งเต๋า หรือผู้บ่มเพาะที่ระดับการฝึกฝนเหนือกว่าขอบเขตตำหนักอินทนิล ทว่าในขณะนี้ชายหนุ่มกลับใช้มันเพื่อบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลแทน ซึ่งนับว่าการกระทำที่เสี่ยงยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่อาจใส่ใจต่อสิ่งอื่นได้อีกต่อไป เมื่ออยู่ในส่วนลึกที่มากไปด้วยอันตรายของเทือกเขาป่าเถื่อนตอนใต้ บรรดาสัตว์อสูรต่างอาละวาดไปทั่วทิศทาง มีเพียงแต่จะต้องเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของเขาอย่างรวดเร็วเท่านั้น เขาถึงจะมีโอกาสเอาชีวิตรอดไปจากที่แห่งนี้ได้!
ปัง! ปัง!! ปัง!!!
เมื่อกลืนกินวารีวิญญาณแล้ว ก็มีเสียงดังสนั่นราวกับลำธารใหญ่พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าดังสะท้อนอยู่ในร่างกายของเฉินซี วารีวิญญาณที่พลุ่งพล่านและบริสุทธิ์เป็นดั่งสัตว์ร้ายที่อาละวาดอย่างเดือดดาลอยู่ภายในเส้นชีพจรทั้งหมดของเขา ทุกส่วนที่มันไหลผ่านราวกับถูกมีดเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนกรีดเส้นชีพจรทุกเส้นอย่างดุเดือด ทำให้ริ้วความเจ็บปวดปรากฏทั่วทั้งร่างกาย
เฉินซีส่งเสียงร้องโอดครวญขณะที่เขากัดฟันแน่น เพื่ออดกลั้นต่อความเจ็บปวด และโคจรเคล็ดวิชานภาม่วงควบคู่ไปด้วย
นับว่าโชคดีที่จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งพอที่จะนำพากระแสวารีวิญญาณไปตามเส้นชีพจรที่อยู่ในร่างกายอย่างรวดเร็ว และเริ่มหมุนเวียนไปทั่ว หลังจากที่เสร็จสิ้นการการโคจรไปถึงสามสิบหกรอบ วารีวิญญาณทั้งหมดก็ถูกสูบเข้าไปในตันเถียนของเขา
ในขณะนี้ ตันเถียนของเขามิอาจสงบอย่างที่เคยเป็น เมฆปราณแท้ทั้งเก้าก้อนที่มีรูปลักษณ์คล้ายขั้นบันได ก่อตัวขึ้นไปยังเบื้องบนราวกับว่าพวกมันถูกกวนด้วยมือขนาดมหึมา พวกมันสั่นไหวอย่างรุนแรงอยู่ในตันเถียนของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดูดซับปราณแท้ที่หลั่งไหลเข้ามาภายใน
กระบวนการดูดซับนี้ใช้ระยะเวลาถึงสามวันเต็ม!
สามวันต่อมา วารีวิญญาณเกือบสองร้อยห้าสิบจินต่างก็ถูกดูดซับจนหมดสิ้น ขนาดของเมฆปราณแท้ทั้งเก้าได้ขยายมากขึ้นถึงสิบเท่า และพวกมันเป็นดั่งแป้งหมักที่ปิดกั้นตันเถียนมิอาจขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
เฉินซียังไม่ได้หยุดบ่มเพาะและยังคงดูดซับวารีวิญญาณที่ถูกขัดเกลาด้วยเคล็ดวิชานภาม่วงเข้าสู่ตันเถียนต่อไป
แคร่ก! แคร่ก! แคร่ก!
หลังจากปราณวิญญาณพุ่งเข้ามาจนเกิดการปะทะอย่างไม่หยุดยั้ง ตันเถียนของเฉินซีที่อัดแน่นเต็มเปี่ยมก็เริ่มพองขึ้นเล็กน้อยราวกับมันจะแตกออกในช่วงเวลาอีกไม่นาน
ในขณะนั้นเอง
ดวงตาของเฉินซีเปิดขึ้นอย่างฉับพลันและฉายแสงเย็นหมุนวนอยู่ภายในดวงตาของเขา ขณะที่เขาตะโกนก้องราวกับท้องฟ้าถูกแยกออก “ทะลวง!”
