บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 655 นักโทษ
บทที่ 655 นักโทษ
บทที่ 655 นักโทษ
ณ เขตปฐพี
ทรายสีเหลืองปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน ในขณะที่พื้นดินก็ให้ความรู้สึกที่หนักอึ้ง และพายุทรายก็โหมกระหน่ำไปทั่วทุกหนทุกแห่ง การเดินในพื้นที่แถบนี้ให้ความรู้สึกราวกับแบกภูเขาทั้งลูกไว้บนบ่า มันเต็มไปด้วยสนามแรงโน้มถ่วงที่แปลกประหลาด หากคนธรรมดาหลงเข้ามาในที่แห่งนี้ ก็อาจจะถูกแรงกดดันจนเลือดลมไหลย้อนกลับออกจากทวารทั้งเจ็ด และร่างกายระเบิดเพราะทนรับแรงกดดันนี้ไม่ได้
สนามแรงโน้มถ่วงแปลกประหลาดเช่นนี้ แผ่กระจายออกมาจากแผ่นดิน ซึ่งเกิดจากพลังอันมหาศาลของมหาเต๋าแห่งปฐพี
ดังคำกล่าวที่ว่า แผ่นดินเปรียบเสมือนขุนนางที่สามารถอดทนต่อความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่และมุ่งมั่นที่จะแข็งแกร่งอยู่เสมอ ส่วนมหาเต๋าแห่งปฐพีก็เป็นจักรพรรดิของแผ่นดิน ซึ่งการดำรงอยู่ของมันก็หนาแน่นที่สุดในบรรดามหาเต๋าของธาตุทั้งห้า
ณ ใจกลางเขตปฐพี มีภูเขาขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านขึ้นไปบนท้องฟ้าราวหมื่นจั้ง มันยิ่งใหญ่และงดงามราวกับมังกรอาศัยอยู่ในที่แห่งนั้น และบริเวณโดยรอบของภูเขาก็พลุ่งพล่านไปด้วยพลังงานผันผวนที่น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก
มันคือกลิ่นอายของมหาเต๋าแห่งปฐพีที่ยิ่งใหญ่ น่าสะพรึงกลัวและหนักหน่วง กระแสพลังของมันเพียงสายเดียวก็สามารถบดขยี้เทือกเขาให้เป็นจุณได้แล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้น ภูเขาลูกมหึมานี้ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวของมหาเต๋าแห่งปฐพี และทำให้คนอื่น ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้มันอย่างเต็มที่ เพราะกลัวว่าจะถูกพลังงานที่หนักหน่วงบดขยี้จนแหลกสลาย
บริเวณโดยรอบของภูเขาลูกยักษ์ในเวลานี้แออัดไปด้วยผู้บ่มเพาะมากมาย กลุ่มผู้บ่มเพาะต่างแยกย้ายไปประจำจุดสำคัญต่าง ๆ ของภูเขา และพวกเขากำลังสะสมกำลังในขณะที่รอคอยที่จะปกป้องสถานที่แห่งนี้ไปจนตาย
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผู้บ่มเพาะกลุ่มใหญ่ที่มักจะทะยานมาจากท้องฟ้าอันไกลโพ้นและเข้าร่วมกับผู้คน ทำให้จำนวนคนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังไม่ขาดแคลนผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับสูงบางคน ซึ่งมีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ทุกคนที่อยู่ในตอนนี้ต่างตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า ชิ้นส่วนมหาเต๋าแห่งปฐพีจะต้องซุกซ่อนอยู่ในภูเขาขนาดมหึมาที่อยู่ตรงหน้าอย่างแน่นอน และมันกำลังจะปรากฏออกมาสู่โลกภายนอกในไม่ช้า แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้มาเพียงเพื่อชิ้นส่วนมหาเต๋า ทว่ากลับมีวัตถุประสงค์อื่นแฝงเร้นอยู่!
“ฮึ่ม! ไอ้สารเลวนี่ช่างอดทนเก่งจริง ๆ นี่มันยังสามารถอดกลั้นต่อการปรากฏตัวนี้ในเวลาเช่นนี้ได้ หรือว่ามันจะสังเกตเห็นว่าสถานการณ์ในตอนนี้อาจไม่ชอบมาพากล ดังนั้นจึงหนีไปแล้ว?”
“ไม่ต้องห่วง มันต้องมาอย่างแน่นอน!”
