บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 640 ได้สมบัติมาโดยบังเอิญ
บทที่ 640 ได้สมบัติมาโดยบังเอิญ
บทที่ 640 ได้สมบัติมาโดยบังเอิญ
ครั้งหนึ่งในสมรภูมิบรรพกาล เฉินซีเคยเข้าไปบุกยังตระกูลซางด้วยตัวเองเพื่อช่วยชิงซิ่วอี้และเจิ้นหลิวชิงผู้ซึ่งตกอยู่ในเงื้อมมือของตระกูลซางออกมา และได้กวาดล้างบรรดาศิษย์ของตระกูลนั้นจนหมด
หากไม่ใช่เพราะมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีปกป้องซางเชวี่ยไว้ในอึดใจสุดท้าย เขาก็คงดับสิ้นไปนานแล้ว ไม่อาจเข้าสู่หอกระบี่สยบดวงใจได้
ซางเชวี่ยกลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงผู้เดียว
การปรากฏตัวของชายหนุ่มนามว่าเหวินเต้าหราน ทำให้เฉินซีนึกถึงซางเชวี่ยโดยพลัน สุดท้ายแล้ว เขาก็ยังไม่ได้กำจัดต้นตอของปัญหา การมีอยู่ของซ่างเชวี่ยจึงเป็นอันตรายที่พร้อมจะคืบคลานเข้ามาเสมอ
ซึ่งชายหนุ่มต้องการทราบจริง ๆ ว่า ซางเชวี่ยได้มาที่เมืองเหมันต์บรรพกาลหรือไม่ และถ้ามาจริง ก็จะสามารถหาโอกาสกำหราบภัยอันตรายนี้ให้สิ้นได้
ทว่าโชคไม่เข้าข้าง เมื่อเขามองหาเหวินเต้าหรานอีกครั้ง อีกฝ่ายก็หายไปเสียแล้ว เตาหลอมสวรรค์ที่ชำรุดอยู่ก็หายไปเช่นกัน
“ข้าได้ยินมาว่าในครั้งนี้ หอกระบี่สยบดวงใจนั้นมีปณิธานที่จะได้มาซึ่งสมบัติในเหวเงาทมิฬ พวกเขาได้ส่งศิษย์ชั้นยอดระดับสูงจำนวนมากโดยมีเหวินเต้าหรานเป็นผู้นำกลุ่ม”
“ย่อมใช่ เหวินเต้าหรานมีร่างกายที่ยอดเยี่ยมและประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในเจตจำนงกระบี่ จิตของเขาสามารถเปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นกระบี่ได้ ซ้ำยังทวีคูณพลังต่อสู้ได้ถึงหกเท่า!
“พลังต่อสู้หกเท่า? สวรรค์! หากมีพรสวรรค์เยี่ยงนี้ มันก็ต้องนับว่าเขาเป็นสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์เสียแล้ว ถูกต้องหรือไม่? ต่อให้อยู่ในท่ามกลางนิกายมหาเซียนทั้งสิบก็ตาม ก็คงมีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่มีพละกำลังเยี่ยงนี้”
“นี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น แม้ว่าการบ่มเพาะของเขาจะยังไม่ถึงระดับนั้น แต่ก็ใกล้มากแล้ว ในเมื่อเขาได้ทำการซื้อเตาหลอมสวรรค์ จึงไม่ต้องกังวลว่าเขาจะไม่หยั่งรู้ถึงมหาเต๋าแห่งมิติเมื่อก้าวไปสู่ขอบเขตเซียนปฐพี”
แม้ว่าเหวินเต้าหรานจะจากไปแล้ว ทว่าผู้คนก็ยังไม่อาจปกปิดความตื่นเต้นในใจหลังจากที่เห็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเยี่ยงนี้ได้ ไม่มีใครหยุดพูดถึงเขาแม้แต่คนเดียว
เฉินซีฉีกยิ้มเมื่อเขาได้ยินทั้งหมดนี้ ไม่ได้แสดงท่าทีเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เพราะเขาเคยเห็นอัจฉริยะที่โดดเด่นอีกหลายคนที่เทียบเท่ากับเหวินเต้าหราน ณ ตำหนักเมฆาครามชั้นสูงสุด ตัวอย่างเช่นฉิวจวิ้นแห่งนิกายอสูรวสันต์ยมโลก นักพรตเต๋าสุริยันชาดแห่งนิกายฟ้ากำเนิด เหลิงฉานเอ๋อร์แห่งนิกายวิถีกระแสสวรรค์และอีกมากมาย ดังนั้นเขาย่อมไม่แปลกใจ
“เอ๊ะ นี่มันอันใดกัน?” เฉินซีกำลังจะจากไป ทว่ามีสิ่งของบางอย่างตรงข้ามแผงลอยที่ดึงดูดความสนใจของเขาไว้
วัตถุนี้มีความยาวสี่ฉื่อ หนาเท่าหัวแม่มือ ดำสกปรก ปกคลุมด้วยอักขระยันต์ที่ชำรุด เป็นสิ่งของโบราณดูราวกับเอ็นปีศาจ
ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้บ่มเพาะที่กระจุกกันรอบร้านก็เริ่มสลายตัวออกไปหลังจากขายเตาหลอมสวรรค์เสร็จสิ้น มีเพียงไม่กี่คนที่ยังคงยืนอยู่โดยรอบ
“แย่เสียจริง นอกจากสำเนาเตาหลอมสวรรค์แล้ว หลาย ๆ สิ่งในแผงลอยนี้ดูเก่าและชำรุดไปหมด ไร้ซึ่งประโยชน์ใช้สอย” มีคนถอนหายใจพลางหยิบชิ้นส่วนทองสัมฤทธิ์ที่ชำรุดและใช้มือลูบมัน
“ไร้สาระ! ดูเอ็นปักษาทมิฬนี้สิ มันมีความยาวสี่ฉื่อ เป็นวัสดุที่หายากโดยแท้” ชายชราร่างผอมปฏิเสธทันที
เขาแสดงความรอบรู้พลางมองไปยังเฉินซีขณะกล่าว เห็นได้ชัดว่าสังเกตเห็นชายหนุ่มสนใจสมบัตินี้จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“พูดพล่ามน่า! นี่เป็นเพียงเส้นเอ็นอันสุดจะธรรมดาของมังกรปฐพีไม่ใช่หรือ? เพียงแค่ใส่อักขระยันต์ลงไปก็เรียกว่าเอ็นปักษาทมิฬได้แล้ว? คิดว่าจะมีไอ้โง่คนไหนถูกเจ้าหลอกได้กัน?” มีคนดูถูกเหยียดหยาม
ชายชราหัวเราะคิกคักพลางกล่าว “สหายนักพรตเต๋า อย่าพูดอะไรแบบนั้น สมบัติทั้งหมดในแผงนี้ล้วนมาจากดินแดนเร้นลับทั้งสิ้น มีมูลค่ามหาสาร เป็นสมบัติที่ว่าสั่นสะท้านทั่วโลกา แม้ว่าจะได้รับความเสียหายอยู่บ้าง แต่อาจมีสิ่งล้ำค่าซ่อนอยู่ก็เป็นได้ จากการคาดคะเนของข้า ของในดินแดนเร้นลับพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ตัวตนสำคัญ ๆ ในยุคบรรพกาลทิ้งไว้เบื้องหลัง”
ขณะที่กล่าว ชายชราก็เริ่มแนะนำวัตถุรูปร่างคล้ายเส้นเอ็นที่ดำสกปรกอีกครั้ง “เอ็นปักษาทมิฬนี้ได้มาจากดินแดนเร้นลับเช่นเดียวกัน จะไปเทียบกับเอ็นมังกรปฐพีอันต่ำต้อยได้อย่างไรกัน?”
“เอาล่ะ เลิกอวดดีได้แล้ว พวกข้าไม่ใช้พวกไร้ประสบการณ์ คิดว่าจะหลอกกันได้ง่าย ๆ หรือไร?”