…
ภายนอกเคหา มู่ขุยกำลังนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ และดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นอะไรบางสิ่ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง ภาพที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขาคือปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกทั่วทั้งเทือกเขาวงจันทราราวกับว่าถูกเรียกตัว ขณะที่พวกมันจับกลุ่มพุ่งเข้ามาในเคหา พายุรุนแรงได้ก่อตัวขึ้นและพัดโหมกระหน่ำในระดับที่น่าตกใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“หยิบยืมปราณวิญญาณจากสวรรค์และโลก?” ดวงตาของมู่ขุยเป็นประกายขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยความตื่นตระหนกว่า “เป็นไปได้ไหมว่าท่านผู้อาวุโสเฉินซีกำลังจะบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล?”
…
“หืม?” ห่างออกไปสองพันห้าร้อยลี้ ภายในภูเขาสูงชันที่ราวกับกระบี่แหลมคมแทงทะลุเสียดฟ้า ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่สวมชุดดำและมีผมขาวนั่งอยู่บนเตียงหยกขณะที่เขาดื่มสุราชั้นเยี่ยม ข้างกายเขามีสัตว์อสูรสาวงดงามมาคอยนวดคลึงที่ขา สีหน้าพึงพอใจและผ่อนคลาย
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตถึงอะไรบางอย่างก่อนจะลุกขึ้นยืน ถ้วยสุราที่ทำจากกระดูกขาวในมือของเขาตกแตกกระจายลงบนพื้น และดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย ขณะที่เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง “ผู้ใดบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลภายในอาณาเขตของข้า? มดปลวกพวกนั้นไม่มีทางที่จะแข็งแกร่งพอที่จะบรรลุสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลแม้แต่ผู้เดียว หรือว่าอาจเป็นสหายเต๋าจากที่อื่น?”
“ฝ่าบาท ท่านสัมผัสได้ถึงบางสิ่งอย่างนั้นหรือเพคะ?” สัตว์อสูรสาวแสนสวยถามอย่างระมัดระวัง
ชายหนุ่มผมขาวในชุดดำโบกมือและกล่าวว่า “เจ้าไปหาศิษย์ของข้าหลีหู่ และสอบถามเขาว่ามีสัตว์อสูรที่บ่มเพาะในวิถีของเต๋าอยู่ใกล้เคียงหรือไม่”
“ทราบแล้วเพคะ ฝ่าบาท” สัตว์อสูรสาวผู้นั้นแย้มยิ้มก่อนจะแปลงร่างเป็นปักษาวิญญาณที่มีขนสีขาวและโบยบินออกจากที่พำนัก
…
ความผันผวนอย่างรุนแรงของปราณวิญญาณในเทือกเขาวงจันทราได้ดึงดูดความสนใจของบรรดาสัตว์อสูรที่อุทิศตนให้กับการบ่มเพาะในบริเวณใกล้เคียง บ้างก็เงยศีรษะขึ้นจากน้ำ บ้างก็มองจากยอดไม้อันห่างไกลหรือเดินออกจากถ้ำของพวกมัน… แต่สายตาของพวกมันจดจ้องไปยังที่เดียวกัน นั่นคือเทือกเขาวงจันทรา
“อาจจะเป็นเจ้ามู่ขุยผู้นั้นหรือเปล่า?”
“ไม่ ข้าจำได้ว่าไอ้เจ้าหมาป่าหน้าโง่นั่นเพิ่งจะบรรลุขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น”
“อำนาจที่ปะทุกลางอากาศขณะนี้ย่อมเกิดจากการบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลอย่างแน่นอน!!”
“ถ้าหากเขาประสบความสำเร็จในการทะลวงสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล ราชาวานรทมิฬแห่งถ้ำวารีกระซิบอาจถูกคุกคามได้”
ความประหลาดใจ สับสน และกังวลผุดขึ้นมาในใจของสัตว์อสูรทุกตน แต่ไม่ว่าอย่างไร สายตาที่พวกมันจ้องมองไปที่เทือกเขาวงจันทราก็มีร่องรอยความเคารพนับถือ
…
ปัง!!!!!
ภายในเคหา เฉินซีรู้สึกว่าขนบนร่างกายของเขาลุกชันอย่างกะทันหันและตันเถียนของเขารู้สึกราวกับว่าถูกฟ้าผ่าอย่างดุเดือด ทำให้ดวงวิญญาณของเขาเริ่มสั่นคลอนเช่นกัน
ปราณวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัวของสวรรค์และโลกแผ่กระจายไปในอากาศ
กร๊อบ!!
เสียงเล็ก ๆ ที่เหมือนกับเปลือกผิวแตกก็ดังขึ้นราวกับจุดเริ่มต้นของโลก แต่ดูเหมือนหงส์เพลิงอมตะที่กำเนิดใหม่ขึ้นจากเถ้าถ่านมากกว่า เฉินซีรู้สึกเหมือนร่างกายของเขาถูกชำระล้างด้วยน้ำพุอันใสสะอาด ร่างกายของเขาปราศจากสิ่งสกปรกและจิตใจของเขาก็แจ่มใสชัดแจ้งยิ่งนัก
นี่หรือคือขอบเขตตำหนักอินทนิล!
เฉินซีสะกดความตื่นเต้นที่ก่อขึ้นในใจ ยามที่เขาพินิจร่างกายของตัวเอง ตันเถียนได้เปลี่ยนเป็นพื้นที่กว้างขวางกว่าเมื่อก่อนนับร้อยเท่า และทะเลสาบแห่งปราณแท้ก็กระเพื่อมซัดสาดอยู่ภายใน ช่างลึกลับยิ่งนัก
หืม?
เฉินซีตกใจเมื่อสังเกตเห็นว่าที่ใจกลางทะเลสาบปราณแท้ ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดวงจิตทองคำที่มีแสงสีทองล้อมรอบกำลังลอยอยู่ราวกับว่ามันไม่ได้รับผลกระทบจากการทะลวงขอบเขตของเขาเลยแม้แต่น้อย
ข้าสงสัยยิ่งนักว่ามันมีสรรพคุณวิเศษอะไร…?
เฉินซีพลันสั่นศีรษะสลัดความกังวลออกไป และนึกถึงเคล็ดวิชานกกระเรียนเหมันต์ในใจ ก่อนที่จะลิ้มรสความหมายอันลึกซึ้งภายในนั้นอย่างรอบคอบ
การบรรลุไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเป็นการก่อสร้างรากฐานของมหาเต๋า และอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็จะก้าวเข้าสู่เต๋าแห่งเซียน ในเวลานี้การบ่มเพาะของเขายังไม่เสถียรดี หากเขาไม่มีเคล็ดวิชาการบ่มเพาะภายในขอบเขตตำหนักอินทนิล มันอาจทำให้รากฐานแห่งเต๋าเสียหายได้!
ขอบเขตตำหนักอินทนิล ทุกการเพิ่มระดับจะก่อให้เกิดดวงดาวที่ควบแน่นจากปราณแท้ปรากฏขึ้นในตันเถียน และเมื่อดาวเก้าดวงถูกเชื่อมไว้ด้วยกัน ย่อมถือว่าบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบ
สิ่งที่เฉินซีต้องทำตอนนี้คือการควบแน่นดวงดาวจากปราณแท้ และทำให้การบ่มเพาะของเขามีเสถียรภาพเสียก่อน
ซ่าาาา!
