บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 641 รายชื่อผู้เยี่ยมยุทธ์
บทที่ 641 รายชื่อผู้เยี่ยมยุทธ์
บทที่ 641 รายชื่อผู้เยี่ยมยุทธ์
หลังจากที่ยับยั้งความคิดของตนเองแล้ว เฉินซีก็มองไปรอบ ๆ จากนั้นเขาก็ควบคุมแรงกระตุ้นที่ปรารถนาจะขัดเกลาเส้นเอ็นเทพอสูร ก่อนที่ในที่สุดจะวางมันลงในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์
มีคนมากมายที่นี่ ดังนั้นหากเขาขัดเกลาสมบัติเช่นเส้นเอ็นเทพอสูรที่นี่ คงเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงการสังเกตเห็น และมันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่
หือ!?
เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหลับตาลง และนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เบื้องหน้าของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ จากนั้นจึงทำความเข้าใจต่อร่องรอยของมหาเต๋าแห่งวารีที่เล็ดลอดออกมาจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งนี้คู่ควรกับการที่เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ถือกำเนิดในยุคบรรพกาลโดยแท้ เพราะเพียงชั่วพริบตา เฉินซีก็รู้สึกถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งวารีที่ถาโถมเข้าสู่จิตใจของเขาอย่างมากมายและไร้ที่ติ อีกทั้งยังทำให้ความเข้าใจต่อเต๋ารู้แจ้งแห่งวารีลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ความรู้สึกเช่นนี้ราวกับว่าเขาจมอยู่ในน้ำที่ไหลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และทุก ๆ ส่วนของร่างกายก็สามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของน้ำได้อย่างชัดเจนและสมบูรณ์แบบ บางครั้งมันก็ไหลเชี่ยว บางครั้งมันก็ไหลริน บางครั้งมันก็ถาโถม และมันก็แสดงลักษณะของน้ำได้อย่างชัดเจน
ไม่มีสิ่งใดในโลกที่อ่อนโยนกว่าน้ำ และไม่มีการป้องกันใดที่ทำลายไม่ได้
เพียงประโยคเดียวก็ครอบคลุมความลึกล้ำทั้งหมดของมหาเต๋าแห่งวารี น้ำนั้นอ่อนโยนโดยธรรมชาติ แต่เมื่อมันรุนแรง มันก็สามารถทำลายภูเขาและทำให้โลกจมน้ำได้ ซึ่งมันก็นับได้ว่าเชี่ยวชาญในการโจมตีเช่นกัน
แต่ในเวลาไม่นาน เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าความลึกล้ำของน้ำที่เขาสัมผัสได้นั้น ลึกซึ้ง ลึกล้ำ และกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าที่เขาจะสามารถเข้าใจได้ และมันก็ครอบคลุมทุกสิ่งในโลก
ชายหนุ่มสามารถสัมผัสได้ว่า กลิ่นอายของน้ำนี้แฝงไปด้วยการหมุนเวียนของหยินและหยาง ซึ่งเปรียบเสมือนกับแสงสว่างและความมืด มันมีทั้งความหนักแน่นและความอ่อนโยนไปพร้อม ๆ กัน… ทำให้มันไร้ที่ติและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
“สรรพสิ่งล้วนถูกแบ่งออกเป็นหยินและหยาง แล้ววารีนี้จะถูกยกเว้นได้อย่างไรกัน? ในเมื่อมีวารีหยินสุดขั้ว ก็ย่อมมีวารีหยางสุดขั้วเช่นกัน วารีจากธาตุทองมีความยืนหยุดและเหนียวแน่น วารีจากธาตุไม้นั้นหลอมรวมรากฐาน…”
ความเข้าใจมากมายได้พรั่งพรูเข้าสู่หัวใจของเฉินซีเหมือนสายน้ำ ทำให้เขาจมดิ่งสู่สถานะที่ไร้ตัวตนต่อการรู้แจ้งถึงเต๋า ซึ่งความเข้าใจต่อมหาเต๋าวารีก็พุ่งทะยานพร้อม ๆ กับสิ่งนี้
หนึ่งวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น คลื่นเสียงฝีเท้าก็ใกล้เข้ามา และมันก็ตามมาด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวาย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เฉินซีตื่นขึ้นจากสถานะที่ลึกซึ้งของเขาในทันที
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้เขารู้สึกได้ ว่าถ้าตนเองยังคงทำสมาธิเพื่อทำความเข้าใจ ก็คงไม่ถึงหนึ่งเดือนที่เขาจะบรรลุความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งแห่งวารีจนถ่องแท้ ทว่าตอนนี้มันกลับถูกขัดจังหวะอย่างกะทันหัน ดังนั้นในใจของเขาจึงรู้สึกไม่ยินดีเลยสักนิด
“ใครกันที่บังอาจทำลายการบ่มเพาะของข้าเช่นนี้ ?! นี่พวกมันไม่รู้หรือ ว่าห้ามส่งเสียงดังที่หน้าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง?” เฉินซีพึมพำในใจ แต่เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อเงยหน้าขึ้นและมองไปรอบ ๆ เพราะแท้จริงแล้ว นั่นคืออันเวยที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา!