“ใช่แล้ว ข้าไม่เชื่อว่ามันจะไม่สนใจชีวิตของเหล่าศิษย์ร่วมนิกาย เพราะถ้ามันกล้าทำเช่นนั้นจริง ๆ แล้วละก็ ข้ามั่นใจว่าแม้แต่นิกายของมันก็จะไม่ปล่อยมันไปเป็นอันขาด!”
“หึ หึ หึ ไม่สิ่งใดจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
เสียงพูดคุยดังขึ้น ในขณะที่สายตาของคนส่วนใหญ่มักจะกวาดไปทางเดียวกัน และดูจะแฝงไปด้วยเจตนาร้าย
ซึ่งทิศทางนั้นก็มีเพียงชายหนุ่มกับหญิงสาวยืนอยู่ตามลำพัง ชายหนุ่มคนนั้นหล่อเหลาและสง่าผ่าเผย ส่วนหญิงสาวก็งดงามราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ อีกทั้งยังมีกลิ่นอายที่มองไม่เห็นอยู่จาง ๆ
หนุ่มสาวคู่นี้ย่อมคือหลงเจิ้นเป่ยกับอันเวย
เมื่อถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน สีหน้าของทั้งสองก็ดูหนักอึ้งเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาได้ยินการสนทนาของผู้คนที่อยู่โดยรอบ ซึ่งมองว่าพวกเขาเป็นลูกแกะตัวน้อยที่รอจะถูกเชือด มันทำให้พวกเขารู้สึกเดือดดาลในใจเป็นอย่างมาก
เพราะนับตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะจนมาถึงตอนนี้ พวกเขาไหนเลยจะเคยถูกปฏิบัติเช่นตอนนี้ได้?
“ฮึ่มม! ข้าไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากเข่นฆ่าไอ้สารเลวพวกนี้! พวกมันกล้าทำกับเราเช่นนี้จริง ๆ! ตราบใดที่ข้าสามารถหลุดพ้นจากการปิดล้อมนี้ได้ ข้าจะจัดการกับพวกมันไปทีละคน ทำให้พวกมันทั้งหมดต้องคร่ำครวญถึงมารดาของพวกมันทั้งคืนวัน!” ใบหน้าของหลงเจิ้นเป่ยมืดมน เขากัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชัง
ในฐานะที่เป็นศิษย์อันดับต้น ๆ ในหมู่ศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เขามักได้รับการสรรเสริญและชื่นชมอยู่เสมอ ซึ่งไม่ว่าจะไปยังที่ใดก็ตาม เขาจะได้ทุกสิ่งตามใจต้องการอยู่ตลอดเวลา แต่ในตอนนี้หลงเจิ้นเป่ยกลับถูกปฏิบัติเหมือนนักโทษที่รอการลงทัณฑ์ ผู้คนต่างเย้ยหยันพร้อมกับเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาอย่างไร้ความเกรงกลัว ความแตกต่างเช่นนี้ทำให้ชายหนุ่มไม่ต้องการสิ่งใด นอกจากเข่นฆ่าสังหารพวกมันให้หมดสิ้น!
“การกล่าวเช่นนี้มีประโยชน์อันใดในตอนนี้? ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนมาจากกองกำลังต่าง ๆ ของแดนภวังค์ทมิฬ และเพื่อจับกุมศิษย์น้องเฉินซี พวกมันหาได้ใส่ใจว่าพวกเราเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองหรือไม่…” อันเวยส่ายศีรษะไปมา
เมื่อกล่าวถึงเฉินซี หลงเจิ้นเป่ยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นเขาก็ถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ที่ผ่านมา ข้าถือว่าศิษย์น้องเฉินซีเป็นเพียงคนที่โชคดีและไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง แต่ข้ากลับนึกไม่ถึงว่าเขาจะทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่วดินแดนเร้นลับเงาทมิฬ และทำให้คนของกองกำลังต่าง ๆ ต้องคลุ้มคลั่งด้วยเกลียดความชัง ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นความสามารถประเภทหนึ่ง เพราะจะมีคนธรรมดาคนไหนที่เทียบเขาได้?”
