บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 662 เงาของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ
บทที่ 662 เงาของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ
บทที่ 662 เงาของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ
เยี่ยนสือซานเป็นคนบ้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในนิกายวิถีกระแสสวรรค์ เขาปรารถนาการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังมีพลังที่น่าเกรงขามอย่างไม่มีใครเทียบได้ ทำให้ทุกคนต่างพากันหวาดกลัว แต่ตอนนี้เขาได้พบคู่ต่อสู้ของเขาแล้ว!
บนท้องฟ้า ศาสตร์เต๋าแขนงต่าง ๆ ที่สั่นสะเทือนสวรรค์และโลก ทะยานข้ามเหนือฟากฟ้าไปมา ระเบิดส่องประกายระยิบระยับออกมา ขณะที่ร่างทั้งสองเป็นราวกับมังกรสองตัวพุ่งรบกันไปมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่อสู้กันอย่างกล้าหาญและรุนแรง จากท้องฟ้าสู่พื้นดิน ก่อนที่จะกลับเข้าสู่กลีบเมฆ
การต่อสู้ในครั้งนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ของผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาระดับสูงสุด ซึ่งทำให้ทุกคนในอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬตื่นตระหนกยิ่ง!
ฟุ่บ! ขวับ!
ณ ที่ไกลมากจนแทบจะสุดขอบสนามรบ จู่ ๆ ร่างของชายและหญิงสองร่างก็ปรากฏขึ้น
“ไม่เคยคิดมาก่อนว่าในบรรดาชนพื้นเมืองของทั้งสามภพจะมีคนหนุ่มระดับนี้อยู่ด้วย” ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปยังที่ไกล ๆ ด้วยสายตาที่ตื่นเต้นและกระหายเลือด
เขามีรูปร่างสูง ผมด้านหลังศีรษะพลิ้วสยาย เขาสวมเสื้อคลุมสีทองที่ปักด้วยลวดลายแปลกประหลาดมากมาย ซึ่งดูเหมือนปีศาจแต่กลับไม่ใช่ปีศาจ ดูราวกับภูตผีแต่ก็ไม่ใช่ภูตผี ก่อเป็นลวดลายที่น่าสะพรึงกลัว น่าสยดสยอง และลึกลับอย่างมาก
เขาเป็นบุคคลลึกลับที่มีนามว่า เสวียนเฉิน
“เสวียนขุย เจ้าบอกว่าหากข้าเปลี่ยนมันทั้งสองให้เป็นโอสถวิญญาณโลหิต แล้วกลืนเข้าไป รสชาติของมันจะวิเศษมากใช่หรือไม่?” เสวียนเฉินแลบลิ้นสีแดงออกมาเลียริมฝีปาก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกระหายเลือด
“ข้าได้ใช้เคล็ดวิชาสังเวยเหมันต์ดับแสง เพื่อคาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่า ดินแดนรังสรรค์กระบี่จะปรากฏขึ้นภายในเวลาไม่ถึงสามวัน และดินแดนรังสรรค์กระบี่นี้ก็นับเป็นหนึ่งในปราการที่ปกป้องด่านแห่งความลึกล้ำอยู่ ถ้าเราต้องการเข้าไปในนั้น เราจะต้องไปถึงดินแดนรังสรรค์กระบี่ให้เร็วที่สุด มิฉะนั้น หากชาวพื้นเมืองจากสามภพได้รับวัตถุศักดิ์สิทธิ์นั้นไปก่อน เจ้ากับข้าก็จะไม่อาจรายงานความสำเร็จของภารกิจให้แก่นายเหนือหัวได้”
เสวียนขุยขมวดคิ้วขณะที่นางกล่าว ความงดงามของนางนั้นมิอาจหาที่เปรียบได้ นางเองก็สวมชุดคลุมสีทองเช่นเดียวกัน ต้นขาที่เรียวและอวบของนางยาวกว่าผู้หญิงทั่วไปมาก มันจึงทำให้นางดูเพรียวบาง สง่างาม และสวยงามมากขึ้นไปอีก
“ดังนั้นข้าแนะนำอย่าทำเช่นนั้นจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวตนของเรา”
“น่าผิดหวัง! น่าผิดหวังจริง ๆ!” เสวียนเฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่และรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่ความโหดเหี้ยมและดุร้ายในแววตาของเขากลับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“หืม การแต่งตัวของสองคนนั้นดูแปลกเสียจริง” ชั่วพริบตาต่อมา ผู้บ่มเพาะกลุ่มหนึ่งที่กำลังตรงมาจากที่ไกล ๆ ก็เป็นต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นเสวียนเฉินและเสวียนขุย
“เป็นแค่ชาวพื้นเมืองชาวบ้านตัวเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งกล้าชี้นิ้วมาที่ข้าอย่างนั้นรึ? ตายเสียเถอะ!”