“เหอะ! น่าตลกสิ้นดี! หากเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์เช่นเอ็นปักษาทมิฬจริง ๆ จะขายทิ้งไปเพื่ออะไร? เป็นถึงกับสมบัติล้ำค่าเชียวนะ หยุดต้มตุ๋นคนอื่นได้แล้ว”
ชายชราหัวเราะไม่หยุด เขารู้สึกหดหู่เล็กน้อยในใจ ของชิ้นนี้มาจากดินแดนเร้นลับจริง ๆ ทว่าหลังจากที่เขาตรวจสอบอย่างระมัดระวังก็สังเกตเห็นว่ามันเป็นเพียงวัสดุธรรมดา เป็นเส้นเอ็นของมังกรปฐพี จึงไม่พอใจเท่าไหร่นัก
เพราะท้ายที่สุด เขาได้พยายามอุตสาหะเพื่อค้นหาดินแดนเร้นลับซึ่งเดิมทีคิดว่าเป็นที่พำนักซึ่งตัวตนสำคัญในยุคบรรพกาลทิ้งไว้ จึงน่าจะมีสมบัติหายากและล้ำค่าอย่างยิ่งเก็บไว้ภายในนั้น แต่จะคาดได้อย่างไรกันว่าเศษขยะอย่างเส้นเอ็นมังกรปฐพีจะปรากฏขึ้นที่นั่น?
เฉินซีเดินไปหยิบเส้นเอ็นที่ดำสกปรกนี้ก่อนทำการตรวจสอบ มันช่างหนักอึ้งและเต็มไปด้วยความรู้สึกหนาวเย็นเมื่อสัมผัส แต่หลังจากที่เขาดูอย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มก็ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเป็นพิเศษ …เพราะมันดูไม่ต่างอะไรจากเส้นเอ็นมังกรปฐพี
ทว่าเขาจะไม่ยอมให้รูปลักษณ์ภายนอกหลอกตา เมื่อใช้เนตรเทวะแห่งความจริง ชายหนุ่มจึงทราบว่ามีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ในของชิ้นนี้
ในจังหวะนั้น ชายชราร่างผอมพลันกลับมามีชีวิตชีวาเมื่อเห็นเฉินซีสนใจของชิ้นนี้อย่างมาก และกล่าวว่า “สหายนักพรตเต๋า เจ้ามีสายตาที่เฉียบแหลม ในที่สุดเจ้าก็เห็นถึงความพิเศษของสมบัติชิ้นนี้ นี่เป็นวัสดุที่ยอดเยี่ยม ข้าไม่ต้องการสมบัติกึ่งเซียน เพียงแค่สมบัติวิเศษระดับสวรรค์ขั้นสุดยอดหนึ่งชิ้นก็พอแล้ว”
“เจ้านี่มันขี้โกงเสียจริง ยิ่งกว่าคนที่ชอบหลอกพวกที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เสียอีก เอ็นมังกรปฐพีแพงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่อง?” เฉินซียิ้มเย้ย
ผู้บ่มเพาะที่อยู่ใกล้เคียงหัวเราะดังลั่นทนัที ทำให้ชายชรารู้สึกอับอายขายหน้า
“นี่คือสมบัติวิเศษระดับปฐพี มันน่าจะเพียงพอสำหรับเอ็นมังกรปฐพีของเจ้า ใช่หรือไม่?” เฉินซีหยิบสมบัติวิเศษระดับปฐพีออกมาพลางกล่าว
“แค่นี้ก็… เกือบจะไม่พอแล้วนะ” ชายชราร่างผอมรู้สึกหนักใจ ทว่าการเคลื่อนไหวของเขานั้นไม่ช้า คว้าสมบัติวิเศษระดับปฐพีด้วยมือข้างหนึ่งก่อนที่จะส่งเอ็นด้วยอีกมืออีกข้างหนึ่ง
“เจ้าเด็กน้อย แผงลอยที่นี่ทำข้อตกลงทันที เมื่อมันหลุดออกไปจากมือแล้ว จะไม่สามารถเรียกกลับคืนได้” ชายชราร่างผอมตักเตือน
“เชิญ” เฉินซีพยักหน้ากล่าว
“ฮ่าฮ่า! ดี! ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ธรรมดาตั้งแต่แรกพบ! แล้วเจ้าต้องการอะไรอีกหรือไม่? ข้าสามารถลดราคาให้ได้นะ” ชายชราหัวเราะอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม สมบัติวิเศษระดับปฐพีเพียงพอที่จะซื้อเอ็นมังกรปฐพีได้เป็นโหล ราคานี้จึงเกินกว่าที่เขาประมาณไว้อย่างแน่นอน
เฉินซีส่ายศีรษะ หันหลังและจากไป
หลังจากที่เขาออกจากพื้นที่นี้ เฉินซีก็ตรวจดูบริเวณโดยรอบพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อสังเกตเห็นว่าไม่มีใครตามมา กล่าวตามตรง เขาค่อนข้างกังวลว่าจะมีคนรู้สึกทะแม่งหลังจากที่เขาซื้อของชิ้นนี้และอาจทำบางสิ่งบางอย่างเกินเลย
ตอนนี้เมื่อรู้สึกสบายใจ ชายหนุ่มจึงพลันคิดที่จะตรวจสอบสิ่งของที่ได้มา
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็มาถึงตำหนักเมฆาครามอีกครั้ง ทว่าเขาไม่ได้ขึ้นไปบนตำหนัก หากแต่นั่งขัดสมาธิข้าง ๆ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งแทน
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งต้นนี้มีขนาดมหึมา รากของมันปกคลุมพื้นดินราวกับที่พักตามธรรมชาติที่มีไว้สำหรับให้ผู้บ่มเพาะนั่งขัดสมาธิมาตั้งแต่เนิ่นนาน มีหลายคนหลับตาทำสมาธิและทำความเข้าใจในความล้ำลึกของมหาเต๋าวารีที่แผ่ออกมาจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งก็ไม่มากก็น้อย
เฉินซีนั่งขัดสมาธิท่ามกลางพวกเขา ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใคร ก่อนใช้เนตรเทวะแห่งความจริงตรวจสอบเอ็นที่ดำสกปรกชิ้นนี้อย่างระมัดระวัง
แค่เพิ่งจะเริ่มตรวจสอบอย่างระมัดระวัง เฉินซีก็สังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติแล้ว แม้เอ็นชิ้นนี้จะดูไม่พิเศษเลยแม้แต่น้อยเมื่อใช้ตามอง ทว่าเขากลับมองเห็นทุกอย่างละเอียดยิบเมื่อใช้เนตรเทวะแห่งความจริง
ภายในนั้นมีปราณที่ล้ำลึก อ้างว้าง และกว้างใหญ่ไหลอยู่ ซึ่งมันก็ถูกปกคลุมด้วยเส้นแสงแห่งสวรรค์ …แท้จริงแล้วมันคือปราณจ้าววิญญาณ! ซ้ำยังเป็นปราณจ้าววิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์อีกด้วย
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือมีเสียงฟ้าร้องแผ่วเบาและลมหวีดหวิวออกมาจากภายใน มันหลั่งไหลไปพร้อมกับปราณจ้าววิญญาณซึ่งดูแล้วช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
แท้จริงแล้ว นี่คือเอ็นเทพอสูรโบราณ! ดวงตาของเฉินซีเต็มไปด้วยความตกใจเมื่อเขารับรู้ถึงคุณสมบัติที่แท้จริงของสิ่งนี้…
มันเป็นเอ็นเทพอสูรโบราณที่แท้จริง!
เทพอสูรที่แท้จริงนั้นท่องไปอย่างอิสระในยุคบรรพกาลซึ่งอยู่เหนือทุกตระกูลในยุคนั้น มันสามารถดึงจันทราลงมาจากท้องฟ้าได้ และสายเลือดของมันก็สูงส่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เนื่องจากมันเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์
ดังนั้นเผ่าพันธุ์นี้จึงได้ชื่อว่า ‘เทพอสูร’ และไม่มีเผ่าพันธุ์อื่นใดในสามภพที่ได้รับเกียรติเช่นนี้!