ถึงแม้มันจะดูเหมือนคำเยาะเย้ย แต่น้ำเสียงของชายหนุ่มก็เต็มไปด้วยความชื่นชม ราวกับเขาภูมิใจในตัวของเฉินซี เพราะนับตั้งแต่อีกฝ่ายได้ช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อวันก่อน เขาก็ยอมรับเฉินซีเป็นศิษย์น้องแล้ว และหลงเจิ้นเป่ยก็ไม่มีความรู้สึกคิดร้ายต่อชายหนุ่มอีกต่อไป
“ศิษย์น้องเฉินซีไม่ใช่คนที่ปุถุชนทั่วไปจะเทียบได้จริง ๆ” อันเวยเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้น ความมั่นคงก็ปรากฏบนใบหน้าที่งดงามของนาง “ศิษย์พี่หลง ที่พวกเราถูกขังอยู่ที่นี่ ก็เป็นเพราะคนพวกนั้นต้องการใช้พวกเราเป็นเหยื่อล่อ และตั้งตารอให้ศิษย์น้องเฉินซีตกลงไปในกับดับเอง หากสิ่งนี้เกิดแล้วละก็ ไม่ต้องกล่าวถึงศิษย์น้องเฉิน แม้แต่พวกเราก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
“หากเป็นเช่นนั้น แล้วศิษย์น้องหญิงอันคิดว่าเราควรทำอย่างไรดี?”หลงเจิ้นเป่ยเอ่ยปากถาม
“ในเมื่อศิษย์น้องเฉินยังไม่มา พวกเราควรรวมพลังเพื่อฝ่าวงล้อมออกไป!” อันเวยนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะกล่าวช้า ๆ และดวงตาของนางก็แสดงเจตนาฆ่าอันเลือดเย็น
“ตกลง! เราจะทำเช่นนั้น ข้าจะสู้สุดกำลัง และแม้ว่าจะต้องตาย แต่ข้าจะส่งศิษย์น้องหญิงอันออกไปให้จงได้!” หลงเจิ้นเป่ยสูดหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยท่าทางที่แน่วแน่ ขณะกล่าวด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว
“ศิษย์พี่ใหญ่หลง ท่าน…” อันเวยตกตะลึง เพราะนางไม่เคยนึกมาก่อนว่าหลงเจิ้นเป่ยจะกล่าวเช่นนี้ออกมาจริง ๆ
ทว่าชายหนุ่มกลับยิ้มเพียงเล็กน้อยและขัดจังหวะนาง “ศิษย์น้องหญิงอันไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีก ข้าไม่ได้ทำสิ่งนี้เพียงเพื่อเจ้าหรือเฉินซีเท่านั้น แต่ยังเพื่อนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเราเช่นกัน!”
“เพื่อนิกายหรือ?” เมื่อตระหนักได้ถึงสิ่งนี้ หญิงสาวก็รู้สึกสะเทือนใจและมึนงงเป็นอย่างมาก
“ใช่แล้ว บางทีพวกเราทุกคนอาจไม่เชื่อในความแข็งแกร่งของกันและกันเมื่ออยู่ในนิกาย และต่างแข่งขันกันเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เมื่อออกจากนิกาย เราก็นับเป็นตัวแทนของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง! พวกเราต่างร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ว่าจะดีหรือร้าย ดังนั้นเราจึงควรต่อสู้เพื่อเกียรติยศของนิกาย!”
“ถูกต้อง ทุกสิ่งก็เพื่อนิกาย!” หลงเจิ้นเป่ยพยักหน้าเห็นด้วย ซึ่งท่าทางของเขาก็มั่นคงและแน่วแน่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
“หึ! คิดจะเสี่ยงชีวิตสุนัขของพวกเจ้าหรือ?” ทันใดนั้น เสียงเย้ยหยันก็ดังขึ้นมาจากระยะไกล และขัดจังหวะความคิดของพวกเขาทันที
เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้น ก็เห็นชายหนุ่มชุดขาวกำลังเดินเข้ามา คนผู้นี้คือชายหนุ่มรูปงามที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ซึ่งก้าวย่างด้วยฝีเท้าที่มั่นคง เขามีผิวขาวราวกับหยก ดวงตาลึกล้ำราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และผมสีดำขลับหนาแน่นที่ปล่อยลงมาอย่างหลวม ๆ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้เขามีลักษณะที่ไม่มีผู้ใดเหมือน
“เฟิงเจี้ยนไป๋? นี่เจ้ากล้าปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีกหรือ? เจ้าสวะน่ารังเกียจ!” เมื่อเห็นหน้าของคนผู้นี้อย่างชัดเจน ดวงตาของหลงเจิ้นเป่ยก็เต็มไปจิตสังหาร เพราะเขารู้ว่าคนผู้นี้คือใคร
คนผู้นี้มาจากนิกายฟ้ากำเนิด และเป็นศิษย์น้องของนักพรตเต๋าสุริยันชาด แต่ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ก็มิอาจเทียบกับผู้เป็นศิษย์พี่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับเขาที่สามารถบดขยี้เศษสวะคนนี้ได้อย่างง่ายดาย
คิ้วอันงดงามของอันเวยขมวดเข้าหากัน เช่นเดียวกับความเกลียดชังที่ฉายวาบอยู่ในดวงตาของนาง เหตุผลที่พวกเขาทั้งสองมายังเขตนี้ ก็เป็นเพราะถูกคนผู้นี้หลอกลวงมา!
