บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 645 แขกลึกลับ
บทที่ 645 แขกลึกลับ
บทที่ 645 แขกลึกลับ
ภายในหมู่เมฆ ดวงดาราพากันโคจร ในขณะที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ลอยละล่อง ปลดปล่อยวงแสงไร้ขอบเขต แต่กลับไม่อาจสลายเมฆแล้วหมอกหนานั่นไปได้
ในขณะที่พวกเขาเดินอยู่ภายในนั้น หมอกหนาก็บดบังทัศนวิสัยไปจนหมด ในขณะที่อีกาทองคำจำนวนมากและยักษ์น้ำแข็งส่งเสียงคำรามลั่นฟ้าดิน
เปลวเพลิงลุกโชนแผ่ขยายออกไปไกล ก่อตัวเป็นพายุเพลิงส่งเสียงหวีดหวิว ความเย็นเสียดแทงกระดูกปกคลุมฟ้าดิน ขู่คำรามโหมกระหน่ำไปทั่วบริเวณ
เฉินซียังสามารถสัมผัสได้ ว่าไม่ว่าจะเป็นพายุเพลิงหรือคลื่นน้ำแข็ง แค่สัมผัสก็มากพอให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาศูนย์สลายได้แล้ว ทำให้มันกลายเป็นสิ่งอันตรายยิ่งนัก
หากไม่อาจหาทางปลอดภัยเข้าสู่เหวเงาทมิฬจากตรงนี้ได้ เช่นนั้นก็นับว่าไปไม่กลับ กระทั่งผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพียังถูกบดขยี้จนสูญสลายเมื่อเผชิญหน้ากับตะวันและจันทราสุดขั้วที่โคจรไปมาเช่นนี้
“อ๊าก!”
“ช่วยด้วย!”
“ข้าไม่ยอมแพ้หรอก…”
เสียงร้องโหยหวนเป็นระลอกดังก้องขึ้นจากมหาสมุทรเมฆอยู่บ่อยครั้ง เป็นเสียงร้องเสียดแทงแก้ว ทำให้ทุกคนหวาดกลัว เพราะนั่นเป็นเสียงสุดท้ายของเราคนที่หาทางปลอดภัยเข้าไปไม่พบ
อย่างไรก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถค้นพบทางปลอดภัย ในขณะที่ตัวตนอย่างหลงเจิ้นเป่ยผู้มีเนตรวิญญาณมังกรอสรพิษก็หาได้ยากยิ่ง ดังนั้นผลีผลามเข้าไปมีแต่จะต้องพบกับความตายเท่านั้น
แต่ถึงจะรู้ดีอยู่แล้ว ก็ยังมีหลายคนที่ไม่อาจยับยั้งความโลภภายในใจไว้ได้ หมายอยากเข้าเหวเงาทมิฬเพื่อเสี่ยงโชคใหญ่ ดังนั้นจึงยอมรับความเสี่ยง ก้าวเข้าทะเลเมฆไป หวังว่าจะโชคช่วยแล้วผ่านไปได้
น่าเสียดายที่ความจริงนั้นไร้โชคช่วย สุดท้ายคนเหล่านั้นก็เหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ หากไม่ตายอย่างน่าสมเพชก็หลงอยู่ในหมู่เมฆเหล่านั้น ไม่อาจหลบหนีออกมาได้
“พวกนั้นประเมินความสามารถตนเองสูงเกินไป ไม่ใช่ว่าประเมินกำลังกันมาก่อนแล้วหรือ? ที่นี่คือเหวเงาทมิฬนะ จะเป็นสถานที่ที่คนธรรมดาเข้ามาได้อย่างไร?” หลงเจิ้นเป่ยนำทางอยู่ด้านหน้า อดส่ายหน้าไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง
แม้จะมีสมบัติมากมายซุกซ่อนอยู่ในเหวเงาทมิฬ แต่ก็มีอันตรายมากหลาย นับตั้งแต่บรรพกาลจนตอนนี้ ก็มีผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ เป็นความจริงอันโหดร้าย เยียบเย็น และไม่อาจปฏิเสธได้
“เจ้าพูดถูก หากเข้ามาโดยเตรียมการไม่มากพอคงมีแต่เอาชีวิตมาทิ้ง” อันเวยพยักหน้าเห็นด้วย ยิ่งมีสมบัติมาก ย่อมหมายความว่ามีความเสี่ยงสูงกว่า นับเป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้ตั้งแต่อดีตกาลแล้ว