นางมีผมอันงดงามที่ปล่อยสยายลงมาบนไหล่ ผิวที่ขาวกระจ่างราวกับปุยหิมะ รูปลักษณ์ที่งดงาม อีกทั้งยังมีรูปร่างที่เพรียวบางและสง่าราวกับลายเส้นที่ยอดจิตรกรวาดไว้ได้อย่างสวยงามและสมบูรณ์แบบ กลิ่นอายอันไร้ตัวตนและไม่ธรรมดาของนาง ดลบัลดาลให้หญิงสาวดูเหมือนกับเทพธิดาที่เดินมาจากขอบฟ้า ซึ่งเปล่งประกายและสุกสกาวยิ่ง
หญิงงามผู้นี้มีรูปโฉมและรูปลักษณ์ที่สามารถพลิกอาณาจักรได้เพียงนางเดินผ่าน และนางก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนแก่บริเวณโดยรอบในทันที
เหล่าผู้บ่มเพาะที่แต่เดิมกำลังทำสมาธิเพื่อทำความเข้าใจ ต่างก็ไม่พอใจที่ถูกรบกวน แต่เมื่อเห็นหญิงงามเช่นนี้ปรากฏขึ้น พวกเขาก็ตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ และความไม่พอใจที่ผุดขึ้นในใจก็พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในขณะที่ดวงตาของพวกก็เริ่มลุกโชนด้วยแรงปรารถนา
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตัวเอง ไม่น่าแปลกใจที่เสียงโห่ร้องจะดังขึ้น หญิงงามอย่างอันเวยผู้งดงามราวกับเทพธิดาบนสวรรค์ ย่อมดลบันดาลให้เกิดความปั่นป่วนไม่ว่านางจะไปที่ใดก็ตามอยู่แล้ว!
“ข้าคงไม่ได้รบกวนต่อการทำความเข้าใจของเจ้าใช่หรือไม่?” อันเวยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด
“ไม่หรอก” เฉินซีส่ายศีรษะขณะที่เขายืนขึ้น จากนั้นชายหนุ่มก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ว่าแต่ท่านมาทำอะไรที่นี้หรือศิษย์พี่”
“โอ้ ข้าเพิ่งซื้อของเสร็จและเห็นเจ้าบ่มเพาะอยู่ที่นี่ ดังนั้นข้าจึงรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่พักที่ตำหนักเมฆาเยือกแข็ง แต่กลับมาที่นี่คนเดียวแทน” อันเวยอธิบายด้วยเสียงที่แผ่วเบา
เฉินซีลูบจมูกและยิ้ม “ที่นี่เงียบสงบ ดังนั้นข้าจึงรู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่ที่นี่”
ความคิดของอันเวยนั้นเฉียบแหลมมาก และนางก็สังเกตเห็นได้ทันที ว่าเฉินซีนั้นหาได้กล่าวด้วยความสัตย์จริง แต่นางก็ไม่ได้คาดคั้นและหยิบแผ่นหยกออกมา ก่อนจะส่งมันให้กับเฉินซี
นางยิ้มและอธิบาย “นี่คือข้อมูลที่ข้าเพิ่งซื้อมา และภายในนั้นได้บันทึกข้อมูลถึงตัวตนที่แข็งแกร่งบางคนที่ได้มาถึงเมืองเหมันต์บรรพกาลเมื่อไม่นานมานี้ จงเก็บรักษาไว้ เพราะเจ้าต้องรู้จักศัตรูพอ ๆ กับเจ้าต้องรู้จักตัวเอง เพื่อที่เจ้าจะสามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นหลังจากที่เจ้าเข้าสู่เหวเงาทมิฬ และเจ้าจะได้ไม่กระทำเกินไปถึงขั้นทำให้บุคคลที่แข็งแกร่งบางคนต้องขุ่นเคือง”
ในที่สุด เฉินซีก็ตระหนักได้ ว่าที่อันเวยไปจากตำหนักเมฆาเยือกแข็งก็เพื่อทำสิ่งนี้ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม เพราะเห็นได้ชัดจากสิ่งนี้ ว่าอันเวยได้พยายามเป็นอย่างมาก เพื่อให้การฝึกฝนภายในเหวเงาทมิฬเป็นไปอย่างปลอดภัย
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าอยากจะอยู่ที่นี่ งั้นข้าจะไปที่ตำหนักเมฆาเยือกแข็งก่อน แต่เจ้าอย่าได้ออกจากเมืองเหมันต์บรรพกาลโดยพลการ ตามข้อมูลที่ข้าได้มา เหวเงาทมิฬอาจจะปรากฏขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า” อันเวยสั่งก่อนที่จะหันหลังกลับและจากไปอย่างกระอักกระอ่วน
“อย่าได้กังวลศิษย์พี่อัน ข้าจะระวังตัว” เฉินซีประสานมือคารวะและมองดูอันเวยจากไป และเมื่อร่างที่สวยงามของนางหายไปในตำหนักเมฆาเยือกแข็ง เขาก็นั่งขัดสมาธิก่อนจะมองเข้าไปยังแผ่นหยกอย่างระมัดระวัง
“เหยียนสื้อซาน ศิษย์ชั้นยอดระดับสูงของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ มีพลังต่อสู้ถึงหกเท่า…”
“ซูเฟยอวี่ ศิษย์ชั้นยอดระดับสูงของนิกายหกจำนงอสูร มีพลังต่อสู้ถึงหกเท่า…”
“นิกายฟ้ากำเนิด…”
“นิกายอสูรวสันต์ยมโลก…”
“ตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง…”
แผ่นหยกแผ่นนี้เรียงรายไปด้วยชื่อและข้อมูลโดยละเอียด และพวกเขาเป็นทั้งศิษย์อันดับต้น ๆ ของนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบ หรือผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในนิกายอสูร ยิ่งกว่านั้น ยังมีรายชื่อของคนที่มีฝีมือร้ายกาจจากเผ่าต่าง ๆ ในยุคบรรพกาลและนิกายต่าง ๆ ที่ปลีกวิเวกอย่างสันโดษจากโลก
เมื่อลองนับดูคร่าว ๆ ปรากฏว่ามีถึงหลายพันคน และทุกคนต่างก็มีการบ่มเพาะที่ขอบเขตสถิตกายาเป็นอย่างน้อย!