ส่วนเหตุผลนั้นก็ง่ายดายมาก อีกฝ่ายเป็นศิษย์ของนิกายฟ้ากำเนิด และได้อ้างชื่อของนักพรตเต๋าสุริยันชาด บอกว่าตนนั้นรู้ถึงที่ซ่อนตัวของเฉินซี ดังนั้นจึงอยากพาพวกเขาไปรวมตัวกับเฉินซี แต่พวกเขาไหนเลยจะคาดคิดว่า หลังจากมาถึงสถานที่แห่งนี้ พวกเขากลับตกหลุมพลางที่วางเอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว!
“พี่หลง ตามการคาดการณ์ของข้า เฉินซีจะรีบมารวมตัวกับพวกเจ้าทั้งสองคน ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นการหลอกลวงกระมัง?” เฟิงเจี้ยนไป๋ยักไหล่ในขณะที่กล่าวด้วยท่าทางไร้เดียงสา
“นี่เจ้ายังกล้าแก้ตัวในเวลาเช่นนี้อีกหรือ? หรือคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าจริง ๆ หรือ!?” หลงเจิ้นเป่ยขมวดคิ้วแน่น ในขณะที่สายตาเย็นยะเยือกก็จับจ้องไปที่อีกฝ่ายเหมือนสายฟ้าแลบ และเขาก็แผ่กลิ่นอายอันกดดันออกมา
“พี่หลง หากเจ้าคิดลงมือ บางทีเจ้าอาจไม่ได้พบกับเฉินซีอีกตลอดไป” เฟิงเจี้ยนไป๋ไม่ได้โกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย เขายักไหล่และมองโต้ตอบกลับไป
มีชายหนุ่มในชุดสีดำกำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่บนก้อนหินโดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ทั่วทั้งร่างกายของเขาก็ดูเหมือนจะหลอมรวมกับฟ้าดินและแผ่กลิ่นอายที่มิอาจอธิบายได้ออกมา
ถึงแม้เขาจะดูสงบนิ่ง แต่กลับให้ความรู้สึกที่น่ากลัวและหยั่งไม่ถึงแก่ผู้คน เขาเป็นเหมือนพยัคฆ์ร้ายที่เก็บงำพลังเอาไว้ และใครก็ตามที่ทำให้มันโกรธ คนผู้นั้นย่อมต้องประสบกับภัยร้ายแรงอย่างแน่นอน
หลงเจิ้นเป่ยเองก็สังเกตเห็นชายหนุ่มที่สวมชุดสีดำคนนี้เช่นกัน และดวงตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อย หากแต่ใบหน้าของเขากลับไม่มีความกลัวใด ๆ แม้จะรู้ว่าชายคนนี้คือตัวประหลาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของนิกายวิถีกระแสสวรรค์… เยี่ยนสือซาน!
นี่คือตัวประหลาดที่เลือดภายในกายเต็มไปด้วยความปรารถนาจะต่อสู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเขามักจะท้าประลองกับผู้คนไปทั่วทุกสารทิศ แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยประสบกับความพ่ายแพ้เลยสักครั้ง เขาเป็นคนที่ทุกคนในรุ่นต่างรู้จักดี อีกทั้งยังดุร้ายและแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ถึงแม้หลงเจิ้นเป่ยจะไม่กลัว แต่ก็ตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า ตนเองไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะคนผู้นี้ได้!