ทักษะการกลั่นร่างที่ทุกสรรพสิ่งทำการบ่มเพาะอยู่นั้นล้วนมาจากเทพอสูรโบราณทั้งสิ้น นอกจากนี้ การบ่มเพาะทักษะการกลั่นร่างยังได้รับการจัดอันดับให้เท่าเทียมกับการบ่มเพาะปราณแท้อีกด้วย พวกมันถูกเรียกว่าทักษะการบ่มเพาะกายาเทพอสูร!
ทว่าหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดขึ้น เผ่าเทพอสูรที่แท้จริงพลันหายไปจากสารบบ ทำให้พวกมันหายากมาก และแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะพบร่องรอยของพวกมันในสามภพอีกต่อไป
เมื่อหลายปีก่อน เทพอสูรโบราณที่ปรมาจารย์ของจ้าวชิงเหอและวิปลาสหลิ่วจับได้นั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณของเทพอสูรโบราณที่เสียหาย ไม่ใช่เทพอสูรโบราณที่แท้จริง
ถึงกระนั้น เทพอสูรโบราณตนที่ว่าจากเมื่อหลายปีก่อนก็เกือบจะทำลายมรดกของตระกูลเฉินจนสิ้น อิทธิฤทธิ์ของมันน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ของที่ทุกคนตราว่าเป็นเอ็นมังกรปฐพี แท้จริงแล้วเป็นชิ้นส่วนเอ็นของเทพอสูรที่แท้จริง ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะตกใจ!
นี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่ต้องอาศัยโชคช่วยเท่านั้นจึงสามารถค้นพบได้ ไม่อาจแสวงหามา มันเกือบจะสูญสิ้นไปหมดแล้ว มูลค่าจึงสูงมากจนน่าตกใจ ยิ่งกว่าสมบัติกึ่งเซียนเสียอีก เพราะสมบัติกึ่งเซียนยังพอสรรหาวัตถุดิบมากลั่นได้บ้าง ทว่าสมบัติเช่นนี้จะหากลั่นที่ไหนก็ไม่ได้แล้ว!
ชิ้นส่วนที่ล้ำค่าที่สุดในเทพอสูรโบราณคือเส้นเอ็น กระดูก และโลหิตเทพอสูร ซึ่งเอ็นนี้ไม่เพียงแต่มีปราณจ้าววิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ยังถูกตราด้วยความล้ำลึกแห่งมหาเต๋าวายุและอัสนี หากถูกใช้กลั่นสายธนูทลายดารา พละกำลังของมันอาจเพิ่มพูนอย่างก้าวกระโดด! หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินซีก็นึกถึงสมบัติจ้าววิญญาณที่เขาแย่งชิงมาจากฉีอิ๋นเมื่อหลายปีก่อน นั่นคือธนูทลายดาราซึ่งกลั่นจากกระดูกของเทพอสูร ทว่ายังขาดสายธนูวิเศษทำให้ไม่สามารถดึงพลังที่แท้จริงของมันออกมาได้!!
ตอนนี้เขาได้เอ็นเทพอสูรมาโดยบังเอิญ ซึ่งพอใช้ทำสายธนูได้พอดี และหากเขากลั่นมันสำเร็จ พลังของธนูทลายดาราก็จะสูงจนน่าตกใจ!
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อน ว่าจะได้มาซึ่งสมบัติอันล้ำค่าเช่นนี้จากการที่เพียงเดินเล่นไปตามถนน นับได้ว่าเป็นความบังเอิญที่นำมาซึ่งโชคลาภโดยแท้” เฉินซีรู้สึกปลื้มปิติ ในใจของเขา รู้สึกประหลาดใจจากการได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าโดยที่คนอื่นไม่รู้คุณค่าที่แท้จริงของมัน
แต่ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณผลอันน่าอัศจรรย์ของเนตรเทวะแห่งความจริง ซึ่งสามารถมองทะลุความเป็นจริงและแยกแยะแก่นแท้ของทุกสิ่งได้ มันมีผลอัศจรรย์อันไร้ขอบเขต เฉินซีสูดลมหายใจเข้า ทำการฟื้นคืนสติ และระลึกว่าทั้งหมดนี้ต้องยกให้พลังที่น่าอัศจรรย์ของเนตรเทวะแห่งความจริง!!