“ศิษย์พี่หญิงอัน ท่านมีแผนอะไรหลังจากเราเข้าเหวเงาทมิฬไปได้แล้ว?” เฉินซีพลันถาม
“ย่อมต้องมุ่งหน้าไปดินแดนเร้นลับเงาทมิฬเพื่อหาชิ้นส่วนมหาเต๋า ผู้บ่มเพาะส่วนมากในครั้งนี้เข้าเหวเงาทมิฬไปก็เพื่อสิ่งนี้กันทั้งนั้น” อันเวยทัดผมดำไว้หลังหู เอ่ยด้วยเสียงไพเราะ “ในหมู่ความลึกล้ำแห่งมหาเต๋าที่ข้าทำความเข้าใจได้ มีอยู่สองอย่างที่ใกล้จะเข้าระดับสมบูรณ์แบบ หากข้าสามารถหาชิ้นส่วนมหาเต๋าของสองอย่างนี้ได้ ก็จะสามารถทำให้พละกำลังสูงขึ้นกว่าเดิมหกเท่าภายในเวลาอันสั้น!”
‘หกเท่าเลยหรือ?’ หลงเจิ้นเป่ยสะดุ้งในใจ รู้สึกประหลาดใจยิ่ง
ตอนนี้เขาทำได้เพียงห้าเท่าเท่านั้น ทั้งยังเข้ามาในเหวเงาทมิฬครั้งนี้ก็เพื่อหาชิ้นส่วนมหาเต๋าเพื่อทำให้ความเข้าใจเต๋ารู้แจ้งสมบูรณ์ และช่วยเสริมพละกำลังขึ้นได้
“เช่นนั้นศิษย์พี่หญิงอันก็เชี่ยวชาญจนได้พลังต่อสู้สี่เท่าแล้ว น่าชื่นชมจริง” เฉินซีอึ้งไป ราวกับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยอมรับสาวงามผู้มีท่าทีสูงส่งคนนี้
เขาย่อมประหลาดใจไม่ใช่น้อย เพราะเขาเข้าเป็นศิษย์ชั้นยอดพร้อมกับอันเวย แต่เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายก้าวสู่พลังสี่เท่าแล้ว!
สตรีผู้นี้สมควรเป็นศิษย์ชั้นสูงอันดับหนึ่งเมื่อตอนนั้นแล้ว เดิมทีความสามารถก็น่าตกใจมากอยู่แล้วแต่พรสวรรค์ยังไม่ธรรมดาอีกต่างหาก และหาได้ยากที่จะถ่อมตนมีความสุขุมนุ่มลึกเช่นนี้ ทำให้ผู้อื่นมองข้ามความสามารถไปได้ง่าย มองแต่รูปกายภายนอกที่งดงามของนางเพียงเท่านั้น
“เช่นนั้น… หลังจากได้ชิ้นส่วนมหาเต๋ามาแล้วเล่า?” เฉินซีอดถามไม่ได้ ในเมื่อเหวเงาทมิฬจะปรากฏขึ้นมาทุกหมื่นปีเท่านั้น ทั้งยังเข้ามาได้ยากลำบากเหลือแสน เขาจึงรู้สึกเสียดายหากเข้ามาแล้วรวบรวมเพียงชิ้นส่วนมหาเต๋า
เพราะอย่างไรในเหวเงาทมิฬก็ไม่ได้มีเพียงอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬเท่านั้น ยังมีสถานที่น่าพิศวงอย่างดินแดนรังสรรค์กระบี่และด่านแห่งความลึกล้ำอยู่ด้วย ทั้งยังมีมูลค่าสูงเกินดินแดนเร้นลับเงาทมิฬไปมากทีเดียว
อีกทั้งนอกจากสถานที่ทั้งสามแล้ว ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่าสถานที่อื่น ๆ ในเหวเงาทมิฬไม่ได้มีไม่ได้ซุกซ่อนความลับและสมบัติที่มากกว่าเอาไว้ รอให้ใครสักคนไปค้นพบพวกมันอยู่
“ข้าอยากไปเสี่ยงโชคที่อื่นเช่นกัน น่าเสียดายว่าที่ข้ารู้มาว่าหอกระบี่สยบดวงใจและนิกายฟ้ากำเนิดคุมอำนาจเหนือดินแดนรังสรรค์กระบี่อำนาจไปเป็นของตนเสียแล้ว อีกทั้งพวกเขายังมีเบาะแสมากมาย ที่พวกนั้นเข้าเหวเงาทมิฬมาในครั้งนี้ก็เพื่อเดินทางมายังดินแดนรังสรรค์กระบี่” ริมฝีปากอวบอิ่มของอันเวยเจียรอยยิ้มขื่นอยู่เล็กน้อย “น่าเสียดายที่เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนรังสรรค์กระบี่มากนัก ดังนั้นการยื่นมือเข้าแทรกโดยไม่ยั้งคิดมีแต่จะนำหายนะมาให้ คงไม่คุ้มกัน”
หอกระบี่สยบดวงใจและนิกายฟ้ากำเนิด?
ภาพผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสอง เหวินต้าวหรานและนักพรตเต๋าสุริยันชาดปรากฏขึ้นในใจเฉินซี เขาอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ หอกระบี่สยบดวงใจและนิกายฟ้ากำเนิดสมกับที่เป็นหนึ่งในสิบสำนักเซียนเสียจริง สามารถหาเบาะแสเกี่ยวกับดินแดนรังสรรค์กระบี่มาได้เช่นนี้
เท่าที่เขารู้ อันดับของกลุ่มอำนาจทั้งสองแห่งจากในสิบสำนักเซียนน่าจะอยู่ที่ห้าอันดับแรก ในขณะที่สำนักกระบี่เก้าเรืองรองของเขานั้นด้อยกว่า รั้งอยู่อันดับท้าย ๆ
แท้จริงแล้วนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเคยอยู่อันดับต้นมาเมื่อหลายปีก่อน แต่น่าเสียดายที่มีหลายเหตุปัจจัยทำให้ค่อย ๆ เสียความรุ่งโรจน์ไปในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา ทำให้อันดับลดหลั่นลงมาจนอยู่ในสถานะปัจจุบันเช่นนี้
“แล้วด่านแห่งความลึกล้ำเล่า?” เฉินซีถามขึ้นอีกครั้ง
อันเวยชะงักเมื่อได้ยินคำว่า ‘ด่านแห่งความลึกล้ำ’ แต่หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าทันที “ไม่ได้ ที่แห่งนั้นลึกล้ำยิ่งกว่าดินแดนรังสรรค์กระบี่เสียอีก เกือบจะเป็นสถานที่ในตำนานไปแล้ว ตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบันนี้ มีผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายเดินทางไปที่นั่น แต่ก็กลับมามือเปล่าไม่มีโอกาสได้เห็นแม้แต่เงามันด้วยซ้ำ พวกเราเองไม่สามารถหาตำแหน่งที่ตั้งมันได้หรอก โอกาสสำเร็จอย่างน้อยมากอีกต่างหาก”
“อาจจะไม่ใช่เช่นนั้น” หลงเจิ้นเป่ยพลันเอ่ย “จากข้อมูลที่ข้าได้มา การปรากฏตัวขึ้นของเหวเงาทมิฬจะมาถึงเมื่อทั้งสามภพใกล้จะเกิดกลียุค ซึ่งเป็นเหตุไม่ปกติยิ่ง เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายที่เร้นกายสันโดษคาดเดากันว่าจะมีโชคสะท้านฟ้าปรากฏขึ้นในเหวเงาทมิฬในครั้งนี้ เป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับด่านแห่งความลึกล้ำ”
“ข่าวนี้เป็นเรื่องจริงหรือ?” อันเวยดูประหลาดใจ ริมฝีปากสีแดงเผยอออกเล็กน้อย นัยน์ตาพลันเกิดประกายแสง ทำให้เกิดเป็นความงามล้ำที่แตกต่างออกไป
“ย่อมเป็นเรื่องจริง” หลงเจิ้นเป่ยยิ้มภูมิใจ ในใจอดรู้สึกภาคภูมิไม่ได้ เมื่อเห็นว่าคำพูดตนสามารถทำให้อันเวยประหลาดใจและสนใจเขาขึ้นมา มันก็ทำให้เจ้าตัวมีความสุขมาก
“เช่นนั้นศิษย์พี่หลงก็รู้ว่าด่านแห่งความลึกล้ำตั้งอยู่ตรงไหนงั้นหรือ?” เฉินซีถามขึ้น ขอสาบานต่อเทพเซียน เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เกิดปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น!