“แท้จริงแล้ว การกระทำของเจ้าไม่เพียงแต่ไม่ได้รับความยินยอมจากนักพรตเต๋าสุริยันชาด ซึ่งเป็นศิษย์พี่ของเจ้า ทว่าเจ้ายังร่วมมือกับนิกายวิถีกระแสสวรรค์และกองกำลังอื่น ๆ ด้วยความตั้งใจที่จะส่งเราไปสู่หายนะ?” อันเวยกล่าวออกมาทันที
“ฮึ่ม! เจ้ากำลังกล่าวถึงการร่วมมืออะไร? ไร้สาระ!” เฟิงเจี้ยนไป๋ตกตะลึงก่อนที่จะเย้ยหยัน และไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม เขาจะไม่มีวันยอมรับมันเป็นอันขาด เพื่อที่จะไม่ให้กลายเป็นที่ดูถูกของผู้อื่น
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ อันเวยก็พอจะยืนยันการคาดเดาของนางได้คร่าว ๆ และหัวใจของหญิงสาวก็กลายเป็นหนักอึ้งทันที เพราะแม้แต่นิกายฟ้ากำเนิดและนิกายวิถีกระแสสวรรค์ก็เข้ามาแทรกแซงในสถานการณ์เช่นนี้ จึงเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะปล่อยพวกนางไป
“ข้าแนะนำให้พวกเจ้าทั้งสองอยู่ที่นี่เงียบ ๆ อย่างเชื่อฟัง ในตอนนี้ มีกองกำลังมากกว่าสิบแห่งมารวมตัวกันที่นี่แล้ว และพวกเขาก็มีจำนวนมากกว่าหลายร้อยคน ซึ่งหลายคนในนั้นก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ พวกเจ้าคิดว่าจะสามารถฝ่าเส้นทางที่นองไปด้วยเลือดสายนี้ได้หรือ?”
เฟิงเจี้ยนไป๋ยิ้มกว้างขณะที่กวาดสายตามองคนทั้งสอง ซึ่งสามารถสัมผัสได้ถึงการคุกคามจากน้ำเสียงของคนผู้นี้ และทันทีที่กล่าวจบ เจ้าตัวก็หันหลังกลับและจากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองพวกเขาอีก
“แม้แต่เศษสวะตัวเล็ก ๆ จากนิกายฟ้ากำเนิด ยังกล้าที่จะท้าทายข้า ช่างเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า ผู้สูญเสียตำแหน่งจะต้องเผชิญกับการดูหมิ่นโดยแท้” สีหน้าของหลงเจิ้นเป่ยมืดมนยิ่ง และเขาไม่ต้องการสิ่งใด นอกจากเพิกเฉยทุกสิ่งทุกอย่างและเปิดฉากเข่นฆ่ามันทุกผู้ที่ขวางหน้า!
“ศิษย์พี่หลงอย่าได้ใจร้อน ใครจะแน่ใจได้ว่าไม่มีร่องรอยแห่งความหวังจนกว่าจะถึงที่สุด” อันเวยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามยับยั้งความกังวลในใจของนาง จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “แม้ว่าจะไม่มีความหวัง เราก็ไม่อาจตายเช่นนี้ได้ อย่างน้อยที่สุด… เราจะต้องลากพวกมันไปตายด้วย!”
หลงเจิ้นเป่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เด็ดเดี่ยว และเขาพร้อมที่จะต่อสู้จนตัวตาย!
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้บ่มเพาะก็หลั่งไหลเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมีจำนวนเกือบพันคน พวกเขาทั้งหมดต่างลาดตระเวนโดยรอบของภูเขาลูกใหญ่ ในขณะที่มองไปยังระยะไกลเป็นระยะ ๆ และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังรอให้ใครบางคนปรากฏตัว!
…บรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกขณะ ราวกับพายุมรสุมกำลังจะมาในไม่ช้า
“กับดักได้ถูกวางไว้แล้ว เจ้าเด็กบัดซบนั่นจะมาหรือไม่?”
ความอดทนของทุกคนค่อย ๆ จางหายไปทีละน้อย พวกเขาต่างหมดความอดทนและกระวนกระวาย ซึ่งแม้แต่สายตาที่จดจ้องไปยังอันเวยกับหลงเจิ้นเป่ยก็ไม่เป็นมิตรมากขึ้นเรื่อย ๆ!