วารีวิญญาณยังคงเหลืออยู่ในขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยมประมาณห้าร้อยจิน แต่เฉินซีไม่ได้ตระหนี่เลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เขาทบทวนทุกส่วนของเคล็ดวิชานกกระเรียนเหมันต์และเข้าใจมันอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็กลืนกินวารีวิญญาณลงไปอีกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มบ่มเพาะอีกครั้ง
เคล็ดวิชานกกระเรียนเหมันต์แบ่งออกเป็นเก้าระดับ มันบันทึกวิธีการบ่มเพาะตั้งแต่ดาวดวงที่หนึ่งไปจนถึงดาวดวงที่เก้าของขอบเขตตำหนักอินทนิล มันยังถูกเรียกว่าการแปรเปลี่ยนทั้งเก้าของนกกระเรียนเหมันต์และทุกการเปลี่ยนแปลงของดวงดาวเหล่านั้นย่อมเกิดจากปราณแท้
ผ่านไปอีกสามชั่วยาม
หลังจากหมุนเวียนภายในถึงแปดสิบเอ็ดรอบ ตามวิถีของการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกของเคล็ดวิชานกกระเรียนเหมันต์ ปราณแท้ทั่วร่างของเฉินซีก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ปราณแท้สีม่วงที่เขาควบแน่นจากเคล็ดวิชานภาม่วงตอนนี้ กลับกลายเป็นสีเงินกระจ่างใส ราวกับผลึกน้ำแข็งอันแสนงดงาม
ยิ่งไปกว่านั้น ปราณแท้ยังแผ่ความเยือกเย็นอย่างต่อเนื่องและทรงพลัง เมื่อมันไหลผ่านระหว่างเส้นชีพจร ราวกับมังกรน้ำแข็งที่กำลังบิดตัวไปมาและกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
เฉินซีลืมตาขึ้น จากนั้นเขาก็งอศอกแล้วชกไปยังอากาศ
กำปั้นส่งเสียงคำราม ในทุกที่ที่มันผ่านไป ทำให้เกิดรอยหมัดน้ำแข็งที่สะดุดตาปรากฏขึ้นในอากาศอย่างฉับพลัน จากนั้นภายในเคหาก็เต็มไปด้วยปราณเย็นยะเยือกในทันที
ปัง!
ผนังแข็งของที่พำนักเต็มไปด้วยชั้นน้ำแข็งเกาะอยู่และรอยหมัดก็ปรากฏอยู่บนตรงกลางผนัง
“อำนาจของเคล็ดวิชานกกระเรียนเหมันต์นั้นน่าเกรงขามตามที่คาดไว้ แม้แต่หมัดธรรมดาก็ทรงพลังได้ถึงขนาดนี้!” เฉินซีรู้สึกยินดีมาก
“ผู้อาวุโส ผู้น้อยคนนี้จะสามารถเข้าไปได้หรือไม่?” เสียงของมู่ขุยดังขึ้นจากข้างนอกเคหา
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินออกจากเคหามาด้วยตัวเอง เขามองไปยังมู่ขุยที่ยืนอยู่ในท่าโค้งคำนับและถาม “เกิดสิ่งใดขึ้น?”
เดิมทีมู่ขุยต้องการจะกล่าวอะไรบางสิ่ง แต่เมื่อจ้องมองไปยังเฉินซี เขารู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับภูเขาสูงตระหง่านที่ไม่อาจสั่นคลอน ทำให้เขาตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นจึงกล่าวแสดงความยินดีว่า “อา ท่านผู้อาวุโสได้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว ผู้ต่ำต้อยคนนี้ขอแสดงความยินดีกับท่านผู้อาวุโส”
เฉินซีขมวดคิ้ว “ถ้าเจ้ามีอะไรจะกล่าวก็ว่ามาเถอะ ข้าไม่ชอบให้คนอื่นยกยอ ดังนั้นอย่าทำแบบนี้อีกในภายภาคหน้า”
มู่ขุยพยักหน้ารับซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นเขาก็ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกระซิบว่า “ท่านผู้อาวุโส สหายของข้าบางคนต้องการพบกับท่าน พวกเขาเป็นสัตว์อสูรชั้นสูงที่บ่มเพาะอยู่ใกล้เคียงกับเทือกเขาวงจันทรา เมื่อพวกเขาพบว่าผู้อาวุโสได้ทะลวงผ่านสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล พวกเขาก็ต้องการมาแสดงความยินดีกับผู้อาวุโสโดยเฉพาะ ข้าจึงสงสัยว่าผู้อาวุโสจะพอมีเวลาไปพบพวกเขาได้หรือไม่”
“สัตว์อสูรที่บ่มเพาะอยู่ใกล้เคียง?” เฉินซีตกตะลึง แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นท่าทีไม่สบายใจบนใบหน้าของมู่ขุย เขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ชายผู้นี้คงเคยคุยโวเกี่ยวกับเรื่องของเขาให้กับสัตว์อสูรตัวอื่น ๆ ฟังเป็นแน่?