แต่เมื่อหลงเจิ้นเป่ยได้ยินคำนั้น เจ้าตัวก็รู้สึกแสลงหูเป็นอย่างยิ่ง ตวัดสายตามองไปทางเฉินซีทันที
“นั่นสิศิษย์พี่หลง หากมันเกี่ยวข้องกับด่านแห่งความลึกล้ำจริง เช่นนั้นเราก็สามารถเข้าไปค้นหาได้เช่นกัน ไม่แน่ว่าอาจได้อะไรติดมือกลับมาก็ได้” อันเวยกะพริบตาตอบ ดูมีความคาดหวังอยู่เล็กน้อย
“เอ่อ…” หลงเจิ้นเป่ยใบหน้าแข็งค้าง สีหน้าภาคภูมิเลือนหายไป จากนั้นก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ เขาไร้ทางเลือกและต้องยอมรับพร้อมรอยยิ้มขื่นว่า “ข้าเองก็แค่ได้ยินมาเท่านั้น ไม่รู้หรอกว่าแท้จริงแล้วด่านแห่งความลึกล้ำอยู่ที่ใด”
เมื่อเห็นว่าความหวังบนใบหน้าอันเวยค่อย ๆ สลายหายไป เขาก็รีบตบอกยืนยันว่า “ไม่ต้องห่วงไปศิษย์น้องหญิงอันเวย ข้อมูลนี้เชื่อถือได้แน่นอน เมื่อเราเข้าไปในเหวเงาทมิฬได้เมื่อไหร่ และหากเจ้าคิดอยากไปจริง ๆ เช่นนั้นถ้าสามารถช่วยเจ้าหาที่ตั้งของด่านแห่งความลึกล้ำได้!”
อันเวยส่ายหน้าแต่ไม่พูดอะไรอีก การได้ข้อมูลมาคือเรื่องหนึ่ง แต่จะหาตำแหน่งจริงของด่านแห่งความลึกล้ำมันจะยากมากมายเพียงใดกัน?
หลงเจิ้นเป่ยจึงมีสีหน้าเข้มขึ้นทันใดเมื่อเห็นท่าทางอันเวย ในขณะที่สายตาก็หันมองไปทางคนที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ ทว่าเมื่อเห็นว่าเฉินซีใช้นัยน์ตาใสซื่อมองกลับ หลงเจิ้นเป่ยจึงได้แต่รู้สึกโกรธเคืองอยู่ในใจ
เจ้าคนบัดซบนี่มันลางร้ายชัด ๆ! เจอมันแล้วมีแต่โชคร้าย! หลงเจิ้นเป่ยหดหู่เป็นอย่างยิ่งเมื่อสังเกตเห็นว่านับตั้งแต่ตนพบกับเฉินซี เขาก็พบเคราะห์มากมาย ซึ่งค่อนข้างแปลกอยู่พอสมควร
ที่หลงเจิ้นเป่ยไม่รู้ คือเฉินซีนั้นมีชื่อเล่นว่า ‘ตัวอับโชค’ มาตั้งแต่อยู่เมืองหมอกสนแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไป ตอนนี้เฉินซีได้ย่ำเท้าเข้ามาในแดนภวังค์ทมิฬแล้ว ตัวเขาไม่ใช่ชายหนุ่มผู้อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ดังนั้นชื่อ ‘ตัวอับโชค’ จึงยิ่งห่างไกลจากเขาไปเรื่อย ๆ ไม่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มยังเป็นผู้บ่มเพาะอัจฉริยะของราชวงศ์ซ่ง ดั่งตะวันยามเที่ยงวัน ชื่อเสียงกระฉ่อนทั่วใต้หล้า เป็นตัวตนที่ไม่อาจเอื้อมถึงของผู้บ่มเพาะหลายคนในราชวงศ์ซ่ง
แต่แน่นอนว่ามันก็เป็นเรื่องภายในราชวงศ์ซ่งเท่านั้น
ช่วงเวลาครึ่งปีในแดนภวังค์ทมิฬนี้ เขาเป็นเพียงศิษย์ชั้นยอดจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีชื่อเสียงดังก้องอะไร ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องมุมานะทำให้สำเร็จ
ฟ้าว! ฟ้าว!