นี่เป็นเพียงรายชื่อผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เดินทางมายังเมืองเหมันต์บรรพกาลเมื่อเร็ว ๆ นี้เท่านั้น และเมื่อเวลาผ่านไป ผู้เยี่ยมยุทธ์จากทั่วทุกสารทิศก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน
แน่นอนว่ามีคนเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ในรายชื่อที่ควรค่าแก่การที่เฉินซีให้ความสนใจ ยิ่งไปกว่านั้น คนกลุ่มนี้ยังถูกอันเวยคัดออกแล้วอย่างรอบคอบ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขานับรายชื่อนี้อย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มก็พบว่ามีรายชื่อเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่น่าสนใจ และชื่อของพวกเขาก็ปรากฏอยู่แถวหน้าสุดของรายชื่อ ตัวอย่างเช่น เหยียนสื้อซาน และเหลิงฉานเอ๋อร์จากนิกายวิถีกระแสสวรรค์ นักพรตเต๋าสุริยันชาดจากนิกายฟ้ากำเนิด ซูเฟยอวี่จากนิกายหกจำนงอสูร ฉิวจวิ้นจากนิกายอสูรวสันต์ยมโลก เป็นต้น
ซึ่งในทำนองเดียวกัน เฉินซียังเห็นชื่อที่คุ้นเคยอีกสองชื่อในรายชื่อนี้ ซึ่งคือซางเชวี่ยและเฟิงเจี้ยนไป๋ และทั้งสองคนต่างก็เป็นคนที่เขาตั้งใจจะกำจัด
ซางเชวี่ยนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง ในขณะที่เฟิงเจี้ยนไป๋เป็นศิษย์ของตระกูลเฟิง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยต่อสู้กับเขาในสมรภูมิบรรพกาล และความขัดแย้งของพวกเขาก็ดำเนินไปถึงจุดที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้ โดยในปัจจุบันเฟิงเจี้ยนไป๋ได้เข้าร่วมหอกระบี่สยบดวงใจ
ทว่าสิ่งที่ทำให้เฉินซีต้องผิดหวัง คือการที่เขาไม่พบชื่อของเจิ้นหลิวชิง ฟ่านอวิ๋นหลาน จ้าวชิงเหอ หลิงอวี๋ และคนอื่นๆ ในรายชื่อนี้ แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว ว่าคนเหล่านี้ล้วนเข้าร่วมกับนิกายที่มีมรดกโบราณอันยิ่งใหญ่ ซึ่งยิ่งใหญ่กว่านิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบและนิกายอสูรที่ยิ่งใหญ่ทั้งหก นอกจากนี้ นิกายเหล่านี้ก็ไม่ได้ปรากฏในโลกเป็นเวลานานมากแล้ว ดังนั้นจึงถือเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะไม่ได้ปรากฏตัวที่นี่
“มีผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมากที่เข้าร่วมการสำรวจเหวเงาทมิฬ ดังนั้นการแข่งขันจะต้องทวีความรุนแรงเป็นอย่างมาก ข้าสงสัยนักว่าผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลที่หม้อต้มใบจิ๋วต้องการนั้นอยู่ที่ใด และคงจะไม่เป็นการดีถ้ามีใครได้มันไปครอบครองก่อนข้า…” เฉินซีวางแผ่นหยกลง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อยในใจ จากนั้นสายตาของเขาก็มองไปยังต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งที่อยู่ข้างหลังอย่างครุ่นคิด
“ในขณะนี้ หม้อต้มใบจิ๋วควรจะอยู่ในมิติอิสระนั้น เพื่อปราบเสี้ยววิญญาณของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬภายในโลงศพทองสัมฤทธิ์ใช่หรือไม่?”