ดวงตาของเสวียนเฉินฉายแสงสีเลือดวาบขึ้น ขณะยื่นมือออกไป ทันใดนั้นลำแสงพร่างพรายก็แผ่กระจายออกมาและพุ่งไปปกคลุมกลุ่มคนเหล่านั้นเอาไว้
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ก่อนที่คนกลุ่มนั้นจะทันได้ตอบโต้ ร่างของพวกเขาก็ระเบิดออก กลายเป็นม่านหมอกสีเลือดหนาทึบ โดยไม่มีเวลาแม้แต่จะกรีดร้องเลย
ฟิ้ว!
เสวียนเฉินยื่นมือออกไปคว้าอีกครั้ง ชั่วอึดใจถัดมา หมอกเลือดก็ควบแน่นเป็นเม็ดเลือดทรงกลมเล็ก ๆ จำนวนมากอย่างรวดเร็ว และตกไปอยู่ในมือของเขา จากนั้นก็ถูกเจ้าตัวกลืนเข้าไปภายในอึกเดียว
“อืม น่าเสียดายที่โอสถวิญญาณโลหิตขอบเขตสถิตกายานี้รสชาติเข้มข้นไม่มากนัก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย” เสวียนเฉินถอนหายใจด้วยความสบายใจขณะเคี้ยวโอสถไปด้วย ดวงตาสีเลือดที่ทอแสงแหลมคมเช่นเดียวกับฟัน รวมกับเลือดที่ไหลลงมาจากมุมปากของเขา ทำให้คนคนนี้ดูน่ากลัวเป็นพิเศษ
“ไปกันเถอะ!” เสวียนขุยขมวดคิ้ว มองคนบ้ากระหายเลือด ก่อนจะหันหลังและจากไป
“อืม ข้าลืมเหลือไว้เผื่อให้เจ้าได้ลิ้มลองไปเลย เมื่อออกมาจากด่านแห่งความลึกล้ำแล้ว ไว้ข้าจะเปลี่ยนผู้บ่มเพาะที่นี่ทั้งหมดเป็นโอสถวิญญาณโลหิตให้เจ้าได้ลองบ้าง เอาแบบนี้เป็นอย่างไร?” เสวียนเฉินส่ายหัวและหัวเราะเบา ๆ ขณะที่เขาตามนางไป
ในชั่วพริบตา ทั้งสองคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
…
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าจะสามารถต่อกรกับข้าได้นานขนาดนี้ เจ้าเป็นคนยอดเยี่ยมที่หาได้ยากจริง ๆ แต่ยิ่งเจ้าทำเช่นนี้ ข้ายิ่งตื่นเต้นมากขึ้น เพราะการสังหารอัจฉริยะ ย่อมดีกว่าสังหารพวกขยะทิ้งเสียอีก! เฉินซี เจ้าไม่คิดอย่างนั้นหรือ?”
บนท้องฟ้า เยี่ยนสือซานเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง เปลวไฟลุกโชนขึ้นจากร่างกายของเขา ตัวคนก้าวไปข้างหน้าดุจเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เขาดูดุดันยิ่ง ดวงดาว ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์โคจรขึ้นรอบในฝ่ามือขณะที่พุ่งเข้าใส่เฉินซี
ทุกคนตกตะลึง ความสามารถในการคุมจักรวาลเอาไว้ในมือของเขาช่างน่าสะพรึงกลัวและทรงพลังจริง ๆ ถึงกับสร้างดวงอาทิตย์ ดวงดาว และดวงจันทร์ขึ้นมาได้เลยเชียวหรือ!?
สุริยัน จันทรา ดาราจำนวนมากมายลุกโชนดุจเปลวเพลิงปรากฏอยู่บนท้องฟ้า สร้างร่มเงาปกคลุมโลก ทำให้ท้องฟ้าดูราวกับทะเลเพลิงดารา
ตู้ม!
ความว่างเปล่าแตกเป็นเสี่ยง ๆ ฝ่ามือของเยี่ยนสือซานที่บรรจุจักรวาลเอาไว้และแปรสภาพกลายเป็นดวงดาวนี้น่ากลัวเกินไป ราวกับพายุที่พัดพาคลื่นปั่นป่วนซัดเข้าหาฝั่ง ด้วยพลังที่สามารถทำลายล้างทุกสิ่งได้!
“นั่นอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป คนที่ตายในวันนี้อาจเป็นเจ้า… เยี่ยนสือซาน!”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบยิ่ง ปีกกำราบผกผันกระพือและพาเขาพุ่งไปข้างหน้าเพื่อรับการโจมตีของอีกฝ่าย
การโจมตีของชายหนุ่มไม่มีแสงระยิบระยับหรือดวงดาวพุ่งพาดผ่านท้องฟ้าแต่อย่างใด ทว่ามันกลับมีกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวที่เขย่าดวงดาว ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์เหล่านั้นจนแตกสลายไปทีละดวง สร้างปรากฏการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวราวกับมันคือการดับสูญของจักรวาล
แม้ว่าดวงดาวเหล่านั้นจะแฝงไปด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้าง แต่ก็ยังถูกเฉินซีกำจัดด้วยศาสตร์เต๋า ทำให้พลังที่ชายหนุ่มใช้ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า ตะวัน จันทรา และดาราทั้งหมดที่เยี่ยนสือซานสร้างขึ้นได้ถูกทำลายและระเบิดอย่างต่อเนื่อง
ชายหนุ่มซัดหมัดของเขาออกมาไม่หยุด ขณะตรงไปข้างหน้าและเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
แม้ว่าพลังต่อสู้ของเขาจะอ่อนแอกว่าอีกฝ่ายถึงสองเท่า แต่แดนฮุ่นตุ้นของเขานั้นแข็งแกร่งและกว้างใหญ่ยิ่งกว่า เมื่อรวมกับต้นอ่อนเงาทมิฬ พลังที่อยู่ทั่วทั้งร่างกายและปราณแท้ของชายหนุ่มจึงมักจะอยู่ในสภาวะสูงสุดตลอดเวลา
แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับเยี่ยนสือซานแบบตัวต่อตัว เขาก็ไม่กลัวเลย
ครืน!
ศาสตร์เต๋าทุกชนิดที่อยู่รอบด้านสั่นสะเทือนอย่างน่ากลัว ประกายอันเจิดจรัสปกคลุมสถานที่แห่งนี้ จนทำให้ภูเขาและแม่น้ำจมหายไปในทะเลแสง
เหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างตกใจ จนต้องถอยหนีคราแล้วคราเล่า เพราะเกรงว่าจะได้รับผลกระทบจนชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย
หลงเจิ้นเป่ยกับอันเวยรู้สึกทึ่งกับภาพที่เห็นอย่างมาก จิตใจของพวกเขาสั่นคลอนไม่หยุด พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเฉินซีจะสูงถึงระดับนี้ เขากวาดล้างศัตรูทั้งหมดขณะที่ต่อสู้กับกลุ่มผู้บ่มเพาะอัจฉริยะ และตอนนี้ชายหนุ่มก็กำลังต่อสู้อยู่กับเยี่ยนสือซานได้อย่างเท่าเทียม!!
จากความแข็งแกร่งดังกล่าว มันก็เป็นสิ่งที่แม้แต่พวกเขาก็ยังคิดว่าตัวเองด้อยกว่าสหายร่วมนิกายผู้นี้ด้วยซ้ำ!
“รีบจัดการกับคนผู้นี้โดยเร็ว เมื่อครู่ข้ารู้สึกถึงกลิ่นอายของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่อยู่นอกอาณาเขตนี้ บางทีพวกเขาอาจมาเพราะผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลเช่นกัน”
ในขณะที่เฉินซีกับเยี่ยนสือซานกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทันใดนั้น เสียงของหม้อใบจิ๋วก็ดังขึ้นในใจของเขา ทำให้เฉินซีตกใจในทันที ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ?
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าภพทั้งสามที่ก่อตัวขึ้นเป็นโลกของมันเองนั้น ได้ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงมิติอันแข็งแกร่งยิ่งที่คอยป้องกันการบุกรุกจากผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพอยู่เสมอ
และผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านี้ก็เป็นศัตรูของตัวตนทั้งหมดในสามภพมาตั้งแต่สมัยโบราณ พวกเขาต้องการรุกรานสามภพ และยึดดินแดนทั้งหมดไปเป็นของตนเองเสมอ!
ในช่วงที่ชายหนุ่มอยู่ที่สมรภูมิบรรพกาล เฉินซีเคยพบผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพสี่คนซึ่งมาจากภายนอกสามภพมาก่อน ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง แม้แต่เซียนสวรรค์อย่างปิงซื่อเทียนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ในช่วงเวลาวิกฤตนั้น หากไม่ใช่เพราะหม้อใบจิ๋ว สมรภูมิบรรพกาลทั้งหมดอาจตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านั้นไปแล้ว!
แล้วในยามนี้ กลับมีผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพแทรกซึมเข้ามาในแดนภวังค์ทมิฬ และได้มุ่งหน้ามายังอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬนี้อีก สิ่งนี้จะไม่ทำให้เฉินซีประหลาดใจได้อย่างไร?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าภพทั้งสามกำลังจะเข้าสู่กลียุคจริง ๆ?
ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินหลิ่วเจี้ยนเหิงพูดถึงเรื่องนี้ เมื่อตอนอยู่ที่นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง อีกฝ่ายกล่าวไว้ว่า เหลือเวลาอีกไม่ถึงพันปีก่อนที่ทั้งสามภพจะตกสู่ความวุ่นวาย ดังนั้นการปรากฏตัวของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพในช่วงเวลานี้ จึงเป็นเหมือนลางบอกเหตุอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกถึงหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นมาราง ๆ…
ดังคำกล่าวที่ว่า ทุกครั้งที่เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ย่อมมีคนนอกรีตอยู่ด้วย การปรากฏตัวของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านี้ก็เหมือนกับ ‘พวกนอกรีต’ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระแวดระวังตัวยิ่งขึ้น
ตู้ม!
ตอนที่ชายหนุ่มวอกแวกอยู่นั้น แม้จะเพียงชั่วขณะ เยี่ยนสือซานก็ฉวยโอกาสนี้ได้อย่างแม่นยำ เขาโจมตีเฉินซีด้วยฝ่ามืออย่างรุนแรงและส่งร่างชายหนุ่มกระเด็นออกไป!
พรวด!
เฉินซีกระอักเลือดในขณะที่ร่างของเขาเซไปข้างหลังหลายก้าว
ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ทำให้เกิดข้อผิดพลาดมากมาย
เยี่ยนสือซานไม่ยอมปล่อยโอกาสไปหลังจากการโจมตีของตนสำเร็จ เขาก็รุกโจมตีเฉินซีอย่างรุนแรงดุจพายุ และไม่คิดจะรามือแม้แต่น้อย เขาปล่อยแรงกดดันกับกลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมาด้วยความตั้งใจที่จะตัดสินชัยชนะในคราวเดียว
ในระหว่างการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวนี้ ภูเขาขนาดมหึมาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของปฐพีได้แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองประหนึ่งใบไม้แห้งใบใหญ่ท่ามกลางคลื่นที่สั่นสะเทือน
เส้นพลังก่อตัวเป็นลวดลายชัดเจน ดุจตราประทับของมหาเต๋าที่เต็มไปด้วยรัศมีสีเหลืองทองที่ไร้ขอบเขตของมหาเต๋าแห่งปฐพี มันต้องเป็นชิ้นส่วนมหาเต๋าที่ซ่อนอยู่ภายในเขตปฐพีอย่างแน่นอน!
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นกลับไม่สามารถหันไปสนใจเรื่องนี้ได้เลย พวกเขาทั้งหมดต่างเฝ้าดูการต่อสู้บนท้องฟ้าโดยไม่กะพริบตา ด้วยกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป
เพราะพวกเขารู้ว่า ผลลัพธ์ของการต่อสู้ระหว่างผู้บ่มเพาะอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคนกำลังจะถูกตัดสินแล้ว! ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ ใครจะไปสนใจเรื่องอื่นได้กัน?
ผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายที่กำลังจ้องมองชิ้นส่วนมหาเต๋าที่โผล่ออกมาด้วยความโลภอยู่รอบ ๆ จึงทำให้ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวในตอนนี้ เพราะหากพวกเขากลายเป็นเป้าหมายของคนทั้งหมด ชีวิตของพวกเขาก็จะตกอยู่ในความเสี่ยงทันที
เฉินซีกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย!
เมื่อมองไปยังชายหนุ่มผู้ถูกเยี่ยนสือซานไล่โจมตีคราแล้วคราเล่าอยู่บนท้องฟ้า ยังคงไอเป็นเลือดไม่หยุด หัวใจของหลงเจิ้นเป่ยกับอันเวยก็บีบรัดแน่นขึ้นทันที พวกเขาทั้งกระวนกระวาย วิตกกังวล กระสับกระส่าย และไม่สบายใจยิ่ง
เหตุใดมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้พวกเขาแข็งแกร่งพอ ๆ กัน แล้วทำไมจู่ ๆ เฉินซีถึงได้ถูกกดดันจนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเช่นนี้?
พวกเขาไม่สามารถคาดเดาเหตุผลได้เลย ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คนทั้งสองรู้สึกกังวลแทนเฉินซีมากขึ้น
เยี่ยนสือซานได้กล่าวด้วยความมั่นใจไว้ว่า ในครานี้เขาจะกำจัดเฉินซี กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากเฉินซีพ่ายแพ้ เขาจะต้องตายโดยไม่มีโอกาสรอดชีวิตอย่างแน่นอน!
“พูดตามตรง ข้าทนไม่ได้ที่จะต้องฆ่าคู่ต่อสู้อย่างเจ้าทิ้งจริง ๆ ช่างน่าเสียดายนักที่เจ้าเป็นศัตรูของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ของข้า และประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไปจนคิดที่จะแข่งขันกับปรมาจารย์ชิงและใต้เท้าปิงซื่อเทียน ข้าจึงทำได้เพียงฆ่าเจ้าเพื่อขจัดปัญหาในอนาคต!”
เยี่ยนสือซานตะโกนขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด จิตสังหารพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างกายของเขา ในขณะที่การเคลื่อนไหวของเจ้าตัวไม่ได้ช้าลงเลยแม้แต่น้อย เขาแบกทะเลเพลิง คลื่นยักษ์ ดวงดาว ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ไว้แล้วตบไปที่ชายหนุ่มซ้ำ ๆ ด้วยความตั้งใจที่จะทำลายล้างอีกฝ่าย
เฉินซีถูกการโจมตีเหล่านี้ทำให้สะเทือนจนกระอักเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ไม่ได้ถอยหนี จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของชายหนุ่มไม่เคยอ่อนแอลง เขายังคงต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมด ซึ่งเผยให้เห็นความดื้อรั้นที่น่าตกตะลึง
“เจ้าก็เหมือนมดที่พยายามโค่นต้นไม้ยักษ์ การดิ้นรนนี้เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง!”
ฝ่ามือที่ฟาดลงมาของเยี่ยนสือซานหนักราวกับมีภูเขานับแสนลูกกำลังกดทับลงมาจากด้านบน แรงดันมหาศาลส่งเสียงระเบิดดังกึกก้อง ส่งร่างของเฉินซีส่งลอยออกไปอีกครั้งราวกับว่าวที่ถูกตัดสาย จนพ่นเลือดออกมาเต็มปากอีกครา
ทุกคนตกตะลึงจนดวงตาเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม ขณะจ้องไปที่สนามรบจนแทบลืมหายใจ ม่านของการต่อสู้ในครั้งนี้กำลังจะถูกปิดลง ความเป็นความตายกำลังจะเกิดขึ้นในอีกชั่วพริบตา!
ทว่าในเวลานี้เอง เยี่ยนสือซานก็สังเกตเห็นว่าในช่วงเวลาวิกฤตอย่างยิ่งนี้ เฉินซีกลับโบกมือและฉีกยิ้มน้อยขึ้นมาอย่างกะทันหัน
การกระทำนี้…ออกจะดูคุ้น ๆ อยู่สักหน่อย?
ฟุ่บ!
แสงสีเหลืองนวลจาง ๆ ที่ไหลออกมาผ่านช่องว่างขนาดเล็กพุ่งเข้าหาเฉินซีที่โบกมือเรียก มันคือชิ้นส่วนที่มีมหาเต๋าแห่งปฐพีแฝงอยู่
“ให้ตายเถอะ ไม่แปลกใจเลยที่สถานการณ์นี้จะดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด สหายผู้นี้ใช้วิธีการที่แม่นยำนี้เพื่อยึดชิ้นส่วนมหาเต๋าของพวกเราไปอีกแล้ว!” ลูกตาของทุกคนแทบจะถลนออกมาด้วยความตกตะลึงจนถึงขีดสุด