จังหวะที่ร่างของทั้งสามกำลังค่อย ๆ หายไปในหมู่เมฆ ก็มีสองเงาร่างพลันปรากฏขึ้นอย่างไร้เสียงราวกับผี ดูแปลกประหลาดเป็นยิ่งนัก
เป็นบุรุษสตรีคู่หนึ่ง ตัวบุรุษสวมชุดยาวสีแดง มีร่างสูง ปล่อยผมยาวสยาย บนชุดยาวปักลายดูชั่วร้ายแต่ก็ไม่ชั่วร้าย ดูคล้ายปีศาจแต่ก็ไม่ใช่ปีศาจอยู่ เกิดเป็นลวดลายศักดิ์สิทธิ์ เผยกลิ่นอายหวาดหวั่นออกมา
“เหวเงาทมิฬ หากเราสามารถฉวยโอกาสนี้กวาดล้างศิษย์ชั้นยอดทั้งหลายจากขุมอำนาจในแดนภวังค์ทมิฬได้ก็คงดียิ่ง! จากนั้นจะได้ชิงเอาสมบัติทั้งหมดมา!” บนใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มผู้สวมชุดคลุมยาวสีทองเจือแววเหี้ยม เขามีนัยน์ตาคมดั่งกระบี่ ดูมีท่าทีชั่วร้ายยิ่ง
“ซวนเฉิน นายท่านสั่งการมาเองว่าภารกิจของเราคือการตามหาด่านแห่งความลึกล้ำและช่วงชิงเอาสมบัติลึกลับในนั้นมาให้ได้ ตอนนี้วางเรื่องอื่นลงก่อนเพื่อไม่ให้ตัวตนเปิดเผยก่อนเถอะ” สตรีผู้งดงามยิ่งข้างกายเอ่ยขึ้น นางสวมชุดคลุมสีทองเช่นกัน ดูมีท่าทีสง่างาม นางมีทรวดทรงองค์เอวอันงดงามและมีต้นขาอวบอิ่มที่ยาวกว่าสตรีทั่วไป ทำให้ยิ่งดูทั้งดงามและสง่างามขึ้นอีก
“หึ! ซวนขุย ไม่จำเป็นต้องเตือนข้าหรอก ข้าย่อมรู้ว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ” ซวนเฉินบ่นในลำคอเสียงเย็น นัยน์ตายิ่งฉายแววโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเก่า พลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากแดงเลือด กล่าวเสียงตื่นเต้นขึ้นว่า “แต่ด้วยพละกำลังของพวกเราแล้ว ถึงกำจัดพวกอ่อนแอเหล่านี้ได้หมด ก็ไม่ต้องกลัวจะเปิดเผยตัวตนหรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซวนขุยก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ ในใจแล้วไม่พูดอะไรต่อ
นางรู้นิสัยซวนเฉินดี คนผู้นี้กระหายเลือดนัก ยิ่งหลังจากได้เข้ามาในแดนภวังค์ทมิฬ ก็ไม่คิดหวังสิ่งอื่น เอาแต่จะกำจัดทุกคน ทั้งยังมีนิสัยเหี้ยมโหดไม่ฟังใคร เหมือนชายเสียสติที่ไม่อาจใช้สิ่งใดควบคุมได้
“ไปกันเถอะ วางเรื่องนี้ลงก่อนจนกว่าจะถึงเหวเงาทมิฬ!” ซวนเฉินสะบัดแขนเสื้อ พาซวนขุยไปด้วย ส่วนตัวเขากลายเป็นสายลมเย็นยะเยือกที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย