บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 66 สยงผี
บทที่ 66 สยงผี
บทที่ 66 สยงผี
ราชาวานรทมิฬแห่งถ้ำวารีกระซิบ?
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันไร้สาระอยู่ในใจ นั่นเป็นหนึ่งในเจ็ดราชาอสูรผู้ยิ่งใหญ่ สยงผีผู้นี้ประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว!
“ท่านผู้อาวุโสเฉินซี ขอบคุณสำหรับการต้อนรับในวันนี้ พวกข้าต้องขอตัวลาไปก่อน”
“ใช่แล้ว ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องไปจัดการ และจะมารบกวนท่านผู้อาวุโสในวันอื่น”
“ลาก่อน!”
ไม่ใช่แค่เฉินซี การแสดงออกของสัตว์อสูรตัวอื่นก็เปลี่ยนไปอย่างเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่สยงผีกล่าว พวกมันรีบกล่าวคำอำลากับเฉินซีและจากไปทันทีราวกับว่าพวกมันกำลังหลีกเลี่ยงโรคระบาด ตั้งแต่ต้นจนจบพวกมันไม่ได้มองสยงผีเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มู่ขุยอดไม่ได้ที่จะวิตกกังวลเมื่อเห็นสิ่งนี้ และชิงกล่าวออกไปอย่างรวดเร็วว่า “ท่านผู้อาวุโสเฉินซี ราชาวานรทมิฬนั้นปกครองพื้นที่ห้าร้อยลี้ในบริเวณใกล้เคียง และมีการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิลที่น่าสะพรึงกลัว! แม้ว่ากระบี่ไผ่ทองคำนิลจะล้ำค่านัก แต่สยงผีผู้นี้กำลังประสงค์ร้ายแก่ท่าน ดังนั้นท่านไม่ควรยอมรับคำขอของเขา!”
เฉินซีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เขาจึงเพียงจ้องมองไปยังสยงผีเท่านั้น
ในตอนนี้เฉินซีได้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว กลิ่นอายโดยรอบของเขาดูเหมือนจะไม่แยแสต่อสิ่งใด และมันเต็มไปด้วยร่องรอยของพลังกดดันที่น่าเกรงขามจากการผสานกันของสวรรค์และโลก
สยงผีอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์เท่านั้น และเขาก็ยอมจำนนต่อแรงกดดันทางสายตาของเฉินซีในทันที เขาส่ายหัวและถอนหายใจพร้อมเอ่ยว่า “ลืมมันไปเสียเถอะ หากท่านผู้อาวุโสไม่เต็มใจ งั้นก็ถือว่าข้าไม่เคยกล่าวถึงมันเถิด” ขณะที่เขากล่าว อสูรหมีที่สูงและแข็งแกร่งตัวนี้เผยให้เห็นร่องรอยความสิ้นหวังและความเศร้าโศกที่หาได้ยาก จากนั้นเขาจึงหันหลังกลับและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“บอกเหตุผลได้หรือไม่” เฉินซีเอ่ยถาม
“น้องชายของข้าตายอย่างอนาถด้วยน้ำมือของราชาวานรทมิฬ ในฐานะพี่ใหญ่ ข้าจะแก้แค้นให้เขาไม่ได้หรือ?” สยงผีหยุดนิ่งและกล่าวออกมาทีละคำหลังจากผ่านไปนาน ด้วยน้ำเสียงเชื่องช้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความขุ่นเคือง
น้องชาย?
จู่ ๆ เฉินซีก็นึกถึงเฉินฮ่าวน้องชายของเขาเอง เมื่อนึกถึงฉากที่เห็นแขนขวาของเฉินฮ่าวถูกทำให้พิการที่นอกเมืองหมอกสน อีกทั้งความรู้สึกเจ็บปวดที่เขาได้รับในตอนนั้น ทำให้เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
‘นี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว เสี่ยวฮ่าวจะได้เข้าสู่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้วหรือไม่หนอ แต่การมีอาจารย์เมิ่งคงร่วมเดินทางไปด้วย เขาคงไม่น่าจะประสบกับเหตุร้ายกระมัง?’
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้าสงสัยมากว่า เหตุใดเจ้าถึงมั่นใจว่าข้าจะสามารถฆ่าราชาวานรทมิฬได้? ข้าอยากรู้เหตุผลของเจ้า”
สยงผีหันกลับมาอย่างรวดเร็วและกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ท่านผู้อาวุโส ท่านยินดีช่วยข้าอย่างนั้นหรือ?”
มู่ขุยที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ขมวดคิ้วขณะที่เขากล่าว “เฒ่าสยง เจ้าคิดว่าท่านผู้อาวุโสเฉินซีจะยินยอมตกลงโดยที่ไม่รู้อะไรเลยหรือ?”
สยงผีสูดหายใจเข้าลึกราวกับว่าเขากำลังควบคุมความตื่นเต้นในใจและกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ราชาวานรทมิฬผู้นั้นอ่อนแอที่สุดในบรรดาราชาอสูรทั้งเจ็ด แม้ว่าเขาจะบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลเมื่อนานมาแล้ว แต่ปัจจุบันนี้เขาบ่มเพาะไปได้เพียงแต่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสี่ดาราเท่านั้น”
มู่ขุยหัวเราะด้วยความโกรธอย่างสุดขีด “ท่านผู้อาวุโสเฉินซีเพิ่งทะลวงสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล และเจ้าต้องการให้เขาฆ่าราชาวานรทมิฬผู้มีการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสี่ดาราให้แก่เจ้าน่ะหรือ?”
ท่าทางของสยงผียังคงไม่ได้เปลี่ยนไปขณะที่เขากล่าวต่อว่า “ข่าวนี้ไม่อาจช่วยเหลือท่านผู้อาวุโสได้จริง ๆ แต่ข้ารู้สึกว่าท่านผู้อาวุโสจะต้องเผชิญหน้ากับราชาวานรทมิฬในไม่ช้าก็เร็ว ภูเขาลูกหนึ่งไม่อาจมีเสือสองตัวได้ ข้าเกรงว่าท่านผู้อาวุโสย่อมเข้าใจตรรกะนี้ดีกว่าข้า”
“นอกจากนี้ ข้าได้รับข่าวมาว่าหลีหู่เสียชีวิตภายใต้เงื้อมมือของท่าน หลีหู่ผู้นี้เป็นคนสนิทที่เชื่อถือได้และเป็นหูตาให้แก่ราชาวานรทมิฬ อีกทั้งยังช่วยราชาวานรทมิฬลาดตระเวนดินแดนเขามาโดยตลอด ตอนนี้หลีหู่ตายแล้ว ราชาวานรทมิฬจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างเด็ดขาด” สยงผีกล่าวย้ำอีกครั้ง
“หลีหู่เป็นคนสนิทที่เชื่อถือได้และเป็นหูตาแก่ราชาวานรทมิฬ? เป็นไปไม่ได้ ข้าจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” มู่ขุยอุทานร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนกและดูไม่เชื่อถือ หากเป็นอย่างที่สยงผีกล่าวมา เขาก็คงตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน ท้ายที่สุดหลีหู่ได้เสียชีวิตบนเทือกเขาวงจันทรา และเป็นที่รู้กันทั่วไปว่ามู่ขุยมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเฉินซี…
“หลีหู่จะเป็นหูตาแก่ราชาวานรทมิฬได้อย่างไรหากเจ้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา?” สยงผีถามกลับ
ขณะนี้มู่ขุยตื่นตระหนกอย่างสมบูรณ์และจ้องมองเฉินซี เขาเป็นสัตว์อสูรที่มีการบ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดและอาศัยอยู่ในดินแดนของราชาวานรทมิฬมานานกว่าพันปีแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่รู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของราชาวานรทมิฬได้อย่างไร?
“ดังนั้น ไม่ว่าข้าจะช่วยเจ้าหรือไม่ ข้าก็ยังต้องเผชิญกับการล้างแค้นของราชาวานรทมิฬอย่างนั้นหรือ?” เฉินซีถามอย่างเย็นชา
สยงผีไม่ได้กล่าวอันใด แต่ท่าทีของเขาตอบทุกอย่างแทน
“เอาล่ะ ข้าจะเอากระบี่ไผ่ทองคำนิลของเจ้าไป แต่ข้าจะไม่เป็นศัตรูต่อราชาวานรทมิฬ เว้นแต่เขาจะมาเคาะประตูหน้าบ้านข้า” เฉินซีกล่าวเช่นนี้ เพราะเขากังวลว่าสยงผีกำลังหลอกใช้เขา
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ข้าเฒ่าสยงจะไม่ลืมบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของท่านผู้อาวุโสตลอดช่วงชีวิตนี้!” สยงผีคุกเข่าลงบนพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นก็ก้มกราบกับพื้นสามครั้งซึ่งเต็มไปด้วยเสียงดังสนั่น เมื่อเงยหน้าขึ้นน้ำตาก็ไหลรินออกมาจากดวงตาของเขาแล้ว
ยามที่ชายร่างกำยำและตรงไปตรงมาผู้นี้ได้รับคำสัญญาจากเฉินซี ดูเหมือนว่าเขาจะปล่อยวางภาระที่เขาแบกรับไว้ในใจมาเนิ่นนานหลายปี เขาได้แต่ร้องไห้อย่างเงียบ ๆ บางครั้งก็เศร้าโศก บางครั้งก็ปีติยินดี!
…
‘สหายเต๋าหยวนถง โปรดรีบมาที่หุบเขาจันทราโหยหวนอย่างเร่งด่วน มีเรื่องที่ต้องการหารือกับท่าน – ลงชื่อ: จ้านเฟิง’
ภายในถ้ำวารีกระซิบ ชายหนุ่มผมขาวในชุดคลุมสีเขียวจ้องมองข้อความในมืออย่างเหม่อลอย และเขาพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าสงสัยว่า เฒ่าพิลึกผู้นี้ต้องการกระทำสิ่งใด น้ำเสียงของเขาดูกังวลมาก ข้าเกรงว่าสหายคนนี้คงไม่เชิญแต่ข้าผู้เดียว เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น”
ในขณะนั้น
ฟิ้ว!
ปักษาวิญญาณขนนกสีขาวโบยบินเข้ามาและกลายเป็นสัตว์อสูรสาวงดงามที่ตะโกนอย่างกังวลใจว่า “ท่านราชาผู้ยิ่งใหญ่ ภัยพิบัติกำลังคืบคลานเข้ามา!”
ชายหนุ่มผมขาวที่สวมชุดสีเขียวผู้เป็นเจ้าของถ้ำวารีกระซิบ ซึ่งเป็นหนึ่งในราชาอสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดราชาวานรทมิฬ ‘หยวนถง’ เขาจ้องไปที่สัตว์อสูรสาวสวยอย่างไม่พอใจและเอ่ยถามว่า “เสี่ยวลู่ ข้ากล่าวไปกี่ครั้งแล้วว่าเจ้าต้องใจเย็น ๆ ในทุกสถานการณ์ เจ้าจะตื่นตระหนกไปเพื่ออะไร? เอาล่ะ ค่อย ๆ บอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น”
สัตว์อสูรสาวแสนสวยผู้นี้คือเสี่ยวลู่ นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ท่านราชาผู้ยิ่งใหญ่ขอให้ข้าตามหาหลีหู่ แต่ไม่คาดคิดว่าอสูรพยัคฆ์นั้นได้ตายไปนานแล้ว!”
“อะไรนะ?” หยวนถงตกตะลึง
“ไม่เพียงเท่านั้น ข้าได้ผ่านเทือกเขาวงจันทราและไม่เพียงแต่พบศพของหลีหู่เท่านั้น ข้ายังเห็นเหล่าอสูรมารวมตัวกันที่เนินเขาหนึ่ง และดูเหมือนว่าพวกมันกำลังแสดงความยินดีกับผู้บ่มเพาะเผ่ามนุษย์”
หยวนถงตกตะลึงอีกครั้ง “ผู้บ่มเพาะเผ่ามนุษย์?”
“ใช่ อสูรเหล่านั้นเรียกเขาว่าเฉินซี จากการสังเกตของข้า ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะเพิ่งบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล และนั่นเป็นเหตุผลว่าเหตุใดบรรดาสัตว์อสูรเหล่านี้จึงมาร่วมแสดงความเคารพด้วยกัน”
“อืม… ปรากฏว่าเป็นผู้บ่มเพาะเผ่ามนุษย์ที่เพิ่งบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลเมื่อไม่กี่วันก่อน” ในที่สุดหยวนถงก็เข้าใจถ่องแท้ ร่องรอยอันดุร้ายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สง่างามของเขา “ฮึ่ม! เจ้าอยู่ในดินแดนของข้า ไม่เพียงแต่เจ้าไม่มาแสดงความเคารพ เจ้ากลับฆ่าหลีหู่คนสนิทที่ไว้ใจได้ของข้าอีก เจ้ากำลังรนหาที่ตายอย่างแท้จริง!”
“ท่านราชาผู้ยิ่งใหญ่ คนผู้นั้นสมควรตายอย่างแท้จริง แต่สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดคือ สยงผีแห่งเทือกเขาปักษาวิญญาณ มันเอากระบี่ไผ่ทองคำนิลที่มีความยาวสี่ฉื่อมอบให้แก่ผู้บ่มเพาะเผ่ามนุษย์ผู้นั้นด้วย…”
“เจ้าว่าอะไรนะ! กระบี่ไผ่ทองคำนิล? อีกทั้งยังยาวถึงสี่ฉื่อ?” ก่อนที่เสี่ยวลู่จะกล่าวจบ หยวนถงก็มีท่าทางที่ตื่นตระหนกจนต้องคำรามเสียงดัง “เจ้าอสูรหมีบัดซบตัวนี้ เจ้ากล้าดีอย่างไร ถึงไม่ยอมมอบสมบัติเช่นนี้ให้แก่ข้า? บัดซบจริง!”
“ท่านราชาผู้ยิ่งใหญ่ สยงผีผู้นี้มีเงื่อนไขในการมอบกระบี่ไผ่ทองคำนิล เงื่อนไขนั้นคือ ผู้บ่มเพาะเผ่ามนุษย์ต้องตกลงที่จะฆ่า… ฆ่า…” เสี่ยวลู่ลังเลที่จะกล่าวออกไป
“ฆ่าผู้ใด?” หยวนถงโกรธจนถึงขั้นแสดงออกทางใบหน้าอย่างดุร้าย ร่างกายของเขาปะทุด้วยปราณอสูร ท่าทางของเขาน่ากลัวอย่างยิ่ง
“ฆ่า…”
“กล่าวมาเร็วเข้า!”
“ฆ่าท่าน! ท่านราชาผู้ยิ่งใหญ่!”
ปัง!
หยวนถงทุบฝ่ามือของเขากับโต๊ะที่อยู่ใกล้เคียง มันกลายเป็นฝุ่นผงในทันที
“บัดซบ! ไอ้บัดซบ! พวกมันสมควรตาย!” หยวนถงแปรเปลี่ยนกลับไปเป็นวานฬทมิฬที่ดุร้ายและน่ากลัวโดยไม่รู้ตัว ในเวลานี้ ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของเขา แผงคอที่เป็นสีดำราวกับเข็มเหล็กพุ่งออกมาจากใบหน้าที่ขาวใสของเขาทันที จากนั้นปากของเขาก็อ้ากว้างและมีเขี้ยวที่แหลมคมสองแถวงอกยาวออกมายี่สิบสามชุ่นและสัมผัสกับอากาศ
โฮกกกก!
หยวนถงส่งเสียงคำรามไปบนท้องฟ้า เสียงอันดังก้องของเขาเต็มไปด้วยความโหดร้าย พวยพุ่งออกมาจากถ้ำวารีกระซิบและกระจายออกไปภายในพื้นที่สองร้อยห้าสิบลี้ ทำให้สัตว์อสูรที่บ่มเพาะอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงต่างก็ตกตะลึงและหมอบคลานบนพื้นดินด้วยร่างกายที่สั่นสะท้านไม่หยุดหย่อน
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก
หยวนถงก็สูดหายใจเข้าลึกเพื่อระงับไฟโทสะในหัวใจของเขา
“ไอ้พวกน่าชัง! ฮึ่ม! ข้าอยากไปฆ่าพวกมันซะเดี๋ยวนี้ แต่ข้าต้องไปหารือกับเฒ่าพิลึกที่เชื้อเชิญมาเสียก่อน ช่างมัน ภายหลังจากที่ข้ากลับมาจากหุบเขาจันทราโหยหวน ข้าจะมอบการทรมานที่น่าสยดสยอง จนถึงขั้นที่พวกมันต้องร้องขอความตายให้แก่พวกมันทั้งหมด!” น้ำเสียงต่ำลึกสุดหยั่งและโหดร้ายของหยวนถง ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในถ้ำวารีกระซิบ
…
สามวันผ่านไป
มู่ขุยรู้สึกราวกับว่าผ่านไปสามปี เขาไม่อาจพักผ่อนได้อย่างสงบสุขเลยแม้แต่อึดใจเดียวในช่วงเวลาที่ผ่านมา
เป็นไปได้ไหมที่สยงผีหลอกใช้เรา? เหตุใดราชาวานรทมิฬจึงยังไม่มาหาเรื่องกับท่านผู้อาวุโสเฉินซีอีก?
มู่ขุยไม่อาจสลัดความว้าวุ่นในหัวออกไปได้ การใช้ชีวิตในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน เขารู้สึกราวกับว่าเขาเป็นมดปลวกที่รอความตาย แต่สิ่งที่ทรมานที่สุดคือไม่รู้ว่าความตายจะมาเยือนเมื่อใด…
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ มู่ขุยก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังที่ห่างไกล ภายในทะเลหมอกบนหน้าผา เขาเห็นร่างสูงและผอมบางที่กำลังฝึกวิชากระบี่อยู่ เสื้อผ้าของร่างนั้นพลิ้วไหวในอากาศและกระบี่ในมือก็เคลื่อนไหวไหลลื่นดั่งสายลม สีหน้าของชายหนุ่มจริงจังและมุ่งมั่น และท่าทางของเขาสง่างามและคล่องแคล่ว
อารมณ์ของท่านผู้อาวุโสเฉินซีนั้นมั่นคงดั่งก้อนศิลา!
มู่ขุยไม่รู้ตัวว่าเขายกย่องสรรเสริญเฉินซีไปกี่ครั้ง ทุกครั้งที่ความคิดของเขากระสับกระส่ายและไม่สบายใจในช่วงสามวันนี้ เขาจะมาที่จุดนี้ ตราบใดที่เขาเห็นเงาร่างของเฉินซี หัวใจของเขาจะรู้สึกสบายขึ้นมาก ราวกับว่าเขาไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใดแม้ว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา
อันที่จริงความกดดันของเฉินซีก็ไม่ต่างจากมู่ขุยสักเท่าใดนัก เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าหลังจากที่ตัวเองบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล มันจะกลายเป็นว่าเขาต้องรอรับศึกจากราชาวานรทมิฬแห่งถ้ำวารีกระซิบเพราะเรื่องราวที่เขาฆ่าหลีหู่ไป อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่มีที่ให้หลบซ่อนตัว เขาจึงใช้ความกดดันที่มีทั้งหมดเป็นแรงผลักดันในการบ่มเพาะอย่างหนักแทน
ขอบเขตตำหนักอินทนิลเป็นขอบเขตใหม่อย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ หากเขาต้องการใช้กำลังอย่างเต็มที่ เพื่อควบคุมพลังนี้อย่างง่ายดาย เขาต้องบ่มเพาะอย่างขยันหมั่นเพียรและยากลำบาก
ขณะนี้ เขากำลังฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง และสิ่งที่เขาถืออยู่ในมือของเขาคือกระบี่ไผ่ทองคำนิลยาวสี่ฉื่ออันน่าทึ่ง
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ปราณกระบี่พวยพุ่งออกไป พวกมันเป็นดั่งพายุที่โหมกระหน่ำด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด แหวกผ่านท้องฟ้าฝากรอยกระบี่ที่หลงเหลือไว้มากมาย
กระบวนท่าแรกในเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง เงาวายุพริบตา!
ว่ากันว่าเมื่อฝึกฝนจนถึงขั้นเอกภาพก็เป็นไปได้ที่จะฟันใบไม้ที่ร่วงโรยให้เป็นเส้นเล็กละเอียดกว่าหนึ่งพันเส้น ด้วยการฟันกระบี่อย่างเร็วเพียงครั้งเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้เฉินซีมีความสุขก็คือความคมของกระบี่ไผ่ทองคำนิลและปราณสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งซึ่งสถิตอยู่ภายใน ยามใช้กระบวนท่าเงาวายุพริบตา ไม่เพียงแต่จะรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ แต่ยังเพิ่มพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวให้กับการโจมตีของเขาอีกด้วย ซึ่งมันน่ากลัวเกินความคาดหมายของเขา
“ความเชี่ยวชาญในวิชากระบี่นี้ของข้าถึงขั้นสูงแล้ว แต่ถ้าหากข้าสามารถทะลวงไปสู่ขั้นเอกภาพได้ในเร็ว ๆ นี้ ข้าก็จะมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยยามที่ต้องเผชิญหน้ากับราชาวานรทมิฬ”
เวลาได้ล่วงเลยไป
บนชายขอบของหน้าผาที่ปกคลุมไปด้วยทะเลเมฆ แสงจากปราณกระบี่กวาดออกไปราวกับน้ำตกนับไม่ถ้วน บางส่วนโผล่คงอยู่เป็นเวลานาน บางส่วนสลายหายอย่างรวดเร็ว เฉินซีเป็นดั่งหุ่นเชิดที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในขณะที่เขาดำดิ่งลงไปในการฝึกเคล็ดวิชากระบี่อันล้ำลึกและไร้ขอบเขตของเขา